Jakk Goodday on Nostr: รวมบทความเดือนกุมภาพันธ์ 2025 ...
รวมบทความเดือนกุมภาพันธ์ 2025
Leadership Mindsets (Jakk's way)
1. Self-Ownership Leadership - นำตัวเองให้ได้ก่อนนำคนอื่น
2. Spontaneous Order Leadership - ผู้นำที่สร้าง
3. Entrepreneurial Leadership - ผู้นำที่แท้จริงคือผู้สร้าง (The Builder)
4. Skin in the Game - ผู้นำที่แท้จริงต้องลงทุนลงแรงเอง
5. Anti-Fragile Leadership - ยิ่งโดน ยิ่งแกร่ง ยิ่งเติบโต
6. Narrative Leadership (ทุ่งม่วง Only)
============================================
Writing Like Jakk - เขียนแบบ Jakk
1. Narrative Flow Technique
https://www.facebook.com/share/p/18aKZ2z8eo/
============================================
วิทยาศาสตร์ ปรัชญาและชีวิต
1. Hawking Radiation - แม้ติดอยู่ในหลุมดำ… คุณก็ยังเปล่งแสงได้
2. Quantum Entanglement - สายใยพัวพัน
3. Entropy อะไร ๆ ก็ได้ หรือเราจัดการมันได้?
============================================
Life Shift Toward the Right Shift เปลี่ยนวิธีที่เรามองโลกและตัวเอง
1. จงใส่หินลงโหลความคิด ก่อนท่องแดนเวลา (การบริหารจัดการเวลาและความคิด)
2. สร้างพิรามิด ด้วยการวางอิฐทีละก้อน
3. ชีวิตเปรียบดั่งเรือเดินสมุทร
4. แก่นของการให้เกียรติ
5. Already always listening (การฟังผ่านเลนส์เดิม ๆ ที่มักถูกกรองจากความเชื่อเก่าและประสบการณ์เดิม)
6. การเชื่อมต่อและแบ่งปัน หัวใจของคอมมูนิตี้
7.Life Shift Toward the Right Shift (การเปลี่ยนแปลงชีวิตพาเราไปในทิศทางที่ใช่)
8. ฟัง แยกแยะ เสียงในหัว
9. เติบโตดั่ง "ฟองน้ำ" (เทนโด้)
10. Exit จาก The Matrix ทางความคิด
11. สิ่งที่เราไม่รู้ ว่าเราไม่รู้ (Unknown Unknowns)
12. การละทิ้ง "ตัวตน"
13. พลังแห่งความรัก (Valentine's day)
14. ศิลปะแห่งการเลือก
15. เหนือกว่า.. แต่ไม่ชนะ (ชนะไปทำไม? ชนะใคร?)
16. ปริศนาธรรมไฟแช็ค
17. กรอบที่มองไม่เห็น
18. เปล่งเสียงจากภายในใจ
19. Take a deep breath
20. ขอบคุณ / ขอโทษ มันพูดยาก
21. Man's Search for Meaning
22. ชี้นิ้วออก vs. ชี้นิ้วเข้า
#LifeShift #Leadership #Siamstr #Jakkstr
Leadership Mindsets (Jakk's way)
1. Self-Ownership Leadership - นำตัวเองให้ได้ก่อนนำคนอื่น
quoting nevent1q…0mpw“ไม่มีใครมอบภาวะผู้นำให้เรา นอกจากเราเอง”
"Self-Ownership Leadership" เป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ก่อนเป็นผู้นำของคนอื่น
![]()
ตอนนั้น… ผมคิดว่าผมต้องรอให้ใครบางคนมาชี้ทางให้
ก่อนปี 2021 ผมเริ่มสนใจ Bitcoin มันเป็นช่วงที่ข้อมูลในไทยยังมีน้อยมาก (มีเพียง อ.พิริยะ เท่านั้นที่ออกมาให้ความรู้แบบจับต้องได้เป็นภาษาไทยผ่านช่องทางต่าง ๆ)
ถ้าอยากรู้เรื่องพวกนี้ให้มากขึ้น ผมต้องหาเอาเอง ไม่มีใครมาปูพรมแดงให้ ไม่มีระบบให้เรียนรู้
ผมนั่งรอ...
คิดว่าเดี๋ยวคงมีคนออกมาสร้างฐานความรู้กันมากขึ้น คงมีหนังสือ มีคอร์สสอน คงมีคนมาชี้ทางให้
แต่วันแล้ววันเล่า... นอกจาก อ.พิริยะ แล้ว ก็ไม่มีใครมา
"Nobody is coming to save you."
ถ้าผมอยากเข้าใจมันจริง ๆ ผมคงต้องเป็นคนเรียนรู้เอง
ถ้าผมอยากสร้างอะไรขึ้นมา ผมต้องเป็นคนลงมือทำเอง
และผมคิดว่า.. มันไม่ได้เป็นแค่เรื่องของ Bitcoin แต่มันคือ ทุกเรื่องในชีวิต
ผู้นำที่แท้จริง มักเริ่มจากการเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง
เคยไหมครับ...
- เราอยากเป็นผู้นำ แต่รู้สึกว่าเราไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ?
- เรามีเป้าหมายที่ชัดเจน แต่ยังรอ "โอกาส" หรือ "ใครบางคน" มาเปิดทางให้?
- เราอยากสร้างความเปลี่ยนแปลง แต่กลับรู้สึกว่าถูกควบคุมโดยสภาพแวดล้อม?
หากคำตอบของเราคือ "ใช่" แสดงว่าเราอาจยังไม่ได้เป็น “เจ้าของตัวเองอย่างแท้จริง”
"คนที่เอาแต่รอ จะกลายเป็นผู้ตามตลอดไป"
ภาวะผู้นำที่แท้จริงไม่ได้เริ่มจากตำแหน่ง ไม่ได้มาจากการที่คนอื่นยอมรับ มันเริ่มจาก "Self-Ownership"
มันคืออะไรล่ะ?
Self-Ownership ไม่ได้หมายความว่า “ฉันอยากทำอะไรก็ทำ”
มันหมายถึง “ฉันเป็นเจ้าของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน”
- เราเป็นเจ้าของการตัดสินใจของตัวเอง >> ไม่มีใครบังคับเราให้ทำอะไรได้ ถ้าเราไม่เลือกเอง
- เรารับผิดชอบ 100% ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต >> ไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีเหยื่อของโชคชะตา
- เราสร้างเส้นทางของตัวเองได้ >> ไม่ต้องรอให้ระบบ หรือคนอื่นมานำทางให้
“เราไม่ได้ถูกกำหนดโดยสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา แต่เราเป็นเจ้าของสิ่งที่เราเลือกจะทำกับมัน”
จาก "รอให้โอกาสมา" >> "สร้างโอกาสให้ตัวเอง"
ถ้าผมรอให้มีใครมาสอนเรื่องการสร้างสิ่งต่างๆ บน Bitcoin ผมก็คงยังรออยู่จนวันนี้
แต่ผมเลือกเดินอีกทาง >> คิดเอง ลุยเอง ล้มเอง
- ผมซื้อหนังสือมาอ่านเอง >> เพราะไม่มีใครสอน
- ผมเข้าไปในกลุ่ม Bitcoin Community ทั้งในและต่างประเทศ >> เพราะต้องการเห็นมุมมองจริง ๆ จากผู้คนในชุมชน ผมอยากรู้จักพวกเขา
- ผมเริ่มเขียนเนื้อหาเอง >> ทั้งที่ตอนแรกก็ไม่มีใครอ่าน
พอผ่านไป 6 เดือน ผมเริ่มรู้มากกว่าคนที่แค่รอให้ใครมาสอน
พอผ่านไป 2 ปี ผมกลายเป็นคนที่คนอื่นมาถามหาแนวทาง
"เราไม่ต้องรอให้เป็นผู้เชี่ยวชาญก่อนถึงจะเริ่ม เราต้องเริ่มก่อน แล้วความเชี่ยวชาญจะตามมาเอง"
ถ้าเราอยากเป็นผู้นำของคนอื่น จงเริ่มจากการเป็นผู้นำของตัวเองก่อน
หยุดสิ่งเหล่านี้ก่อน
❌ หยุดรอให้ใครมาให้อนุญาต
❌ หยุดคิดว่าเราต้อง "สมบูรณ์แบบ" ก่อนถึงจะเริ่ม
❌ หยุดโทษปัจจัยภายนอก เช่น ทีมไม่ดี ทรัพยากรไม่มี เจ้านายไม่เข้าใจ
และแทนที่ด้วย...
✅ เริ่มลงมือทำแม้ไม่มีตำแหน่ง >> คนที่มี Self-Ownership ไม่ต้องรอให้ใครแต่งตั้งเป็นผู้นำ
✅ สร้างโอกาสแทนที่จะรอโอกาส >> ทุกปัญหาคือโอกาสสำหรับผู้นำที่แท้จริง
✅ รับผิดชอบแม้ในเรื่องที่ดูเหมือนไม่ใช่หน้าที่ของเรา >> เพราะนี่คือสมบัติของผู้นำที่สร้างผลลัพธ์
"Leadership begins when you take full responsibility for everything in your life."
วิธีฝึกฝน Self-Ownership ในชีวิตจริง
1️⃣ รับผิดชอบ 100% (No Excuses, No Victim Mindset)
- ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา เกิดขึ้นเพราะเราเลือกให้มันเป็นแบบนั้น
- ไม่มีข้อแก้ตัว ไม่มีการโทษสถานการณ์
2️⃣ สร้างโอกาสเอง (Create Instead of Wait)
- หยุดรอโอกาส เริ่มสร้างโอกาสเอง
- ถ้าไม่มีแหล่งความรู้ >> ศึกษาเอง
- ถ้าไม่มีทีมที่ดี >> ก็สร้างทีมและวัฒนธรรมที่ดีขึ้นมาเอง
3️⃣ ลงมือทำ แม้ไม่มีตำแหน่ง (Act Like a Leader, Even Without a Title)
- เราไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งเพื่อเป็นผู้นำ
- เริ่มเป็น "คนที่นำ" ในสิ่งที่เราเชื่อ
4️⃣ ทำงานเพื่อผลลัพธ์ ไม่ใช่เพื่อเครดิต (Impact Over Recognition)
- ความเป็นผู้นำไม่ใช่เรื่องของ "เครดิต"
- เป็นเรื่องของ "การสร้างผลกระทบที่แท้จริง"
"Self-Ownership is the foundation of all leadership."
เราไม่ได้อยากเป็นผู้นำเพื่อให้ใครยกย่อง
เราไม่ได้ทำเพื่อชื่อเสียง หรือเพื่อให้คนมองว่าเราเก่ง
แต่เรานำเพราะเรา.. ต้องการบรรลุเป้าหมาย
เพราะเป้าหมายมันสำคัญกว่าตัวเรา
เพราะการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ไม่สนใจว่าใครจะได้รับเครดิต
"ความเป็นผู้นำไม่ได้อยู่ที่ว่าใครเป็นหัวหน้า แต่อยู่ที่ว่าใครลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงบางสิ่งให้เกิดขึ้นจริง"
"Self-Ownership" ไม่ได้แปลว่า "ฉันต้องเป็นที่หนึ่ง" แต่มันคือ "ฉันรับผิดชอบ 100%"
✅ เราไม่ได้ทำเพื่อแสงไฟ เราทำเพื่อให้เป้าหมายมันเกิดขึ้นจริง
✅ เราไม่ได้แสวงหาการยอมรับ เราแสวงหาผลลัพธ์
✅ เราไม่ได้สร้างเพื่อให้คนจดจำ แต่สร้างเพื่อให้สิ่งที่เราสร้างมันอยู่รอดโดยไม่มีเรา
ลองสังเกตสิครับ…
ผู้นำที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ คือคนที่ หายไปได้โดยที่ระบบยังทำงานต่อได้
"ถ้าสิ่งที่คุณสร้างพังลงทันทีที่คุณจากไป นั่นไม่ใช่ภาวะผู้นำ แต่มันคือภาวะพึ่งพิงตัวบุคคล"
เราต้องการสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินตัวเราเอง
"เราไม่มีตัวตน เราก็ไปได้แบบไร้เพดาน"
เมื่อเราไม่ต้องคอยกังวลว่า "นี่เป็นผลงานของฉันหรือเปล่า?"
เมื่อเราไม่ต้องคอยกังวลว่า "ฉันได้รับเครดิตมากพอไหม?"
เราจะทำงานได้เร็วกว่า คล่องตัวกว่า และ ไร้เพดาน
เพราะเป้าหมายมันสำคัญกว่าตัวตน
เพราะการเปลี่ยนแปลงมันสำคัญกว่าการได้รับการยอมรับ
"และเมื่อคุณไม่แสวงหาตัวตน คุณจะไปได้ไกลกว่าที่ตัวคุณเองเคยคิดฝัน"
- - - -
Challenge > เรากำลังรออะไรอยู่?
สิ่งที่ผมอยากให้เราถามตัวเองตอนนี้คือ
- มีเรื่องอะไรที่เราอยากทำ แต่ยังไม่เริ่ม?
- มีสิ่งไหนที่เรายังรอให้ใครสักคนมาบอกทางให้?
- มีอะไรที่เราอยากเรียนรู้ แต่ยังรอให้ใครมาสอนอยู่?
"ถ้าเรายังรอ เราจะรอต่อไปอีกนานแค่ไหน?"
เพราะสุดท้ายแล้ว…
"ไม่มีใครมอบภาวะผู้นำให้กับเรา นอกจากตัวเราเอง"
#SelfOwnershipLeadership #BeTheCause #CreateOpportunities #LifeShift
2. Spontaneous Order Leadership - ผู้นำที่สร้าง
quoting nevent1q…75kx"ผู้นำที่แท้จริงไม่ใช่คนที่ควบคุมทุกอย่าง แต่คือคนที่สร้างเงื่อนไขให้ทุกอย่างดำเนินไปได้เอง"
![]()
"Spontaneous Order Leadership" คุณสร้างระบบที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง
ในอดีต… ผมเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเป็นผู้นำ
ช่วงแรกที่เราเริ่มสร้าง Right Shift และผลักดันการเกิดขึ้นของ Bitcoin Community ในไทย
ผมคิดว่าผู้นำคือ "คนที่กำหนดทิศทางทุกอย่าง ควบคุมทุกองค์ประกอบ และเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง"
แต่พอทำไปได้สักพัก ผมก็เริ่มตระหนักว่า…
"ถ้าระบบต้องพึ่งพาผู้นำมากเกินไป มันไม่มีวันแข็งแกร่งพอจะเติบโตเอง"
ผู้นำที่ดีไม่ใช่คนที่ "แบกทุกอย่างไว้" แต่เป็นคนที่ สร้างเงื่อนไขให้ทีมขับเคลื่อนไปได้เอง
และเมื่อถึงจุดหนึ่ง ผมพบว่าถ้าผมอยากให้ชุมชน Bitcoin ในไทยเติบโตจริง ๆ
ผมต้องทำให้มัน "โตโดยไม่ต้องมีผู้นำ"
ผู้นำที่ดี.. ไม่ได้ทำให้ระบบพึ่งพาตัวเขาเอง แต่ทำให้ระบบพึ่งพาตัวมันเองได้
บ้างครั้ง...
- เราอาจรู้สึกว่าถ้าไม่มีเรา ทุกอย่างจะพัง
- เราอยากให้ทีมขับเคลื่อนไปเอง แต่สุดท้ายเราก็ต้องเข้ามาแก้ปัญหาทุกอย่าง
- เราอยากสร้างระบบที่ยั่งยืน แต่กลับพบว่าทุกคนยังรอคำสั่งจากเรา
ถ้าใช่… เรากำลังเป็น "คอขวด" ของระบบตัวเอง
"ถ้าระบบพังลงทันทีที่เราไม่อยู่ แสดงว่าเราไม่ได้สร้างระบบ แต่เราสร้างภาวะพึ่งพิงตัวบุคคล"
"Spontaneous Order" ระบบที่จะขับเคลื่อนด้วยตัวมันเอง
ระบบที่ดีไม่ใช่ระบบที่มีคนควบคุมแทบทุกจุด แต่เป็นระบบที่สามารถจัดระเบียบตัวเองได้
มันคือการ สร้างกฎของเกมให้ดี และ ปล่อยให้ผู้เล่นแต่ละคนเล่นได้เอง
- เราไม่ได้ "บังคับ" แต่เรา "กำหนดเงื่อนไข"
- เราไม่ได้ "ชี้นำทุกก้าว" แต่เรา "สร้างพื้นที่ให้คนเติบโตเอง"
- เราไม่ได้ "เป็นศูนย์กลาง" แต่เรา "ทำให้ศูนย์กลางกระจายออกไป"
ผู้นำที่จะสร้างระบบที่ขับเคลื่อนได้เอง (Spontaneous Order Leadership) เขาทำอย่างไร?
1️⃣ สร้างวัฒนธรรม ไม่ใช่สร้างกฎระเบียบ
❌ ถ้าทุกอย่างต้องรอการอนุมัติจากเรา >> เราคือตัวขัดขวางความเติบโตของระบบ
✅ ถ้าเราสร้างวัฒนธรรมที่ทำให้คนตัดสินใจเองได้ >> ระบบจะพัฒนาไปได้ไกลกว่าเรา
ตัวอย่างที่ผมทดลองทำเองและใช้อยู่..
- ผมไม่ได้ "บอก" ว่าใครควรจะเรียนรู้ยังไง
- แต่ผมช่วย "สร้างพื้นที่ให้เขาแลกเปลี่ยนความรู้กันเอง"
- ผมแนะนำ "เป้าหมาย" ช่วย "สร้างแรงบันดาลใจ" ให้กับพวกเขา
ผลลัพธ์ล่ะ?
- หลายคนเริ่มเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตัวเอง
- เกิดนักสร้างคอนเทนต์รุ่นใหม่ขึ้นมาโดยไม่ต้องรอให้ใครสอน
- ผมจะสามารถถอยออกมาโดยที่ชุมชนยังเดินหน้าต่อไปได้
2️⃣ ทำให้ทุกคนเป็นผู้นำของตัวเอง (AKA สร้างผู้นำคนถัดไป)
❌ ถ้าเราต้องเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง >> ทีมจะไม่สามารถโตได้เกินความสามารถของเรา
✅ ถ้าเราทำให้ทุกคนสามารถนำได้เอง >> ระบบจะโตโดยไม่ต้องพึ่งเราตลอด
ตัวอย่างที่ผมทำใน Right Shift
- ผมไม่ได้เป็น "ศูนย์กลาง" ของทุกการตัดสินใจตลอดเวลา
- แต่ผม "กระจายศูนย์กลาง" โดยสร้างกลุ่มผู้นำย่อย ๆ ที่ดูแลกันเอง ฟูมฟักให้แต่ละคนในทีมค่อย ๆ เติบโตขึ้นมา
ผลลัพธ์เป็นยังไงบ้าง?
- มีคนลุกขึ้นมาเป็น Influencer ด้าน Bitcoin รุ่นใหม่ มิเพียงแค่ในทีม Right Shift
- ระบบเดินหน้าไปได้แม้ผมจะไม่ได้มีบทบาทเยอะเหมือนในช่วงแรก
"ผู้นำที่ดีที่สุด คือคนที่ทำให้ตัวเองไม่จำเป็น"
3️⃣ ออกจากระบบ เพื่อให้ระบบเติบโตเองได้
Spontaneous Order ไม่ได้เกิดจากการควบคุม แต่มันเกิดจากการ "ออกจากความเป็นศูนย์กลาง"
- ในปี 2024 ผมค่อย ๆ ทดลองถอยห่างจากระบบที่ได้เริ่มไว้
- ผมปล่อยให้ทีมได้ลองสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เอง
- และผมสังเกตว่า... ในหลาย ๆ ส่วน มันยังเติบโตต่อไปได้ (แม้จะไม่ทั้งหมด.. แปลว่างานผมยังไม่จบ)
"ถ้าคุณยังเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง แสดงว่าคุณยังไม่ได้สร้างระบบที่แท้จริง"
อยากเป็นผู้นำ?
อย่าทำให้ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับคุณ
ถ้าเรายังต้องเข้าไปแก้ทุกปัญหาเอง >> เราไม่ได้เป็นผู้นำที่แท้จริง
ถ้าเรายังต้องเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง >> เรากำลังสร้างระบบที่พึ่งพาเรามากเกินไป
✅ สร้างวัฒนธรรม มากกว่าสร้างกฎระเบียบ
✅ กระจายความเป็นผู้นำ มากกว่ารวมศูนย์อำนาจ
✅ สร้างคน สร้างทีม มอบความไว้วางใจ และกล้าให้โอกาสคนได้เรียนรู้ เพื่อพัฒนาตัวเอง
✅ ออกจากระบบ เพื่อให้ระบบเดินต่อไปเองได้
สิ่งที่ผมอยากให้คุณถามตัวเองตอนนี้คือ..
มีอะไรที่ถ้าคุณหายไป มันจะหยุดทำงาน?
มีอะไรที่คุณยังยึดไว้เอง ทั้งที่ควรกระจายออกไป?
ระบบของคุณขับเคลื่อนด้วยตัวเอง หรือมันยังต้องพึ่งคุณทุกอย่าง?
"ผู้นำที่ดีที่สุด คือคนที่สามารถหายไปได้ โดยที่สิ่งที่เขาสร้างยังคงเดินหน้าต่อไป"
"ผู้นำที่แท้จริง สร้างผู้นำรุ่นถัดไป"
#SpontaneousOrderLeadership #BuildSystemsNotBottlenecks #LifeShift
#Siamstr
3. Entrepreneurial Leadership - ผู้นำที่แท้จริงคือผู้สร้าง (The Builder)
quoting nevent1q…y8lv“ผู้นำที่แท้จริงไม่ใช่ผู้บริหาร แต่คือนักสร้าง”
การสร้าง คือ การกล้าเดินเข้าไปในที่มืดเป็นคนแรก
"Entrepreneurial Leadership" My way
![]()
โลกเต็มไปด้วย "ผู้บริหาร" คนที่เก่งในการจัดการระบบ ดูแลกระบวนการ ติดตามผลลัพธ์
แต่โลกไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยพวกเขา
โลกถูกเปลี่ยนแปลงด้วย "นักสร้าง" (The Builder)
คนที่เห็นโอกาสในสิ่งที่ยังไม่มีอยู่ และลงมือทำมันให้เกิดขึ้นจริง
"ผู้บริหารเก่งเก่งจัดระเบียบสิ่งที่มีอยู่ ส่วนนักสร้างเก่งที่ทำให้สิ่งที่ยังไม่มีกลายเป็นจริง"
หลายครั้งที่ผมเห็นคนตั้งคำถามว่า "ผู้นำที่ดีคืออะไร?"
คือคนที่คอยสั่งการให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ?
หรือคือคนที่สร้างสิ่งใหม่ที่ทำให้ทีมมีเหตุผลในการทำงาน?
สำหรับผม "ผู้นำที่แท้จริงคือผู้สร้าง"
พวกเขาไม่ได้แค่ปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ แต่สร้างบางสิ่งที่ยังไม่มีขึ้นมาเอง
"โอกาสไม่ได้มีไว้ให้รอ โอกาสมีไว้ให้สร้าง
- ไม่รอให้ปัญหาหมดไป >> แต่สร้างวิธีแก้ปัญหาขึ้นมาเอง
- ไม่รอให้มีโอกาส >> แต่สร้างโอกาสเอง
- ไม่แค่จัดการสิ่งที่มี >> แต่สร้างสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
ถ้าคุณต้องการเป็นผู้นำที่แท้จริง คุณต้องเลิกคิดแบบผู้บริหาร แล้วเริ่มคิดแบบนักสร้าง
จาก 0 >> Right Shift >> Siamstr >> Right Node
เราไม่ได้รอให้มี Community เกิดขึ้นในแบบที่เราอยากได้ เราสร้างมันขึ้นมาเอง
ก่อนปี 2021 ในไทยยังไม่มี Community Bitcoin ที่เป็นโครงสร้างชัดเจนมากนัก
แหล่งข้อมูลก็มีน้อย มีเพียงช่องทางของ อ.พิริยะ ที่ให้ความรู้แบบจริงจังแต่เพียงลำพัง
ไม่มีพื้นที่ให้คนที่สนใจมาแลกเปลี่ยนความรู้ ไม่มีคอนเทนต์ที่ลึกซึ้งเป็นระบบระเบียบในรูปแบบภาษาไทย
ในตอนนั้น.. ผมมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง
1️⃣ รอให้มีคนอื่นมาสร้างให้ แล้วค่อยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งขอบมัน
2️⃣ สร้างมันขึ้นมาเองเสียเลย
ผมเลือกทางที่สอง..
“ถ้าสิ่งที่เราต้องการยังไม่มีในโลก เราก็สร้างมันขึ้นมาเอง”
นี่คือวิธีคิดแบบนักสร้าง ที่ทำให้เรากลายเป็นผู้นำ
1️⃣ สร้างเลย แทนที่จะรอ (Create Instead of Wait)
❌ หยุดรอให้มีคนมาให้โอกาส
✅ เริ่มเป็นคนที่ สร้าง โอกาสเอง
- อยากเห็นอุตสาหกรรมดีขึ้น? >> สร้างพื้นที่ให้คนแลกเปลี่ยนความรู้ คอนเน็คกันเอง
- อยากมีทีมที่ดีมีศักยภาพ >> สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการปรากฏตัวของคนที่มีศักยภาพ
- อยากเห็นทีมแข็งแกร่งขึ้น? >> สร้างวัฒนธรรมที่ดีขึ้น
- อยากให้ตัวเองมีคุณค่า? >> สร้างคุณค่าให้ตลาดก่อนที่ตลาดจะต้องการมัน
"ผู้นำที่แท้จริงไม่รอให้อนาคตเกิดขึ้น แต่สร้างอนาคตขึ้นมาเอง"
2️⃣ มองหา “ปัญหาที่คนอื่นมองข้าม” (Opportunity in Problems)
❌ อย่ามองปัญหาเป็นแค่ปัญหา
✅ มองว่าปัญหาคือ โอกาสที่ยังไม่มีใครแก้
- ไม่มีผู้คนออกมาให้ความรู้เรื่อง Bitcoin แบบจริงจัง? (ไม่นับ อ.พิริยะ ที่ทำอยู่ก่อนแล้ว) >> ทำให้มันเกิดขึ้นเอง
- ตลาดไทยไม่มีมาตรฐานสำหรับ Bitcoin Education? >> เราสร้างมาตรฐานเอง
- ไม่มีพื้นที่ให้คนเก่ง ๆ รวมตัวกัน? >> ผมสร้างทีมขึ้นมาเอง สร้างพื้นที่ให้พวกเขารวมตัวกัน
"ทุกครั้งที่มีคนบ่น นั่นแปลว่าโอกาสของเรากำลังรอให้เราไปสร้างมันขึ้นมา"
3️⃣ ลงมือทำ แม้ไม่มีใครรับประกันความสำเร็จ (Take Risks & Build Anyway)
❌ หยุดคิดว่า "จะเวิร์คไหม?"
✅ เริ่มคิดว่า "เราจะทำให้มันเวิร์คได้ยังไง?"
- เราเริ่มสร้าง Right Shift ทั้งที่ยังไม่มีเงินทุนมากนัก
- ผมเริ่มทำคอนเทนต์เอง ทั้งที่ตอนแรกยังไม่มีใครเสพ
- เราเริ่มจัด Meetup Bitcoin ไทย ทั้งที่ไม่ค่อยมีใครเคยจัดมาก่อน
"โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือโอกาสที่คนอื่นยังไม่เห็น"
//////////
"การสร้าง" คือ การกล้าเดินเข้าไปในที่มืดเป็นคนแรก
การเป็น "นักสร้าง" ไม่ใช่แค่การทำสิ่งใหม่ แต่มันคือการก้าวเข้าไปในที่ที่ยังไม่มีใครเคยไป
"ที่ที่มืดสนิท" ที่ที่ไม่มีใครรู้ว่าข้างในมีอะไร ไม่มีเส้นทาง ไม่มีระบบ ไม่มีหลักประกันว่ามันจะสำเร็จ
"พื้นที่ที่ไม่มีใครเข้าไป ไม่ใช่เพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่มันเป็นเพราะยังไม่มีใครกล้าพอ"
ความมืด… มันคือสิ่งที่น่ากลัวโดยธรรมชาติ
เพราะมนุษย์กลัวสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็น
แต่ในขณะเดียวกัน ความมืดนั้นก็เป็นที่ที่ยังไม่มีใครครอบครอง
มันคือ Blue Ocean
มันคือโอกาสอันบริสุทธิ์ที่รอให้ใครสักคนกลายเป็นคนแรกที่เปิดไฟ
+ เราไม่ได้แค่สร้าง Right Shift ขึ้นมา
+ เราเดินเข้าไปในที่มืด และทำให้มันกลายเป็นพื้นที่ของเรา
ความกล้าที่จะเข้าไปในความมืด คือ ต้นทุนของนักสร้าง
ทุกตลาดที่ยังไม่มีใครอยู่ มันน่ากลัว
ทุกไอเดียที่ยังไม่มีใครทำ มันเสี่ยง
ทุกการเริ่มต้นที่ไม่มีใครการันตี มันเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
แต่… นักสร้างตัวจริงไม่ใช่คนที่หลีกเลี่ยงความมืด เขาคือคนที่เดินเข้าไปเพื่อเปลี่ยนมันให้เป็นของตัวเอง
"ถ้าเรากลัวความมืด เราก็จะไม่มีวันได้เป็นเจ้าของแสงสว่าง"
เราไม่ได้รอให้มีแสง… เราเป็นคนเปิดไฟเอง
การเป็นนักสร้างไม่ได้แปลว่าเราต้อง “หาทางที่ปลอดภัย”
แต่มันหมายถึง..
เราต้องเป็นคนออกแบบอนาคตที่เราต้องการจะอยู่เอง
ถ้ายังไม่มีระบบ >> ออกแบบให้มันเกิดขึ้นเอง
ถ้ายังไม่มีคนเชื่อ >> ทำให้เขาเห็นเอง
"คนที่กล้าก้าวเข้าไปในที่มืดก่อน คือคนที่ได้ออกแบบโลกใหม่ที่คนอื่นจะเข้ามาอยู่"
วันนี้เรากำลังแก้ปัญหา หรือกำลังสร้างโอกาส?
เรากำลังรอให้โอกาสมา หรือเรากำลังสร้างมันขึ้นมา?
เราเห็นปัญหาแล้วบ่น หรือเราเห็นปัญหาแล้วลงมือแก้มัน?
เรากำลังแค่ "บริหาร" สิ่งที่มี หรือกำลัง "สร้าง" สิ่งใหม่?
"โลกนี้ไม่ได้ขาดแคลนผู้บริหาร แต่มันขาดแคลนนักสร้าง"
#EntrepreneurialLeadership #CreateNotWait #BeTheCause #LifeShift #Siamstr
4. Skin in the Game - ผู้นำที่แท้จริงต้องลงทุนลงแรงเอง
quoting nevent1q…3x77“ถ้าเรายังไม่ได้เดิมพันอะไรเลย เราไม่ใช่ผู้นำ”
![]()
เรากำลังเดิมพันอะไรกับสิ่งที่เราเชื่อ?
ทุกคน พูด ได้…
แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ ลงมือทำ
เราจะเห็นคนมากมายออกมาพูดถึง "อนาคตที่ดีกว่า", "อุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่", "โอกาสที่ต้องคว้าไว้"
แต่พอถึงเวลาลงมือ พวกเขาอยู่ตรงไหน?
"โลกนี้เต็มไปด้วยคนที่พูดถึงความเปลี่ยนแปลง แต่มีไม่กี่คนที่ลงมือสร้างมันจริง ๆ"
และนี่คือเหตุผลที่ "Skin in the Game" คือสิ่งที่แยก "ผู้นำตัวจริง" ออกจาก "นักพูด"
ผู้นำที่แท้จริงต้องลงทุนลงแรงเอง (Skin in the Game)
- ผู้นำที่แท้จริงไม่ได้เดิมพันด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว แต่เดิมพันด้วยการกระทำด้วย
- ถ้าเราเชื่อในบางสิ่งจริง ๆ เราต้องยอมเดิมพันด้วยตัวเอง
- ไม่มีความเสี่ยง ไม่มีการลงทุน >> ไม่มีความหมาย
“ถ้าเราไม่ได้แบกรับความเสี่ยง เราไม่มีสิทธิ์พูดว่าเราเป็นเจ้าของการเปลี่ยนแปลงนั้น”
"ถ้าเราไม่มีส่วนในการรับผิดชอบกับผลที่ตามมา เราไม่มี Skin in the Game"
เราไม่มีสิทธิ์บอกว่าเราเชื่อในบางสิ่ง ถ้าเราไม่กล้าลงแรงเพื่อมัน
- ผมเริ่มสร้างคอนเทนต์เอง ตั้งแต่ยังไม่มีทีม
- ผมเริ่มผลักดัน Community เอง ตั้งแต่ยังไม่มีใครสนใจ
- ผมลงแรงทำงาน 2-3 ปี แลกกับเวลาส่วนตัว โดยแทบไม่มีรายได้กลับมา
ผมไม่ได้แค่พูดว่า "Bitcoin สำคัญ"
แต่ผมลงทุน ทั้งเวลา ทั้งพลัง ทั้งโอกาส เพื่อให้มันเกิดขึ้นจริง
"เราไม่ได้เดิมพันแค่ด้วยเงิน แต่อยู่ที่ว่าเราเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสนามด้วยหรือเปล่า"
Skin in the Game ไม่ได้แปลว่าแค่ "ลงเงิน" แต่มันคือ "ลงตัวเอง"
❌ เราคือคนที่พูดว่า Bitcoin สำคัญ แต่ไม่เคยทำอะไรเพื่อให้มันเติบโตได้รับการยอมรับ?
❌ เราคือคนที่บอกว่าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม แต่ยังรอให้คนอื่นเริ่ม?
❌ เราคือคนที่วิจารณ์ทุกอย่าง แต่ไม่เคยเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงกับมัน?
"ถ้าสิ่งที่คุณพูดถึงมันสำคัญจริง คุณต้องมีบางอย่างที่คุณยอมเสียไปเพื่อมัน"
- ถ้าเราอยากเห็น Community เติบโต เราต้องเป็นคนที่สร้างมันขึ้นมาก่อน
- ถ้าเราอยากให้ทีมแข็งแกร่ง เราต้องเป็นคนที่ยืนอยู่แถวหน้าในเวลาที่ยากลำบาก
- ถ้าเราอยากให้คนเชื่อในสิ่งที่เราสร้าง เราต้องเป็นคนแรกที่ลงทุนกับมัน
"ถ้าเราไม่ได้เสี่ยงอะไรเลย ก็ไม่มีเหตุผลที่ใครจะเชื่อในสิ่งที่เราพูด"
นักสร้าง..
ไม่ต้องการให้ใครมายอมรับ >> แต่ให้ผลงานเป็นตัวพิสูจน์
"ผู้นำที่แท้จริงไม่ใช่คนที่อยู่ในสนาม แต่คือคนที่ลงมือทำจนสนามนั้นถูกสร้างขึ้นมา"
ทำไมเราต้องมี Skin in the Game?
1️⃣ ถ้าไม่มีความเสี่ยง มันไม่มีความหมาย
- ถ้าเราพูดถึงการเปลี่ยนแปลง แต่ไม่ได้ลงทุนลงแรง >> เราก็แค่ ผู้ชม
- ถ้าเราวิจารณ์ระบบ แต่ไม่พยายามสร้างระบบใหม่ >> เราก็แค่ เสียงรบกวน
- ถ้าเราเชื่อในบางสิ่ง แต่ไม่กล้าเสี่ยงเพื่อมัน → เราก็แค่ นักฝันที่ไม่เคยลงมือทำอะไร
"ถ้าเราจะเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลง เราต้องเดิมพันกับมัน"
2️⃣ ถ้าเราไม่ลงมือเอง เราไม่มีสิทธิ์พูดว่าเราเป็นผู้นำ
- ถ้าเราไม่เคยสร้างอะไรเลย >> เราไม่มีสิทธิ์บอกว่าเราเข้าใจมัน
- ถ้าเราไม่เคยลงแรงเพื่อมัน >> เราไม่มีสิทธิ์บอกว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของมัน
- ถ้าเราไม่ได้เดิมพันกับมันจริง ๆ >> เราไม่มีสิทธิ์พูดว่าเรายืนหยัดเพื่อมัน
"Leadership is not about power. It’s about responsibility."
3️⃣ ถ้าเรากลัวความเสี่ยง เราจะไม่มีวันเป็นผู้นำที่แท้จริง
- ผู้นำต้องเป็น คนแรกที่เดินเข้าไปในสนาม
- ผู้นำต้องเป็น คนแรกที่ลงแรง แม้ไม่มีอะไรรับประกัน
- ผู้นำต้องเป็น คนแรกที่เจ็บตัว เพื่อให้คนอื่นเดินตาม
"คนที่กลัวความเสี่ยง จะไม่มีวันได้ครอบครองโอกาสที่แท้จริง"
Entrepreneurial Leadership ต้องมาพร้อม Skin in the Game
- เราไม่ได้เป็นผู้นำเพราะพูดเก่งอย่างเดียว แต่เพราะเราลงมือทำจริงตลอดเวลา
- เราไม่ได้สร้างอิทธิพลเพราะคนฟังเรา แต่เพราะเราทำให้พวกเขาเห็นตัวอย่าง
- เราไม่ได้เรียกร้องให้คนเชื่อในสิ่งที่เราพูด แต่ทำให้พวกเขาเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นไปได้
"ถ้าคุณยังไม่ได้เดิมพันอะไรเลย แสดงว่าคุณยังไม่ได้เล่นเกมนี้จริง ๆ"
คนที่ได้รับผลจากสิ่งที่เราลงมือทำโดยตรง จะรู้ว่าเราลงเดิมพันด้วยอะไร มูลค่าเท่าไหร่
คนที่ได้รับผลจากสิ่งที่เราลงมือทำทางอ้อม จะแค่เข้าใจว่าเราเป็นใครสักคนจากในที่มืด ไร้มูลค่า
เราใช้ "โอกาสที่เสียไปหากเอาไปทำเรื่องอื่น" มาลงทุนลงแรงกับสิ่งนี้
เรามี "Skin in the game" กับบิตคอยน์
#SkinInTheGame #ActNotJustTalk #BeTheCause #LifeShift
#Siamstr
5. Anti-Fragile Leadership - ยิ่งโดน ยิ่งแกร่ง ยิ่งเติบโต
quoting nevent1q…z40f“ไม่ใช่แค่รอดจากความเปลี่ยนแปลง แต่เติบโตจากมัน”
![]()
"Anti-Fragile Leadership" เติบโตจากความท้าทาย
เพราะแค่ “อยู่รอด” มันไม่พอ เราต้อง “เติบโต”
เราทุกคนต้องเจอกับความเปลี่ยนแปลง ความไม่แน่นอน และแรงกระแทกจากสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่าง "ผู้นำธรรมดา" กับ "ผู้นำที่แท้จริง" ไม่ใช่แค่ว่า.. ใครรอดจากปัญหาได้
แต่มันคือ.. ใครใช้ปัญหานั้นเป็นแรงผลักให้ตัวเองไปไกลกว่าเดิม
"โลกไม่ได้เป็นของคนที่แค่ปรับตัวได้ แต่มันเป็นของคนที่ใช้ความไม่แน่นอนเป็นเชื้อเพลิงให้ตัวเองเติบโต"
นี่คือแนวคิดของ Anti-Fragility >> ยิ่งโดนแรงกระแทก ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
เรามักพูดถึง "ความยืดหยุ่น (Resilience)" ว่าเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้นำ
แต่ Resilience คือ “การกลับไปสู่สภาพเดิมหลังเจอปัญหา”
ในขณะที่ Anti-Fragility คือ "การเติบโตจากปัญหา"
"ผู้นำที่ดีไม่ได้แค่เอาตัวรอดจากพายุ แต่ใช้พายุเป็นลมที่ผลักดันให้ตัวเองไปไกลขึ้น"
❌ คนที่เปราะบาง (Fragile) >> เจอความท้าทายแล้วพัง
✔️ คนที่ยืดหยุ่น (Resilient) >> เจอความท้าทายแล้วกลับมาเท่าเดิม
🔥 คนที่ Anti-Fragile >> เจอความท้าทายแล้วเติบโตไปอีกระดับ
ผมไม่ได้แค่รอดจากปัญหา >> ผมใช้ปัญหาเป็นแรงส่งให้ไปไกลกว่าเดิม
Anti-Fragile เปลี่ยนแรงกระแทกให้เป็นแรงส่ง
มีคำกล่าวว่า "ความล้มเหลวไม่ได้ทำให้เราพัง แต่วิธีที่เราตอบสนองต่อมันต่างหากที่เป็นตัวตัดสินอนาคตของเรา"
ตัวอย่างจริง.. จากการถูกปฏิเสธ สู่การสร้างสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด
ย้อนกลับไปที่ Netflix ในช่วงปี 2000
Reed Hastings ผู้ร่วมก่อตั้ง Netflix เคยเสนอขายบริษัทให้ Blockbuster ในราคาเพียง 50 ล้านเหรียญ
แต่ Blockbuster ปฏิเสธ Netflix พร้อมหัวเราะเยาะกับโมเดลธุรกิจของพวกเขา
- Netflix สามารถจมอยู่กับความผิดหวังได้
- พวกเขาสามารถบ่นว่าตลาดไม่เข้าใจพวกเขาได้
- พวกเขาสามารถโทษโชคชะตาและยอมแพ้ได้
แต่แทนที่จะจมอยู่กับ "การปฏิเสธ" พวกเขากลับเลือกที่จะ "สร้างโอกาสจากสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความล้มเหลว"
"ถ้าโอกาสถูกปิดตรงนี้ ก็แปลว่าเราต้องสร้างโอกาสใหม่ขึ้นมาเอง"
+ แทนที่จะรอการยอมรับจาก Blockbuster >> Netflix สร้างโมเดลสตรีมมิ่งที่ปฏิวัติอุตสาหกรรม
+ แทนที่จะยึดติดกับการเช่าดีวีดี >> พวกเขามุ่งไปที่อนาคตของคอนเทนต์ดิจิทัล
+ แทนที่จะเสียเวลากับอดีต >> พวกเขาสร้างแพลตฟอร์มที่ทำให้ Blockbuster ล่มสลายไปตลอดกาล
Netflix ไม่ใช่บริษัทเดียวที่เปลี่ยนเกมจากความล้มเหลว
- Steve Jobs เคยถูกไล่ออกจาก Apple ก่อนที่เขาจะกลับมาสร้าง iPhone
- J.K. Rowling ถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์นับสิบแห่ง ก่อนที่ Harry Potter จะเปลี่ยนโลกหนังสือ
จงเปลี่ยนทุกความพ่ายแพ้ให้เป็นแรงส่ง
เราทุกคนเคยเจอช่วงเวลาที่เหมือน "โดนปฏิเสธ"
- มันอาจเป็นการ ถูกปฏิเสธจากโปรเจกต์สำคัญ
- มันอาจเป็น การถูกบอกว่าคุณไม่มีคุณค่าพอ
- มันอาจเป็น การสูญเสียโอกาสที่คุณเคยคิดว่ามันเป็นทุกอย่าง
แต่ถ้าเรามีความเป็น Anti-Fragile เราจะใช้สิ่งนั้นเป็น พลังในการสร้างสิ่งใหม่
"บางครั้ง การสูญเสียสิ่งที่เราคิดว่าจำเป็น อาจเป็นจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า"
+ ถ้าประตูหนึ่งถูกปิด นั่นไม่ได้แปลว่าจบ แต่แปลว่าเราต้องสร้างประตูใหม่ขึ้นมาเอง
+ ถ้าคุณค่าของเราถูกมองข้าม นั่นไม่ได้แปลว่าเราต้องพิสูจน์ตัวเองให้พวกเขาเห็น แต่มันแปลว่าเราต้องสร้างเวทีที่ทำให้ตัวเองเปล่งประกายโดยไม่ต้องรอใครอนุญาต
"บางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนเป็นความพ่ายแพ้ อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณก้าวกระโดดไปข้างหน้า"
มายเซ็ตของ "Anti-Fragile Leadership" วิธีเติบโตจากความท้าทาย
1️⃣ อย่ากลัวการสูญเสีย มันคือโอกาสในการสร้างใหม่
❌ คนที่เปราะบาง >> สูญเสียอะไรไปแล้วรู้สึกว่าไม่มีทางไปต่อ
✔️ คนที่ Anti-Fragile >> สูญเสียอะไรไปแล้วมองหาว่า “สร้างอะไรขึ้นมาแทนได้บ้าง”
- ถูกลดบทบาท? >> สร้างบางอย่างที่เป็นของตัวเองจริง ๆ
- ไม่ได้รับการยอมรับ? >> สร้างพื้นที่ที่ทำให้เรามีเสียงได้เอง
- องค์กรไม่เห็นคุณค่าเรา? >> ทำให้ตลาดเห็นคุณค่าเราแทน
"ความสูญเสียไม่ใช่จุดจบ มันเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่เสมอ"
2️⃣ ใช้แรงต้านเป็นพลังขับเคลื่อน
❌ คนที่เปราะบาง >> เจอแรงกดดันแล้วพยายามหลบเลี่ยง
✔️ คนที่ Anti-Fragile >> ใช้แรงกดดันเป็นแรงส่งให้ไปไกลขึ้น
- ถูกกดดันให้พิสูจน์ตัวเอง? >> ใช้มันเป็นโอกาสแสดงศักยภาพ
- เจอคนขวางทาง? >> แปลว่ากำลังไปถูกทาง
- เจออุปสรรค? >> แปลว่ามีสิ่งที่เราต้องพัฒนาเพิ่ม
"ทุกแรงกดดันคือเชื้อเพลิง ถ้าคุณใช้มันให้ถูกทาง"
3️⃣ ออกจาก Comfort Zone ก่อนที่มันจะฆ่าเรา
❌ คนที่เปราะบาง >> ติดอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย เพราะกลัวสูญเสียสิ่งที่มี
✔️ คนที่ Anti-Fragile >> ออกจาก Comfort Zone ก่อนที่สถานการณ์จะบังคับให้ต้องออก
- ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เราทำอยู่เริ่มเจอทางตัน >> เราต้อง Pivot ก่อนที่จะสายไป
- ถ้าเรารู้ว่าทีมเรากำลังติดอยู่ในลูปเดิม >> เราต้องท้าทายตัวเองก่อนที่ตลาดจะทำมันแทนเรา
บางครั้งเรามัวแต่ยึดติดกับสิ่งที่เคยเวิร์คในอดีต โดยไม่สังเกตว่าวันนี้เกมเปลี่ยนไปแล้ว
- Kodak เคยเป็นเจ้าแห่งฟิล์มถ่ายภาพ แต่พวกเขาช้าไปกับยุคดิจิทัล
- Nokia เคยครองตลาดมือถือ แต่ไม่ Pivot สู่สมาร์ทโฟนเร็วพอ
- แต่ Instagram เคยเริ่มต้นจากแอปเช็คอิน แล้ว Pivot สู่แพลตฟอร์มแชร์ภาพ >> นี่คือเหตุผลที่พวกเขารอด"
"ถ้าคุณอยู่ใน Comfort Zone นานเกินไป นั่นแปลว่าคุณกำลังค่อย ๆ ตาย"
ลองถามตัวเอง..
เรากำลังพยายามอยู่รอด หรือกำลังใช้ปัญหามาสร้างอนาคต?
- ถ้าเราเจออุปสรรค แล้วคิดแค่จะผ่านมันไป >> เรากำลังแค่ "อยู่รอด"
- แต่ถ้าเราเจออุปสรรค แล้วใช้มันสร้างโอกาสใหม่ >> เรากำลัง "เติบโต"
- และถ้าเราเติบโตจากทุกความท้าทาย >> เราจะไปได้ไกลกว่าใคร ๆ
"โลกนี้ไม่ได้เป็นของคนที่รอดจากพายุ แต่มันเป็นของคนที่ใช้พายุเป็นแรงขับเคลื่อนตัวเอง"
"คนที่เปราะบาง จะถูกความเปลี่ยนแปลงทำลาย คนที่ Anti-Fragile จะใช้มันเป็นบันไดไปสู่ระดับต่อไป"
#AntiFragileLeadership #GrowThroughChallenges #BeTheCause #LifeShift #Siamstr
6. Narrative Leadership (ทุ่งม่วง Only)
quoting nevent1q…rmmn"Narrative Leadership" [Nostr only]
อำนาจของเรื่องเล่า และความรับผิดชอบของผู้นำ
"โลกนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่มันถูกขับเคลื่อนโดยเรื่องเล่า (Narratives)"
1. ผู้นำสร้างเรื่องเล่า หรือเรื่องเล่าสร้างผู้นำ?
เราทุกคนใช้ชีวิตอยู่ใน "เรื่องเล่า" ที่ถูกสร้างขึ้น
- บางเรื่องเล่ามาจากสังคม ("ชีวิตที่ดีต้องมั่นคง")
- บางเรื่องเล่ามาจากตัวเราเอง ("ฉันเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก")
- และบางเรื่องเล่ามาจาก "ผู้นำ" ที่เราฟัง
เรื่องเล่าที่ถูกสร้างขึ้น... มีพลังมากกว่าที่เราคิด
มันสามารถ "ผลักดัน" คนให้เติบโต หรือ "ผูกมัด" คนให้อยู่ที่เดิม
และนี่คือเหตุผลที่ผู้นำทุกคนควรตั้งคำถามกับ Narrative ที่ตนเองสร้างขึ้น
2. ผู้นำที่ดีใช้ Narrative เพื่อนำ ไม่ใช่เพื่อควบคุม
"Narrative Leadership ไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องให้คนฟัง แต่มันคือการสร้างเรื่องเล่าที่คนอยากเป็นส่วนหนึ่งของมัน"
ตัวอย่างง่าย ๆ
- Steve Jobs ไม่ได้ขายแค่คอมพิวเตอร์ แต่เขาสร้างเรื่องเล่าว่า "Think Different"
- Elon Musk ไม่ได้ขายแค่รถยนต์ไฟฟ้า แต่เขาสร้างเรื่องเล่าว่า "เรากำลังช่วยโลก"
- Bitcoin ไม่ใช่แค่เงินดิจิทัล แต่มันคือเรื่องเล่าของ "อิสรภาพทางการเงิน"
เรื่องเล่าเหล่านี้ทำให้คนอยากเข้ามามีส่วนร่วม ไม่ใช่เพราะถูกบังคับ แต่เพราะ.. พวกเขาเห็นตัวเองอยู่ในเรื่องราวนั้น
3. Narrative ที่ปลดปล่อย vs. Narrative ที่ผูกมัด
Narrative ที่ปลดปล่อย (Empowering Narrative)
- กระตุ้นให้คนคิดเอง >> ไม่ใช่เชื่อเพราะ "ผู้นำบอก"
- ให้เครื่องมือและมุมมอง >> ไม่ใช่ข้อสรุปตายตัว
- ทำให้คนรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของเรื่องราว >> ไม่ใช่แค่ "ตามผู้นำ"
Narrative ที่ผูกมัด (Controlling Narrative)
- บอกว่ามีแค่ "ทางเดียว" ที่ถูกต้อง
- ทำให้คนกลัวที่จะตั้งคำถาม
- ทำให้คนรู้สึกว่า ถ้าไม่มีผู้นำ พวกเขาจะเดินต่อไปไม่ได้
ผู้นำต้องถามตัวเองเสมอว่า "Narrative ของฉันกำลังปลดปล่อย หรือกำลังผูกมัด?"
4. Narrative Leadership ไม่ใช่ Manipulation แต่ต้องมีความรับผิดชอบ
"ทุกครั้งที่คุณมีอิทธิพลต่อความคิดของคนอื่น คุณต้องรับผิดชอบต่อมัน"
มีบางคนบอกว่า..
"Jakk ใช้จิตวิทยาชักใยคนอื่น"
"Jakk สร้างเรื่องเล่าให้คนคล้อยตาม"
ผมไม่ปฏิเสธครับว่าผมใช้ Narrative...
แต่คำถามสำคัญคือ "ผมใช้มันเพื่ออะไร?"
- ผมสร้าง Narrative เพื่อทำให้คนคิดเอง >> ไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาเชื่อแบบไม่มีข้อกังขา
- ผมใช้ Narrative เพื่อให้คนเห็นโอกาส >> ไม่ใช่เพื่อให้พวกเขาเดินตามโดยไม่ตั้งคำถาม
- ผมสร้าง Narrative ที่ให้พลัง >> ไม่ใช่ที่ทำให้พวกเขาพึ่งพาผม
สิ่งสำคัญของ Narrative Leadership คือ "ผู้นำต้องมีความรับผิดชอบต่อเรื่องเล่าที่ตนสร้างขึ้น"
ต้องมี Skin in the Game, ต้องลงสนามจริง
5. Narrative ที่ดี ควรอยู่ได้โดยไม่มีตัวผู้นำ
"ผู้นำที่ดีที่สุด คือคนที่สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง"
ถ้าวันหนึ่ง #Siamstr เติบโตได้โดยไม่มีผู้นำ
ถ้าสิ่งที่พวกเราสร้าง ยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าพวกเราหลายคนจะไม่อยู่แล้ว
นั่นแปลว่า Narrative ที่เราสร้าง มันทำงานได้จริง
Bitcoin ยังคงอยู่ แม้ไม่มี Satoshi
Open-source ยังคงพัฒนา แม้ไม่มีผู้สร้างดั้งเดิม
ถ้าคอมมูนิตี้ต้องพึ่งผู้นำตลอดไป แปลว่าเหล่าผู้นำล้มเหลว
So.. Narrative ที่ดี ควรเป็นสะพาน ไม่ใช่โซ่ตรวน >> ปลดปล่อย ไม่ใช่ผูกมัด
"โลกนี้ถูกขับเคลื่อนด้วย Narrative… คำถามคือ เรากำลังสร้างเรื่องเล่าที่ทำให้ผู้คนเป็นอิสระ หรือทำให้พวกเขาติดอยู่กับบางอย่าง?"
#NarrativeLeadership #WebWeaving #BeTheCause
============================================
Writing Like Jakk - เขียนแบบ Jakk
quoting nevent1q…dlwe"การเขียน.. ไม่ใช่แค่เรื่องของภาษา แต่มันคือศิลปะของการพาคนอ่านไปสู่คำตอบที่พวกเขาไม่เคยรู้ว่ามีอยู่"
![]()
การเขียนที่ดี ไม่ได้แค่ทำให้คนอ่านเข้าใจ แต่ต้องทำให้ "รู้สึก" และ "จดจำ"
หลายครั้ง.. คนที่สื่อสารได้ทรงพลัง ไม่ได้เก่งเพราะมีคำศัพท์หรูหรา หรือสำนวนอลังการ แต่เพราะเขารู้ว่าควรใช้ "วิธีเล่า" แบบไหน ให้โดนใจผู้อ่าน
ลองมาดู 5 เทคนิคการเขียนบทความง่าย ๆ ที่ผมมักใช้ ทำให้เนื้อหาดูมีมิติ และสัมผัสใจคนอ่านมากขึ้น
1️⃣ Narrative Flow – เล่าเรื่องผ่านสถานการณ์
มนุษย์จดจำ "เรื่องราว" ได้ดีกว่า "ข้อเท็จจริงแห้งๆ"
ลองคิดถึงเวลาเรานั่งฟังเพื่อนเล่าเรื่องสนุกๆ กับการฟังบรรยายข้อมูลในห้องเรียน ความแตกต่างคืออะไร?
"เรื่องราว" ทำให้เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของมัน
แทนที่จะเขียนว่า
"คนที่ชอบชี้นิ้วออก มักจะไม่ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง"
ลองเปลี่ยนเป็นเล่าเหตุการณ์
"สมมติว่าคุณขับรถอยู่ แล้วมีคนแทรกเข้ามาในเลนแบบกระทันหัน คุณสบถออกมา ‘ไอ้นี่ขับรถห่วยแตก!’ แต่คุณเคยคิดไหม… ว่าตัวคุณเองก็อาจเคยเผลอทำแบบนี้ในวันที่รีบสุดๆ?"
คนอ่านจะ "เห็นภาพ" และเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง
2️⃣ The Contradiction Challenge – ตั้งข้อขัดแย้งเพื่อกระตุ้นความคิด
คนเรามักจะเชื่อในสิ่งที่ "เคยชิน" แต่ถ้าเราโยนอะไรที่ตรงข้ามออกไปล่ะ?
"บางครั้ง การไม่ให้คำตอบที่ชัดเจน คือการเขียนที่ทรงพลังที่สุด"
"เราเชื่อว่าคนดีต้องได้รับสิ่งดีๆ แต่เคยสังเกตไหมว่าบางครั้งคนที่ขยันสุดๆ กลับไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนคนที่ดูไม่พยายามมาก กลับไปได้ไกล?"
"ทุกคนอยากเป็นตัวของตัวเอง แต่ถ้าสิ่งที่คุณเรียกว่า ‘ตัวเอง’ ถูกสร้างขึ้นมาจากกรอบสังคมตั้งแต่แรกล่ะ?"
คนอ่านจะหยุด คิด และเริ่มสำรวจมุมมองใหม่
3️⃣ Question-Driven Exploration – ตั้งคำถามให้ฉุกคิด
คนเรามักอยากหาคำตอบ โดยเฉพาะคำถามที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง
แทนที่จะบอกตรงๆ ให้คนอ่านทำอะไร ลองตั้งคำถามให้เขาต้อง "เลือก"
"ถ้าคุณต้องเลือกระหว่าง ‘ชีวิตที่ปลอดภัยแต่ไม่มีความหมาย’ กับ ‘ชีวิตที่เสี่ยงแต่ถูกเติมเต็ม’ คุณจะเลือกอะไร?"
"คุณบอกว่าต้องการเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าดูดีๆ สิ่งเดียวที่คุณทำคือตั้งเป้าหมายซ้ำๆ โดยไม่ลงมือทำ?"
คนอ่านอาจจะสะดุด และหยุดอ่านแบบผ่านๆ แต่ก็อาจเริ่มถามตัวเองจริงๆ
4️⃣ Reverse Engineering – ถอดรหัสพฤติกรรม
นี่คือเทคนิคที่ใช้การ "ย้อนกลับ" ว่าทำไมบางคนถึงคิดหรือทำอะไรบางอย่าง
แทนที่จะบอกว่าต้องทำยังไง เราเริ่มจาก "ทำไมถึงเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก?"
"ทำไมบางคนขยันแต่งานไม่เดินหน้า?"
พวกเขายุ่งกับงานที่ ‘ดูเหมือนสำคัญ’ แต่ไม่ใช่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์จริงๆ
พวกเขาโฟกัสที่การ ‘ทำให้ดีที่สุด’ แต่ไม่เคยตั้งคำถามว่า ‘สิ่งนี้จำเป็นจริงๆ หรือเปล่า’
"ทำไมบางคนประสบความสำเร็จเร็วกว่า?"
เพราะพวกเขาไม่ได้รอให้ ‘พร้อม’ แต่เริ่มแม้ยังไม่รู้ทุกอย่าง
เพราะพวกเขาเรียนรู้จากคนที่ทำสำเร็จแล้ว แทนที่จะพยายามแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเอง
คนอ่านเริ่มเห็น "กลไกเบื้องหลัง" ของพฤติกรรม และสามารถนำไปใช้ได้จริง
5️⃣ Personal Letter Format – เขียนเหมือนจดหมายถึงผู้อ่าน
นี่คือวิธีที่ทำให้เนื้อหาดู "ใกล้ชิด" เหมือนกำลังพูดกับเพื่อน ไม่ใช่แค่การสอนหรือบรรยาย
มันใช้ "ความจริงใจ" และ "ความเป็นมนุษย์" ดึงให้คนอ่านรู้สึกว่า "นี่คือเรื่องของฉัน"
"ถึงคุณที่กำลังรู้สึกเหนื่อย...
ฉันเข้าใจนะว่ามันไม่ง่ายเลย บางวันคุณอยากล้มเลิก บางวันคุณสงสัยว่าตัวเองมาถูกทางไหม
แต่ขอให้รู้ไว้อย่างหนึ่ง... การเดินไปช้าๆ ยังดีกว่าการยืนอยู่กับที่ เพราะการยืนอยู่กับที่ หมายความว่าคุณปล่อยให้ทุกอย่างรอบตัวกำหนดชีวิตคุณ
แค่คุณอ่านถึงตรงนี้ ก็หมายความว่าคุณยังไม่ยอมแพ้ และนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด"
คนอ่านรู้สึกว่า "เราเข้าใจเขาจริงๆ" และอยากติดตามต่อ
- - - - -
"การเขียนที่ดี ไม่ใช่การยัดเยียดข้อมูล แต่เป็นการพาผู้อ่านเดินไปเจอคำตอบด้วยตัวเอง"
#Siamstr
1. Narrative Flow Technique
https://www.facebook.com/share/p/18aKZ2z8eo/
============================================
วิทยาศาสตร์ ปรัชญาและชีวิต
1. Hawking Radiation - แม้ติดอยู่ในหลุมดำ… คุณก็ยังเปล่งแสงได้
quoting nevent1q…wg3d"ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในหลุมดำ อย่าเพิ่งยอมแพ้ เพราะวันหนึ่งคุณอาจกลับมาได้"
![]()
เราเคยได้ยินกันใช่ไหมว่า "ถ้าตกอยู่ในหลุมดำ ก็ไม่มีทางหนีออกมาได้"
มันคือสถานที่ที่แม้แต่แสงก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงมหาศาลของมันได้
ฟังดูเหมือนจุดจบของทุกสิ่ง…
แต่สตีเฟน ฮอว์กิ้ง (Stephen Hawking) ค้นพบว่า “หลุมดำไม่ได้ดำสนิท”
พวกมันสามารถคายพลังงานออกมาได้ ซึ่งเรียกว่า "Hawking Radiation"
นี่เป็นแนวคิดที่เปลี่ยนโฉมหน้าของฟิสิกส์
และอาจเปลี่ยนมุมมองของคุณที่มีต่อชีวิตไปตลอดกาล...
เมื่อไหร่ก็ตามทร่ชีวิตทำให้คุณรู้สึกเหมือนติดอยู่ในหลุมดำ
ลองคิดดูว่า... เคยมีช่วงเวลาที่คุณรู้สึกเหมือน "ไม่มีทางออก" บ้างไหม?
- ความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ
- หนี้สินที่ท่วมหัว
- ความฝันที่พังลงต่อหน้าต่อตา
- ภาวะซึมเศร้าที่เหมือนดูดกลืนทุกอย่างรอบตัว
เหมือนอะไรก็ตามที่คุณพยายามทำมัน “ถูกดูดกลืนเข้าไป” จนคุณแทบหมดแรง
มันคล้ายกับการตกลงไปในหลุมดำ…
ยิ่งดิ้นรน ก็เหมือนยิ่งจมลึกลงไป ไม่มีแสง ไม่มีความหวัง ไม่มีอนาคต
จนกระทั่ง ฮอว์กิ้ง ชายผู้ใช้ชีวิตเพื่อพิสูจน์ว่า “ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้” ปรากฏกายออกมา
ฮอว์กิ้งไม่ได้แค่ศึกษาเรื่องหลุมดำ แต่เขา “พิสูจน์ด้วยชีวิตของเขาเอง”
ตอนอายุ 21 ปี หมอบอกว่าเขาจะอยู่ได้อีกไม่เกิน 2 ปี เพราะเป็นโรค ALS
จากชายหนุ่มที่มีอนาคตสดใส กลายเป็นคนที่ร่างกายเริ่มใช้งานไม่ได้ทีละส่วน
เขาค่อยๆ สูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว พูดไม่ได้ เดินไม่ได้ แต่สมองของเขาก็ยังคงเฉียบแหลม
คุณลองคิดดูว่า…
ถ้าคุณตื่นมาในร่างกายที่ไม่สามารถขยับได้เลย คุณจะยังสู้ต่อไปไหม?
ฮอว์กิ้งเลือกที่จะ "ไม่จมอยู่กับชะตากรรม"
เขาเลือกที่จะ “เปล่งพลังงาน” บางอย่างออกมาแทน
เขาใช้เวลาทั้งชีวิตในการศึกษา "ทฤษฎีสัมพัทธภาพ" (General Relativity)
และทำให้เราเข้าใจจักรวาลในมิติที่ลึกซึ้งกว่าที่เคย
และเขาเป็นคนที่ค้นพบว่า…
"แม้แต่หลุมดำก็ยังสามารถปล่อยพลังงานออกมาได้ แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้?"
Hawking Radiation คืออะไร?
มันคือทฤษฎีที่บอกว่า "หลุมดำ" ไม่ได้ดูดทุกอย่างเข้าไปตลอดกาล แต่สามารถปล่อยพลังงานออกมาได้เรื่อยๆ ทีละนิด ๆ
ลองมองมันเป็น “โอกาส”
มันบอกเราว่า "ถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ดูไร้ทางออก ก็ยังมีบางอย่างที่สามารถเปล่งออกมาได้"
แล้ว Hawking Radiation ของคุณคืออะไร?
ความคิดสร้างสรรค์?
คุณอาจกำลังเผชิญปัญหา แต่คุณยังสามารถสร้างบางอย่างจากมันได้
ศิลปินหลายคนสร้างงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา ในช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุด
การเรียนรู้?
แม้คุณจะรู้สึกติดอยู่ แต่คุณสามารถศึกษา ฝึกฝน เรียนรู้ได้
สิ่งที่คุณเรียนวันนี้ อาจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตคุณได้ในวันพรุ่งนี้
การให้และเชื่อมโยง?
บางครั้งการช่วยเหลือผู้อื่นในช่วงเวลาที่ยากลำบาก อาจเป็นพลังงานที่ช่วยให้คุณกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิม
แรงโน้มถ่วงของหลุมดำ… กับแรงโน้มถ่วงทางจิตใจ
มีบางอย่างที่ดึงดูดเราไว้ ไม่ต่างจากแรงโน้มถ่วงของหลุมดำ
- อดีตที่ทำให้เราติดอยู่กับความเจ็บปวด
- ความกลัวที่ทำให้เราไม่กล้าแม้แต่จะก้าวไปข้างหน้า
- เสียงในหัวที่บอกว่า "เราไม่มีทางดีขึ้นได้"
แต่เช่นเดียวกับทฤษฎีของฮอว์กิ้ง…
"ไม่มีอะไรติดอยู่ไปตลอดกาล"
คุณสามารถเลือกได้ว่า "จะเป็นพลังงานที่ถูกดูดกลืน"
หรือ "จะเป็นพลังงานที่ถูกปล่อยออกมาและหลุดพ้นจากแรงโน้มถ่วงนั้น"
คุณจะเลือกอะไร?
ถ้าคุณกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด…
คุณจะยอมให้มันดูดกลืนคุณไป
หรือคุณจะเลือกปลดปล่อยพลังงานของตัวเองออกมา
ฮอว์กิ้งบอกว่า “ไม่ว่าชีวิตจะยากลำบากสักเพียงใด ก็ยังมีสิ่งที่คุณสามารถทำได้และประสบความสำเร็จได้”
- นั่นอาจเป็นการเริ่มต้นใหม่
- นั่นอาจเป็นการมองหาความหมายในสิ่งที่คุณทำ
- นั่นอาจเป็นการเปล่ง "พลังงาน" ออกมา เหมือนกับที่หลุมดำทำตามทฤษฎี Hawking's radiation
อย่าหยุดเปล่งพลังงานของคุณ
"ทุกสิ่งในจักรวาลเปลี่ยนแปลงได้ รวมถึงคุณด้วย"
หลุมดำเคยถูกเข้าใจว่าเป็นจุดสิ้นสุดของทุกสิ่ง
แต่วันนี้เรารู้แล้วว่า… มันไม่ได้สิ้นสุด แต่มันแค่แปรเปลี่ยน
ชีวิตคุณก็เช่นกัน..
บางครั้งสิ่งที่ดูเหมือน "หลุมดำ" อาจเป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งที่กำลังเปลี่ยนคุณให้กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น
และวันหนึ่งคุณอาจมองย้อนกลับไป แล้วพูดว่า...
"โชคดีที่วันนั้นฉันไม่ยอมแพ้"
และถ้าคุณกำลังตกอยู่ในหลุมดำตอนนี้...
แค่จำไว้ว่าคุณยังสามารถเปล่งพลังงานออกมาได้
และนั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้คุณกลับมาสู่แสงสว่างอีกครั้ง
#hawking #LifeShift #Siamstr
2. Quantum Entanglement - สายใยพัวพัน
quoting nevent1q…p8svบางคนที่จากไป อาจไม่เคยจากไปจริงๆ ..ความพัวพันของชีวิตกับสายใยที่มองไม่เห็น
![]()
เคยไหมครับ... ที่ใครบางคนจากไป แต่คุณยังรู้สึกว่าพวกเขายังอยู่?
คุณเดินผ่านร้านกาแฟที่เคยนั่งกับเขา แล้วความทรงจำพลันย้อนกลับมาเหมือนฉากในหนัง
คุณฟังเพลงเก่า แล้วภาพใบหน้าเขาผุดขึ้นมาในหัว
หรือบางครั้ง คุณคิดถึงใครสักคนอย่างไม่มีเหตุผล...
แล้ววันต่อมา เขากลับส่งข้อความหาคุณ
มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ หรือมี "แรงพัวพัน" อะไรบางอย่างที่ยังเชื่อมคุณกับเขาอยู่?
ในโลกของฟิสิกส์ มีปรากฏการณ์หนึ่งที่เรียกกันว่า Quantum Entanglement หรือ "การพัวพันเชิงควอนตัม"
มันเป็นหลักการที่บอกเราว่า... หากอนุภาคเคยมีความเกี่ยวข้องกัน ไม่ว่าพวกมันจะถูกแยกไปไกลแค่ไหน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับอนุภาคหนึ่งจะส่งผลต่ออีกอนุภาคหนึ่ง ในทันที
มันอาจไม่ใช่สิ่งที่อธิบายความรู้สึกของมนุษย์ได้โดยตรง
แต่ลองคิดดู...
บางสายสัมพันธ์ในชีวิต ก็เหมือนมีเส้นสายล่องหนบางอย่างเชื่อมโยงกัน แม้เราจะไม่ได้เห็นมันก็ตาม
ความพัวพันเชิงควอนตัม หรือ อนุภาคที่ไม่เคยลืมกัน (ขอยกไปอธิบายทฤษฎีแบบละเอียดในคอมเม้นท์แทนนะครับ)
ถ้าจะอธิบายง่ายๆ ลองนึกถึงเหรียญสองเหรียญที่เคยถูกสร้างขึ้นมาคู่กัน
จากนั้นคุณแยกพวกมันออกไป..
เหรียญหนึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ และอีกเหรียญถูกส่งไปที่นิวยอร์ก
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็เกิดขึ้น
หากคุณพลิกเหรียญที่กรุงเทพฯ ให้เป็นหัว เหรียญที่นิวยอร์กจะกลายเป็นก้อยทันที แม้ว่ามันจะอยู่ไกลกันเป็นพันกิโลเมตร! 😱
สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงในระดับอนุภาค..
เมื่ออนุภาคสองตัวเคยมีปฏิสัมพันธ์กัน พวกมันจะ “เชื่อมโยง” กันโดยไม่สนใจระยะทาง
ไอน์สไตน์ถึงกับเรียกสิ่งนี้ว่า..
"Spooky Action at a Distance" หรือ "การกระทำที่น่าขนลุกจากระยะไกล"
มันขัดกับสามัญสำนึกของเราโดยสิ้นเชิง
แต่การทดลองก็ยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง
ซึ่งหากอนุภาคเชื่อมโยงกันได้... แล้วมนุษย์ล่ะ?
แน่นอนว่าความพัวพันเชิงควอนตัมเกิดขึ้นในระดับอนุภาค ไม่ใช่ความคิดหรืออารมณ์ของมนุษย์
แต่ลองคิดดู...
ทำไมบางครั้งเรารับรู้ถึงบางสิ่งก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง?
ทำไมเราถึงคิดถึงใครบางคน แล้วพวกเขาก็ปรากฏตัวขึ้น?
ทำไมบางคนที่จากไปนานแล้ว ยังมีอิทธิพลกับชีวิตเราเสมอ?
บางที...
มันอาจเป็นเรื่องของ ความทรงจำที่เรามีร่วมกัน
ประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง
หรือ พลังงานบางอย่างที่เรามอบให้กันเมื่อครั้งหนึ่งเราเคยอยู่ด้วยกัน
มันอาจไม่ใช่ Quantum Entanglement ตามนิยามทางฟิสิกส์
แต่ในเชิงอารมณ์... เราต่างมีสายใยที่มองไม่เห็น ที่ยังเชื่อมโยงเรากับใครบางคน
// "เขายังอยู่… แม้เขาจะจากไปแล้ว"
ลองคิดถึงใครบางคนที่เคยส่งผลกระทบกับชีวิตคุณ
ครูที่เคยเปลี่ยนมุมมองคุณ
เพื่อนที่เคยอยู่ข้างคุณในวันที่แย่ที่สุด
คนรักเก่าที่เคยทำให้คุณรู้จัก "การรักใครสักคน"
แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี คำพูดของพวกเขาอาจยังสะท้อนอยู่ในหัวคุณ
สิ่งที่พวกเขาทำ อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวคุณ
บางครั้ง พวกเขาไม่ได้อยู่กับเราในเชิงกายภาพอีกต่อไป... แต่พวกเขาไม่เคยหายไปจากเราเลย
// การพัวพันที่ดี และการพัวพันที่ควรปล่อยไป
ไม่ใช่ทุกความพัวพันที่เป็นสิ่งดี
บางคนยัง "ติดอยู่" กับอดีต เพราะไม่สามารถปล่อยบางสิ่งไปได้
บางคนยังถูกผูกมัดด้วยความรู้สึกผิด ทั้งที่มันควรเป็นเรื่องของวันวาน
Quantum Entanglement ไม่สามารถถูกตัดขาดได้ง่ายๆ ในทางฟิสิกส์
แต่ในชีวิตจริง... เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะพัวพันกับสิ่งไหน
หากใครบางคนเคยให้แรงบันดาลใจคุณ... ให้พลังงานของเขาผลักดันคุณไปข้างหน้า
หากใครบางคนเคยทำร้ายคุณ... บางครั้ง "ปล่อย" อาจเป็นทางเดียวที่ทำให้คุณเป็นอิสระ
เพราะถึงแม้อนุภาคจะพัวพันกัน... มันสามารถถูกคลายตัวได้ หากมีปัจจัยที่เหมาะสม
และในชีวิตจริง... เราก็เลือกได้เช่นกัน
// เราไม่เคย "อยู่คนเดียว" จริงๆ หรอก
ในจักรวาลของกลศาสตร์ควอนตัม ไม่มีสิ่งใดอยู่อย่างโดดเดี่ยว
อนุภาคเคลื่อนไหวไปมาด้วยแรงที่เรามองไม่เห็น
ทุกอย่างส่งผลถึงกัน
ในชีวิต...
บางครั้ง คนที่จากไป อาจไม่เคยจากไปจริงๆ
พวกเขายังอยู่ใน ความคิดของเรา
ใน สิ่งที่เราเลือกทำ
ใน วิธีที่เราใช้ชีวิตต่อไป
และบางครั้ง…
แม้เราจะไม่ได้พบใครบางคนอีกเลยในชีวิตนี้
พวกเขาก็ยัง "อยู่" กับเราเสมอ
เพราะบางสายใย... ไม่เคยขาดออกจากกันจริงๆ
แล้วคุณล่ะ?
คุณมีใครบางคนที่ยังอยู่ในใจเสมอไหม?
คุณเคยรู้สึกว่าบางสิ่งในชีวิตยังเชื่อมโยงกับคุณ แม้ว่ามันจะผ่านไปแล้วหรือเปล่า?
บางที... จักรวาลนี้อาจไม่ได้แยกเราจากกันจริงๆ
บางที... เราอาจจะยังพัวพันกันอยู่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
และบางที... นั่นอาจเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดของชีวิต
---------------------------
แต่จริง ๆ แล้ว ไฮไลท์ของบทความคือเนื้อหานับจากนี้ต่างหากล่ะครับ..
เมื่อความทรงจำย้อนกลับมา… เราจะเลือกให้มันเป็นพลัง หรือพันธนาการ?
บางคนที่จากไป.. อาจยังอยู่กับเราในรูปของความทรงจำ เสียงหัวเราะ เรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นร่วมกัน แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะให้ความหมายกับมันอย่างไร
อดีตมีอำนาจเหนือเรา ก็ต่อเมื่อเรายึดติดกับมัน
- หากความทรงจำทำให้คุณยิ้ม ก็ให้มันเป็นพลังใจ
- หากมันทำให้คุณเจ็บ ก็ให้มันเป็นบทเรียน ไม่ใช่โซ่ตรวน
ถามตัวเองว่า...
ฉันสามารถขอบคุณช่วงเวลานั้นได้ไหม โดยไม่ต้องจมอยู่กับมัน?
ฉันสามารถนำสิ่งที่เคยได้รับมาใช้เพื่อก้าวต่อไปได้อย่างไร?
เพราะสุดท้ายแล้ว เราเลือกได้เสมอ และไม่ว่าคุณจะเลือกอะไร...
คุณคือคนที่กำหนดความหมายของมันเอง
#Siamstr #LifeShift
3. Entropy อะไร ๆ ก็ได้ หรือเราจัดการมันได้?
quoting nevent1q…u093"Entropy" - "อะไรๆ ก็พังได้… และมันจะพังแน่นอน"
![]()
เมื่อทุกอย่างมีแนวโน้มสู่ความโกลาหล แล้วเราจะใช้ชีวิตอย่างไร?
นี่อาจฟังดูเป็นคำพูดในแง่ร้าย แต่มันคือกฎของจักรวาล
ทุกอย่างตั้งแต่ดาวฤกษ์ กาแล็กซี ไปจนถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์ ล้วนแต่มีแนวโน้มจะเคลื่อนไปสู่ความยุ่งเหยิงมากขึ้น
ในทางฟิสิกส์ เราเรียกสิ่งนี้ว่า "Entropy" (เอนโทรปี)
ถ้าไม่มีอะไรเข้ามาจัดการ ทุกระบบจะเข้าสู่ "ความวุ่นวาย" ตามธรรมชาติ
- โต๊ะทำงานของคุณจะรกขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณไม่จัดมัน
- บ้านจะทรุดโทรมลง ถ้าไม่มีใครซ่อมแซม
- ความสัมพันธ์จะค่อยๆ ห่างเหิน ถ้าไม่มีใครใส่ใจดูแล
เอนโทรปีจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัว มันคือหลักการที่อธิบาย "ชีวิต" ของเราด้วย
Entropy ในชีวิตจริง ทำไมอะไรๆ ก็ดูเหมือนแย่ลง?
ลองนึกถึงกองไพ่ที่สับกันอย่างเป็นระเบียบ
ถ้าคุณโยนไพ่ใบนั้นขึ้นฟ้าแล้วปล่อยให้มันตกลงพื้น โอกาสที่ไพ่จะเรียงกลับไปเป็นระเบียบเหมือนเดิมนั้น.. แทบจะเป็นศูนย์
สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่า คือ ไพ่จะกระจัดกระจายไปทั่ว นี่คือเอนโทรปีที่เพิ่มขึ้น
สิ่งนี้อธิบายว่าทำไม…
- ถ้าคุณไม่ดูแลร่างกาย มันจะเสื่อมลง
- ถ้าคุณไม่จัดการงานที่ค้างอยู่ มันจะสะสมและซับซ้อนขึ้น
- ถ้าคุณปล่อยให้ปัญหาสะสม มันจะไม่หายไปเอง แต่มักจะหนักขึ้นกว่าเดิม
เอนโทรปีบอกเราว่า ทุกสิ่งจะไม่คงอยู่ในสภาพเดิมตลอดไป
แล้วทำไมเอกภพถึงไม่พังไปแล้ว?
แม้เอนโทรปีจะบอกว่าทุกอย่างมีแนวโน้มจะยุ่งเหยิงขึ้นเรื่อยๆ
แต่ลองสังเกตดูรอบตัว...
- ทำไมดวงดาวยังคงก่อตัวเป็นกาแล็กซี?
- ทำไมโลกยังมีระบบนิเวศที่ซับซ้อนและสมดุล?
- ทำไมมนุษย์ยังสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ได้?
คำตอบคือ "พลังงานและความตั้งใจ"
- จักรวาลยังคงมีโครงสร้าง เพราะแรงโน้มถ่วงช่วยดึงสสารให้ก่อตัวเป็นระบบ
- ชีวิตยังดำเนินต่อไปได้ เพราะมีพลังงานจากดวงอาทิตย์มาสนับสนุน
- และ.. มนุษย์สามารถต่อต้านเอนโทรปีในชีวิตตัวเองได้ เพราะเรามี "การเลือก"
เราจะต่อสู้กับเอนโทรปีของชีวิตได้อย่างไร?
ลองคิดถึงชีวิตของตัวเองเหมือนบ้านหลังหนึ่ง
ถ้าคุณปล่อยไว้เฉยๆ โดยไม่ดูแล มันจะเสื่อมโทรมลงแน่นอน
แต่ถ้าคุณใส่ใจ ทาสีใหม่ เปลี่ยนหลังคา ซ่อมแซมกำแพง บ้านก็จะยังคงแข็งแรงแม้เวลาจะผ่านไป
ชีวิตก็เช่นกัน..
- ถ้าคุณปล่อยให้ตัวเองขี้เกียจ เอนโทรปีของความขี้เกียจจะครอบงำ
- ถ้าคุณไม่พัฒนาความสัมพันธ์ คนที่คุณรักจะห่างออกไปเรื่อยๆ
- ถ้าคุณไม่ตั้งเป้าหมาย ชีวิตคุณจะไร้ทิศทางและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
เราอาจควบคุมเอนโทรปีทั้งหมดไม่ได้… แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องปล่อยให้ทุกอย่างพัง
และความสำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
มันคือผลลัพธ์ของ "พลังงาน" ที่คุณใส่เข้าไปเพื่อต่อต้านเอนโทรปี
สุขภาพที่ดีไม่ได้เกิดขึ้นเอง..
แต่มันเกิดจากการเลือกกินดี ออกกำลังกาย และดูแลตัวเอง
ความสัมพันธ์ที่แข็งแรงไม่ได้คงอยู่ตลอดไปโดยไม่ต้องทำอะไร
แต่มันต้องการความพยายาม ความเข้าใจ และความใส่ใจ
เอนโทรปีบอกเราว่า...
ถ้าคุณไม่จัดการกับชีวิตของตัวเอง มันจะกลายเป็นความยุ่งเหยิงแน่นอน
แล้วเราจะอยู่กับเอนโทรปีอย่างไรกันดี?
แทนที่จะกลัวเอนโทรปี ให้มองว่ามันคือ "กฎของจักรวาล" ที่เราสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์
👉 โฟกัสกับสิ่งที่ควบคุมได้
คุณอาจควบคุมเอนโทรปีของจักรวาลไม่ได้ แต่คุณควบคุม ตัวเอง ได้
คุณเลือกได้ว่าจะจัดการกับเรื่องไหนในชีวิตก่อน
👉 สร้างระเบียบเล็กๆ ในความโกลาหล
โลกจะวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ แต่คุณสามารถสร้าง "จุดสมดุล" ให้ตัวเองได้
เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ เช่น การทำตารางเวลา การมีนิสัยที่ดี การตัดสินใจอย่างมีเป้าหมาย
👉 เข้าใจว่าเอนโทรปีคือส่วนหนึ่งของชีวิต
บางสิ่งพังเพื่อให้บางสิ่งใหม่เกิดขึ้น
อดีตอาจเลือนหายไป แต่คุณสามารถสร้างอนาคตขึ้นมาใหม่ได้
เอนโทรปีทำให้ทุกอย่างไม่จีรัง... แต่นั่นก็คือความงดงามของชีวิต
จักรวาลนี้เคลื่อนไปสู่ความยุ่งเหยิงเสมอ
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราต้องปล่อยให้ชีวิตเป็นแบบนั้น
เราเลือกที่จะสร้าง "ระเบียบ" ได้
เราเลือกที่จะให้ความหมายกับชีวิตได้
เพราะสุดท้ายแล้ว...
เอนโทรปีอาจเป็นกฎของจักรวาล แต่มันไม่ได้เป็นกฎของหัวใจเรา
#LifeShift #Siamstr
============================================
Life Shift Toward the Right Shift เปลี่ยนวิธีที่เรามองโลกและตัวเอง
1. จงใส่หินลงโหลความคิด ก่อนท่องแดนเวลา (การบริหารจัดการเวลาและความคิด)
quoting nevent1q…v5zn> “เมื่อใจสงบชัดเจน เราจะตระหนักเสมอว่า ทุกวันมีเวลาเท่าไรนั้นไม่สำคัญเท่ากับ เราพร้อมจะใส่อะไรลงไปในชีวิตบ้าง หากก้อนหินถูกวางก่อนเสมอ เราจะไม่พ่ายแพ้ต่อการถูกน้ำท่วมใจ”
“จงใส่ก้อนหินลงโหลแห่งความคิด ก่อนท่องแดนเวลา” — Jakk Goodday (nprofile…gsr6)
![]()
ณ #ลานกรองมันส์ ที่ยังเป็นเพียงสถานที่ในจินตนาการ ที่โลกจะเชื่อมต่อถึงกันด้วยเครือข่ายความคิด
บนเนิน “low time” ที่ไม่สูงมากนัก ชายร่างท้วมในชุดฮาวายสบายๆ " PIGROCK (nprofile…mkp5) " ยืนมองทิวทัศน์ไกลสุดสายตา เขามีภารกิจยิ่งใหญ่ต้องสร้าง "โปรเจกต์" ที่จะเปลี่ยนโฉมวิถีชีวิตของผู้คนทั่วทั้งแผ่นดิน
แต่ยิ่งโครงการใหญ่เท่าไร แรงกดดันก็มากขึ้นเท่านั้น Pigrock ประสบปัญหาท่วมท้นจนเขาเริ่มคิดว่า..
> “เวลา 24 ชั่วโมงในแต่ละวันมันสั้นเกินไป หรือเราแค่คิดยังไม่ถูกวิธี?”
ยิ่งเร่งยิ่งรู้สึกว่า “ทุกอย่างช่างยุ่งเหยิง” ปัญหาเล็กน้อยก็มีเต็มไปหมด ทีมงานก็วิ่งวุ่นกับงานด่วนไม่จบสิ้น อีกทั้ง “อารมณ์” ที่ค้างคาใจของแต่ละคนทำให้บรรยากาศมาคุขึ้นทุกที ๆ
ท่ามกลางความอึดอัดนั้น “Jakk Goodday” ที่ปรึกษาลึกลับซึ่งหลายคนขนานนามว่า “กุนซือแห่งยุคไซเบอร์” ก็เอ่ยบางอย่างขึ้นมา..
> “จงพิชิตเวลา ด้วยการพิชิตจิตใจของตน”
Jakk Goodday เดินทางมาถึงสถานที่โอ่อ่าของ Pigrock อย่างสงบ เขาสังเกตเห็นบนพื้นมีเอกสารกองโต มีโถแก้ววางไว้ ข้างโถมีก้อนหิน กรวด เม็ดทราย และน้ำอยู่ในภาชนะแยกกัน
“นี่ใช่ไหมของที่พี่ให้คนไปเตรียมมา?” Pigrock เอ่ยถาม
Jakk Goodday พยักหน้า พลางวางกระเป๋าสะพายข้างตัว “ถูกต้อง… ก่อนจะอธิบายว่ามันคืออะไร ขอให้นายลองใส่สิ่งเหล่านี้ลงโหลตามใจชอบดูก่อน”
Pigrock เริ่มเทน้ำลงโหลก่อน ตามด้วยทรายและกรวด จึงพบว่าก้อนหินก้อนโตสุดไม่สามารถยัดลงไปได้อีก มันล้นออกนอกโหล..
“ผมเข้าใจแล้ว…” Pigrock ถอนหายใจ
“นี่คง.. คือเรื่องสำคัญที่ผมละเลยไม่ยอมใส่ลงในชีวิตตั้งแต่แรก ใช่ไหมพี่?”
Jakk Goodday ยิ้มบาง ๆ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
> “การบริหารเวลาให้เป็นผล... เริ่มจากการจัดระเบียบจิตใจให้มั่นคงก่อน เมื่อก้อนหินไม่ได้ถูกหย่อนลงเป็นอันดับแรก ไม่ว่านายจะจัดระเบียบแค่ไหน ก็เหลือพื้นที่ไม่พอให้ใส่สิ่งที่สำคัญที่สุด”
“เอาล่ะ พี่จะแนะนำการวางก้อนหินในโหลชีวิต” Jakk เปรยก่อนจะเริ่มขีดเขียนทฤษฎีของเขาลงบนพื้นปูน
1. ก้อนหิน – เป้าหมายใหญ่ / หลักคิดชีวิต
หากมองในเชิงงาน ก้อนหินคือโปรเจกต์สำคัญที่สุดที่ Pigrock ต้องทำให้สำเร็จ เป็นพันธสัญญาต่อความฝัน
หากมองในเชิงจิตใจ ก้อนหินคือหลักการและคุณค่าที่เราไม่สามารถต่อรองได้
“จงอย่าให้สิ่งสำคัญที่สุด ต้องพ่ายแพ้ต่อสิ่งเร่งด่วน”
2. ก้อนกรวด – งานเร่งด่วน / ปัญหาเฉพาะหน้า
สิ่งเหล่านี้มักมาแบบปุบปับ หากไม่จัดการก็จะเป็นดั่งกรวดที่กระจายเกะกะ
แต่เมื่อเราให้ความสำคัญมากเกินไป จนลืม “ก้อนหิน” ก็อาจจมปลักในวังวนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไม่รู้จบ
3. เม็ดทราย – ความกังวลเล็กน้อย / เรื่องหยุมหยิมที่รบกวนจิตใจ
เม็ดทรายเมื่อรวมตัวกันเป็นกองมหึมา อาจบดบังเป้าหมายหลักได้เช่นกัน
“อย่าปล่อยให้แผลเล็กน้อย กลายเป็นบาดแผลลึกที่บั่นทอนกำลังใจ” – Jakk หล่นวาทะปรัชญาอีกข้อเพื่อขยายความ
4. น้ำ – อารมณ์หรือภาวะไร้สติ
เมื่อน้ำท่วมโหลตั้งแต่ต้น ก็ไม่มีที่เหลือสำหรับก้อนหิน หรือแม้กระทั่งกรวด เม็ดทราย
การจัดการอารมณ์ คือจุดเริ่มต้นที่จะเปิดพื้นที่ให้งานสำคัญ มีโอกาสเติบโต
“แล้วผมควรเริ่มจากอะไรก่อนดีพี่?” Pigrock สับสน
Jakk Goodday วางมือบนโหลแก้ว “วาง ‘ก้อนหิน’ ลงก่อน…"
"ใจต้องชัด จิตต้องนิ่ง เห็นเป้าหมายใหญ่ให้ได้ จากนั้นค่อยเติมอย่างอื่นตามลำดับความสำคัญ ให้เวลากรวดและทรายได้ส่วนแบ่งที่เหมาะสม"
"ส่วนน้ำ… จงมองหาช่องว่างปล่อยลงไปให้ไหลหล่อเลี้ยงได้บ้าง แต่อย่าให้มันล้น”
> “ก้อนหิน คือรากแก่น ถ้าแก่นไม่แข็งแรง ความสำเร็จใด ๆ ก็เป็นเพียงเงาลวงตา”
คำกล่าวของ Jakk Goodday ทำให้ Pigrock ต้องฉุกคิดเป็นเวลานาน
เมื่อก้าวข้ามแง่มุมปรัชญาแล้ว Jakk Goodday ก็ได้อธิบายเชิงจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลัง “ถัง” และ “วัตถุสี่ชนิด” ให้ Pigrock ได้ตระหนักเพิ่มขึ้น
1. ก้อนหิน = Core Beliefs & Big Goals
ในทางจิตวิทยา หากเราไม่รู้ว่า “คุณค่าหลัก” (Core Value) และ “เป้าหมายใหญ่” คืออะไร สมองจะขาดทิศทาง ทำให้ตกเป็นทาสของสิ่งรบกวนภายนอกได้ง่าย
การมี “ก้อนหิน” ชัดเจนจะช่วยให้สมองมีหลักยึด ลดความสับสน ฟุ้งซ่าน
2. กรวด = Urgent Distractions
กรวดคือสิ่งเร่งด่วนที่เราเจอทุกวัน แชทจากลูกค้า ประชุมด่วน อุปสรรคที่ป้องกันเราไม่ให้เคลื่อนไปสู่เป้าหมายใหญ่ ทันที
จิตวิทยาเรียกภาวะนี้ว่า “Attention Trap” คือมัวแต่ตามแก้เหตุฉุกเฉินจนลืมเป้าหมายภาพรวม
3. ทราย = Tiny Worries
การคิดมากกับเรื่องเล็กน้อย (Overthinking) คือทรายที่กัดเซาะพลังงานของเราอย่างเงียบเชียบ
การปล่อยให้ทรายกองสุมในหัว ทำให้คนเราวุ่นวายไปกับ “รายละเอียดเล็กน้อย” จนเสียสมาธิและความคิดสร้างสรรค์
4. น้ำ = Emotional Flood
การ “จมกับอารมณ์” (Emotional Flooding) ทำให้เราไม่สามารถก้าวข้ามความรู้สึกขุ่นมัวไปโฟกัสภารกิจใหญ่ได้
เมื่ออารมณ์ขุ่น ก็เหมือน “น้ำ” ที่เจิ่งนองจนไม่มีพื้นที่ให้สิ่งที่จำเป็นต้องทำจริง ๆ
Jakk Goodday สรุปปิดท้าย
> “จงเริ่มจากก้อนหินในใจ จัดการกรวดให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงการปล่อยทรายให้รกสมอง และควบคุมน้ำไม่ให้ท่วมท้น… นี่คือศาสตร์ของการดูแลจิตใจและเวลาควบคู่กัน”
และนี่คือ Checklist สำหรับผู้ต้องการเปลี่ยน “โหลชีวิต” ให้มีความสมดุล
1. ระบุ “ก้อนหิน” แห่งชีวิต
เขียนสิ่งที่เป็นเป้าหมายใหญ่ 1–3 ข้อ เช่น โปรเจกต์สำคัญ เป้าหมายการเรียนรู้ หรือพันธกิจทางใจ
ถามตัวเอง.. “ถ้าในสัปดาห์นี้หรือเดือนนี้ ทำสิ่งเหล่านี้ได้สำเร็จ จะมีผลกระทบเชิงบวกอะไรเกิดขึ้น?”
2. จำกัดเวลาให้ “กรวด”
จัดตารางทำงาน (Time Blocking) สำหรับงานเร่งด่วน อีเมล หรือสายโทร ที่อาจแทรกเข้ามา
กำหนดว่า “งานก้อนหิน” จะทำช่วงเวลาไหน ห้ามให้ “กรวด” มาแย่งเวลาส่วนนั้นโดยไม่จำเป็น
3. บริหาร “ทราย” ให้อยู่ในกรอบ
สังเกตสิ่งใดคือ “ทราย” ในชีวิต เช่น โซเชียลมีเดีย, เรื่องซุบซิบ, ความวิตกหยุมหยิม ฯลฯ
ตั้งกฎ.. “จะให้เวลาเรื่องเหล่านี้เท่าไรต่อวัน?” หากเกินกว่านั้นต้องเบรกตัวเอง
4. ควบคุม “น้ำ” (อารมณ์) อย่างมีสติ
ฝึกเทคนิคผ่อนคลายสั้น ๆ เช่น หายใจเข้า-ออกลึก ๆ 5 รอบเมื่อรู้ตัวว่าหงุดหงิด
หากต้องการระบายความเครียด ให้มีวิธีที่สร้างสรรค์ เช่น จดบันทึก, ฟังเพลง, ออกกำลังกาย
“ผู้ที่ครองอารมณ์ได้ คือผู้ที่ครองเวลาในมือได้เช่นกัน” – Jakk ขยี้อีกดอก
5. ประเมินโหลชีวิตทุกสัปดาห์
วันสุดสัปดาห์ ลองถามตัวเอง “ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันให้เวลากับก้อนหินกี่ชั่วโมง? กรวดกี่ชั่วโมง? ทรายกี่นาที? น้ำล้นบ่อยแค่ไหน?”
ปรับปรุงให้สัปดาห์ต่อไปดีขึ้นทีละนิด ๆ
ท่ามกลางฝุ่น PM บนเนิน low time Jakk Goodday หันไปบอกกับ Pigrock
> “เมื่อใจสงบชัดเจน เราจะตระหนักเสมอว่า ทุกวันมีเวลาเท่าไรนั้นไม่สำคัญเท่ากับ เราพร้อมจะใส่อะไรลงไปในชีวิตบ้าง หากก้อนหินถูกวางก่อนเสมอ เราจะไม่พ่ายแพ้ต่อการถูกน้ำท่วมใจ”
Pigrock โผเข้ากอดแทนการขอบคุณ ก่อนเดินจากไปด้วยใจที่เปี่ยมพลัง
แม้เส้นทางข้างหน้าจะยังท้าทาย แต่วิธีบริหารเวลาครั้งนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โหลแก้วของเขาจะมีที่ว่างให้ “ก้อนหินอันทรงคุณค่า” อย่างแน่นอน…
> “จงใส่ก้อนหินลงโหลให้มั่น บริหารกรวด ทราย และน้ำด้วยสติ แล้วชีวิตจะมีพื้นที่สำหรับทุกสิ่งที่สำคัญเสมอ”
#Siamstr #LGM
nprofile1qqsdhhns5axjhgm3cq8psd5gh2ps4pffnppllw6ve4l6ejvu8xec7kgpzamhxue69uhhyetvv9ujumn0wd68ytnzv9hxgtcmqykag (nprofile…ykag) Ball.weerayuth (nprofile…uuue) SOUP (nprofile…x5dn) ped66 (nprofile…hkxx) มองหน้ากันเลิ่กลั่ก..
"ชีวิตของพวกเราคงกำลังจะเปลี่ยนไป.." nprofile1qqsfwl44pcxpjemklvn6jqnsa3z9nduq4sn7984s68fn2kupnnyn3ucpp4mhxue69uhkummn9ekx7mqpzamhxue69uhhyetvv9ujuumfv9khxarj9e3k7mgpz3mhxue69uhhyetvv9ujuerpd46hxtnfdu5qagcp (nprofile…agcp) กล่าวด้วยสีหน้าเจือความสลด..
2. สร้างพิรามิด ด้วยการวางอิฐทีละก้อน
quoting nevent1q…8pn6“พิรามิดที่ยิ่งใหญ่เกิดจากอิฐทุกก้อนที่วาง… ความสำเร็จที่ยั่งยืนจึงเกิดจากการลงมือทำทีละขั้นเท่านั้น”
![]()
พิรามิดไม่ได้ถูกสร้างขึ้นภายในชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากการเรียง “อิฐ” แต่ละก้อนทีละชั้น จนกระทั่งเวลาผ่านไป รากฐานที่มั่นคงและการลงแรงวันแล้ววันเล่าก็เผยให้เห็นผลลัพธ์อันสุดอลังการ
เช่นเดียวกับความสำเร็จในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะฝันใหญ่แค่ไหนหรือมองการณ์ไกลเพียงใด สุดท้ายแล้วเราก็ทำได้เพียง “วางอิฐ” สร้างความก้าวหน้าไปทีละก้าวเท่านั้น
บางครั้ง... เราอาจมองหาทางลัดหรือวิธีการที่จะเร่งรัดให้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น
แต่ความสำเร็จที่ยั่งยืนมักไม่ได้เกิดจากการทุ่มสรพพกำลังลงไปยังปฏิบัคิการเดียว หรือฉายไฟส่องให้ตัวเองโดดเด่น
หากเกิดจากการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและไม่ละเลย “รายละเอียดเล็กๆ” ที่ค่อยๆ เติมเต็มโครงสร้างของเราให้แข็งแกร่ง หลากหลายปัจจัย (อิฐ) ที่ค่อยๆ ก่อรวมรวมกันไปสู่มหาพิรามิด
จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน กระทั่งส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จอย่างแท้จริง
ยิ่งเราเข้าใจว่า “การวางอิฐ” แบบใส่ใจในแต่ละขั้นตอนสำคัญเพียงใด เรายิ่งไม่ต้องพยายาม All-in หรือเรียกร้องความสนใจ หรือพิสูจน์ตัวเองด้วยวิธีฉาบฉวย
เพราะวันหนึ่ง เมื่อ “พิรามิด” แห่งผลงานของเราสร้างเสร็จ มันจะสูงใหญ่และแข็งแกร่งจนดึงดูดทุกสายตาได้ด้วยตัวเอง
และนั่นคือคุณค่าที่เปล่งประกายจากภายในอย่างแท้จริง
#Siamstr
3. ชีวิตเปรียบดั่งเรือเดินสมุทร
quoting nevent1q…h8le“ชีวิตก็เหมือนเรือเดินสมุทร ที่ต้องล่องข้ามคลื่นลมมากมาย”
ระหว่างทางเราอาจบรรทุกสิ่งของและผู้โดยสารมากหน้าหลายตาติดตามมาด้วย บางคนก็เข้ามาเป็นแรงช่วยพาย เป็นกำลังสนับสนุนให้เราไปถึงฝั่งโดยง่าย
![]()
แต่ก็มีบางคน หรือบางสิ่งที่อาจกลายเป็น ‘น้ำหนักเกิน’ ทำให้เรือโคลงเคลง เสี่ยงจม หรืออย่างน้อยก็ทำให้เดินทางช้าลงไปเปล่าๆ
ในบางสถานการณ์... ถ้ารู้สึกว่ามีคนหรือสิ่งของที่ดูดกลืนกำลังใจ ไม่เคยเห็นคุณค่าที่เราทุ่มเทไป ไม่เคยเกื้อหนุนหรือให้เกียรติเลย
นั่นคือสัญญาณเตือนให้เรา ‘ปลดสัมภาระ’ เหล่านั้นออกจากเรือ เพราะหากดื้อดึงแบกไว้ เราอาจไม่สามารถเดินทางไปถึงปลายทางที่ฝัน หรือถ้าฝืนไปก็เหนื่อยแรงกว่าเดิมโดยไร้ประโยชน์
เมื่อกล้าลดน้ำหนักเรือ ปล่อยผู้โดยสารบางคนที่ไม่ส่งเสริมเราให้ลงเรือลำนั้นไป ชีวิตอาจแล่นฉิวขึ้น มุ่งหน้าไปได้ไกลกว่าที่เคย แถมยังมีพื้นที่เหลือสำหรับคนและโอกาสใหม่ๆ ที่จะเข้ามาแทนที่
คนที่ให้เกียรติและเห็นคุณค่าในตัวเรามากกว่านี้
สุดท้ายแล้ว... เราไม่มีวันควบคุมกระแสคลื่นแห่งชีวิตได้หมดทุกลูก แต่วิธีที่เราดูแล ‘เรือของเราเอง’ และเลือกว่าใครหรืออะไรคู่ควรแก่การพาข้ามคลื่นลม
นั่นแหละคือสิ่งกำหนดว่าปลายทางจะเป็น ‘ฝั่งฝันที่รออยู่’ หรือ ‘ฝั่งความผิดหวัง’ ที่ไม่อยากไปถึงเลยก็ได้
#Siamstr
4. แก่นของการให้เกียรติ
quoting nevent1q…88lqเราจะพบว่าแก่นแท้ของการให้เกียรติ คือ “ความตั้งใจที่จะเข้าใจ”
![]()
ทั้งความคิด ความรู้สึก และตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละคน โดยไม่ตัดสินหรือเหยียบย่ำสิ่งที่เขาเป็น
// ปากที่น่ารัก
ปากที่เปล่งคำพูดออกมาอย่างอ่อนโยน แม้จะเป็นคำเล็ก ๆ ก็สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง เมื่อเราเลือกใช้ถ้อยคำที่เมตตาและมีน้ำหนัก มันจะกลายเป็นสะพานเชื่อมใจระหว่างเราและผู้อื่น สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและเคารพกันอย่างแท้จริง
// หัวที่สดใส
ไม่ใช่แค่สมองที่เต็มไปด้วยไอเดียหรือความฉลาดล้ำเลิศ หากแต่คือหัวใจที่อัดแน่นด้วยแรงบันดาลใจและพร้อมเปิดรับความคิดสร้างสรรค์ในมุมมองต่าง ๆ เมื่อเราเปิดใจฟังและแลกเปลี่ยน เราจะพบคุณค่าและความเป็นเอกลักษณ์ของทุกคน ที่ต่างก็มีเรื่องราวอันล้ำค่าของตนเอง
// ดวงตาที่สวย
คือดวงตาที่มองผู้คนด้วยความเป็นกลาง ไม่ตัดสินจากฉลากหรือหมวดหมู่ใด ๆ แต่เลือกที่จะมองเห็น ‘ความเป็นมนุษย์’ ในตัวของเขาอย่างแท้จริง เพราะไม่ว่าใครก็ต่างมีเส้นทางชีวิตและประสบการณ์ที่ควรค่าแก่การรับฟัง
// หูที่มีคุณค่า
คือหูที่พร้อมรับฟังในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นเสียงแห่งความสุขหรือเสียงแห่งความทุกข์ เมื่อเราฟังด้วยใจที่เปิดกว้าง เราจะเข้าใจความรู้สึกและความคิดของคนรอบข้างได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จนเกิดเป็นความผูกพันและความเคารพซึ่งกันและกัน
สุดท้าย การให้เกียรติไม่ได้สิ้นสุดเพียงคำพูดที่สุภาพหรือการกระทำที่งดงามชั่วครั้งชั่วคราว แต่คือ “วัฒนธรรม” ที่เราต้องปลูกฝังและส่งต่อไปในทุก ๆ วัน
เพราะเมื่อเราเลือกที่จะให้เกียรติผู้อื่นด้วยความเข้าใจและเมตตาจริง ๆ เรากำลังสร้างสังคมที่อบอุ่นและเปี่ยมไปด้วยการเคารพอย่างแท้จริงร่วมกัน
#Siamstr
5. Already always listening (การฟังผ่านเลนส์เดิม ๆ ที่มักถูกกรองจากความเชื่อเก่าและประสบการณ์เดิม)
quoting nevent1q…2ssx“ลองฟังดูใหม่ แล้วเราจะพบว่าชีวิตไม่ได้พูดซ้ำกับที่เราเคยได้ยิน”
![]()
เคยหรือเปล่าครับ?
เวลาเรานั่งฟังใครสักคนพูด แต่ในหัวเรามันกลับวิ่งวนอยู่กับคำตอบที่เรา “จะพูดกลับไป” มากกว่าจะรับฟังสิ่งที่เขากำลัง “พูดจริง ๆ”
หรือเคยสังเกตไหมว่า..
บางครั้งเราตัดสินใครบางคนตั้งแต่ยังไม่ทันฟังเขาพูดจบ?
ไม่ใช่เพราะเราจงใจจะปิดใจ แต่เพราะเรากำลังตกเป็นเหยื่อของสิ่งที่เรียกว่า “Already Always Listening” (การฟังที่ถูกกรองผ่านความเชื่อเก่า ประสบการณ์เดิม และเรื่องเล่าที่เรายึดถือว่า “จริง” มาตลอดชีวิต)
แล้วอะไรคือ ‘Already Always Listening’?
ลองนึกภาพสมองของเราเหมือนเครื่องวิทยุ มันมีคลื่นความถี่เฉพาะที่เรามักคุ้นเคยและชื่นชอบ ฟังแล้วสบายใจ ฟังแล้วรู้สึกปลอดภัย
แต่ปัญหาก็คือ... เร่ไม่ได้ฟังจากคลื่นต้นฉบับของชีวิต เรากำลังฟังผ่าน 'ฟิลเตอร์' ของตัวเอง
เมื่อเจ้านายติชมงานของเรา.. “เขาไม่ชอบฉันแน่ ๆ”
เมื่อเพื่อนเงียบไประหว่างบทสนทนา... “เขาเบื่อฉันหรือเปล่านะ?”
เมื่อแฟนขอเวลาอยู่คนเดียว... “เขาคงไม่รักฉันแล้วสินะ”
ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เราไม่ได้แค่ “ฟัง” แต่เรากำลัง “ตีความ” ผ่านเลนส์ของประสบการณ์เดิม ๆ เรารับรู้โลก
ไม่ใช่ในแบบที่มันเป็น แต่.. ในแบบที่เราเคยชินจะเชื่อว่ามันเป็น
มันมีต้นกำเนิดของฟิลเตอร์ที่เราไม่รู้ตัว.. เลนส์เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากหลายสิ่ง
วัฒนธรรมและการเลี้ยงดู หลายคนอาจโตมากับคำสอนว่า “อย่าทำตัวโดดเด่นเกินไป” หรือ “ต้องสมบูรณ์แบบถึงจะมีค่า”
หรืออาจจะเป็นประสบการณ์จากในอดีต ้ราเคยล้มเหลวมาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วปักใจเชื่อว่าตัวเอง “ไม่เก่งพอ”
เราอาจมีความกลัวและความไม่มั่นใจ กลัวการถูกปฏิเสธ จึงตีความทุกอย่างว่าเป็นการ “ไม่ยอมรับ” ตัวตนของเรา
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเสียงกระซิบในหัว ที่ทำงานอยู่เบื้องหลัง จนเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า เราไม่ได้กำลังฟังโลกจริง ๆ
เรากำลังฟัง.. “ความคิดของเราเกี่ยวกับโลก” ต่างหาก
เสียงในหัวเลยกลายเป็นกับดัก
ปัญหาคือ มัน ขังเราไว้ในกรอบเดิม ๆ
เรา พลาดโอกาส ในการสร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ เพราะเราตัดสินคนอื่นไปก่อน
เรา ไม่กล้าลองสิ่งใหม่ ๆ เพราะเชื่อว่า “มันไม่เหมาะกับเรา”
เรา วนเวียนอยู่กับความคิดลบ ๆ ที่ทำให้ชีวิตติดอยู่กับที่ ทั้งที่โลกภายนอกอาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด
และที่สำคัญที่สุด..
เรา พลาดการรู้จักตัวเองที่แท้จริง เพราะเสียงในหัวกลบทุกอย่างไปจนหมด
เราจะปลดล็อกการฟัง เพื่อก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้ได้ยังไง?
ลองหยุด และสังเกต
ครั้งต่อไปที่เรารู้สึกว่าเรากำลัง “ตัดสิน” ใครบางคน หรือ “รู้สึกไม่ดี” กับสถานการณ์บางอย่าง ให้หยุดก่อน แล้วถามตัวเองว่า..
“นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริง ๆ หรือเป็นแค่เรื่องราวที่เรากำลังเล่าให้ตัวเองฟัง?”
ลองแยกความจริงออกจากเรื่องเล่า
แทนที่จะด่วนสรุปว่า “เขาไม่ชอบเรา” ลองแยกสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ออกมา เช่น
“เขาติชมงานของเรา”
แค่นั้น.. ไม่มีคำว่า “ไม่ชอบ” ไม่มีคำว่า “ฉันไม่เก่ง” มันก็แค่ “คำติชม” ที่อาจเป็นโอกาสให้เราเติบโต
ลองเปลี่ยนมาฟังอย่างตั้งใจ ไม่ใช่แค่เพื่อ ‘ตอบกลับ’
ฟังโดยไม่มีเป้าหมายว่าจะต้องพูดอะไรกลับไป ฟังเพื่อ เข้าใจ ไม่ใช่แค่ ตอบโต้
เพราะบางครั้ง... คำตอบที่ดีที่สุด คือการ ฟังอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องพูดอะไรเลย
เมื่อการฟังของเราเปลี่ยน ชีวิตเราก็เปลี่ยน
เมื่อเราเริ่มสังเกต Already Always Listening ของตัวเอง เราจะพบว่าโลกไม่ได้ “เป็นอย่างที่เราคิด” เสมอไป
คนที่เราเคยมองว่า “เย็นชา” เขาอาจแค่กำลังมีวันที่แย่
โอกาสที่เราเคยมองข้าม อาจเป็นบันไดพาเราไปสู่สิ่งใหม่
ตัวเราเอง ที่เคยคิดว่า “ไม่เก่งพอ” อาจแค่ติดอยู่กับเสียงเก่า ๆ ที่ไม่เคยถูกตั้งคำถาม
และเมื่อเราเริ่ม ฟังโลก และ ฟังตัวเอง โดยไม่มีฟิลเตอร์…
เราจะพบว่า ชีวิตช่างเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เพราะสุดท้ายแล้ว…
การฟังไม่ใช่แค่การได้ยินเสียงของคนอื่น
แต่คือการ ได้ยินเสียงที่แท้จริงของตัวเอง ด้วยเช่นกัน
#Siamstr
6. การเชื่อมต่อและแบ่งปัน หัวใจของคอมมูนิตี้
quoting nevent1q…08l5“เชื่อมต่อกันมากกว่าเดิม” หัวใจของทุกๆ คอมมูนิตี้
เราทุกคนคงรู้จัก “คอมมูนิตี้ออนไลน์” กันดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มในโซเชียลมีเดีย แชทกลุ่ม หรือฟอรั่มต่าง ๆ ที่เราสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนที่มีความสนใจเหมือนกันได้
ไม่ว่าจะเป็น บิตคอยน์, เศรษฐศาสตร์, การเมือง, หรือแม้แต่ การ์ดเกมและซีรีส์ที่กำลังฮิต
แต่เคยสงสัยไหมว่า.. ทำไมบางกลุ่มถึงแน่นแฟ้นและยั่งยืนกว่ากลุ่มอื่น?
ผมเชื่อว่า.. จุดเริ่มต้น ของคอมมูนิตี้มักเกิดขึ้นจาก “สิ่งที่เราสนใจร่วมกัน” ใช่, นั่นคือเชื้อไฟแรกที่จุดประกายให้เราเข้าหากัน
แต่.. ความเหนียวแน่นที่แท้จริง กลับไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสนใจเพียงอย่างเดียว
มันเกิดจากการเชื่อมต่อที่มากกว่า ‘ความสนใจร่วม’
ในโลกออนไลน์ เราอาจคุยกันเรื่อง บิตคอยน์ หรือ เศรษฐกิจโลก แต่สิ่งที่ทำให้เรา รู้สึกเชื่อมโยงกันจริง ๆ กลับเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่เราแบ่งปันกันระหว่างบรรทัด
เช่น “เมื่อวานลูกชายผมเพิ่งหัดปั่นจักรยานได้” หรือ “ใครดูซีรีส์เรื่องนี้บ้าง?”
Hobbies เล็ก ๆ เหล่านี้ หรือแม้แต่เรื่องราวในชีวิตประจำวัน ทำให้เรามองเห็นว่า “อีกฝ่ายคือมนุษย์เหมือนกัน”
ไม่ใช่แค่เพียงไอคอนหรือชื่อผู้ใช้ในโลกออนไลน์
“We are not thinking machines that feel, we are feeling machines that think.”
— Antonio Damasio
(เราไม่ใช่เครื่องจักรที่คิดแล้วรู้สึก แต่เราเป็นเครื่องจักรที่รู้สึกแล้วค่อยคิดต่างหากล่ะ)
ในท้ายที่สุด.. เราคอนเนคกันด้วยความรู้สึก ไม่ใช่แค่ข้อมูล
การแชร์เรื่องฟุตบอล งานวิ่ง หนังสือ หรือครอบครัว ทำให้เราเริ่ม “รู้สึกดีต่อกัน” ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่แท้จริง
โลกออฟไลน์ คือ สถานที่ที่ความสัมพันธ์เบ่งบาน
เมื่อเรารู้จักกันมากขึ้นในโลกออนไลน์ หัวใจของเราจะเริ่มเรียกร้องการพบเจอกันในโลกออฟไลน์
เราอยากจะ เห็นสีหน้า เวลาที่อีกฝ่ายพูดถึงเรื่องที่ชอบ (ผมรู้ว่าอาจไม่ใช่กับทุกคน แต่ส่วนใหญ่มักจะรู้สึกแบบนี้)
เราอยากจะ หัวเราะร่วมกันจริง ๆ ไม่ใช่แค่พิมพ์ “555+”
แต่การพบปะกันในโลกจริง ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับหัวข้อหลักที่ทำให้เรารู้จักกันแต่แรก
เราต้องการ สถานที่ที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจที่จะเป็นตัวเอง
บรรยากาศที่ไม่ต้องมีกรอบหรือหมวดหมู่มาจำกัดว่า “เราคือใคร”
“Sometimes the best conversations happen when you forget the agenda.”
— Jakk Goodday
“บางครั้ง.. บทสนทนาที่ดีที่สุดก็เกิดขึ้นเมื่อเราลืมไปว่ามีวาระอะไรอยู่"
ในสถานที่แบบนั้น.. เราจะ เปิดใจฟังกันมากขึ้น ไม่ใช่เพื่อหาข้อโต้แย้ง แต่เพื่อ เข้าใจว่าแต่ละคนมีเรื่องราวอะไรบ้าง
เราอาจจะ ไม่ชอบทุกอย่าง ในตัวของอีกฝ่าย และนั่นก็ไม่เป็นไร เพราะเราสามารถเลือกที่จะ เชื่อมต่อในส่วนที่สร้าง 'พลังบวก' ให้กันและกันได้
การพบเจอมักสร้างพลังที่คาดไม่ถึง
การได้เจอกันจริง ๆ ไม่เพียงแค่ทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นเท่านั้น แต่มันยังเปิดประตูสู่ความร่วมมือและนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้วย
พวกเราเคยสังเกตไหมว่า.. ความคิดดี ๆ มักเกิดขึ้นในบทสนทนาที่ดูเหมือนไม่มีสาระ?
การนั่งคุยเรื่องฟุตบอลอาจนำไปสู่โปรเจกต์ธุรกิจใหม่ (เช่น หนังสือเงินเฟ้อคืออคดีอาญา เป็นต้น)
หรือการถกเถียงกันเรื่องหนังสือเล่มหนึ่งอาจจุดประกายให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการที่เราไม่เคยคาดคิด
“Innovation is born from the unexpected intersections of diverse minds.”
— Frans Johansson, The Medici Effect
(นวัตกรรมเกิดขึ้นเมื่อความคิดที่แตกต่างกันมาบรรจบกันอย่างไม่คาดฝัน)
คอมมูนิตี้ที่แท้จริง มันจึงมากกว่าแค่กลุ่มคนที่มีความสนใจร่วมกัน
ในที่สุดแล้ว คอมมูนิตี้ที่ยั่งยืน ไม่ได้เกิดจากแค่หัวข้อที่เราพูดถึงเท่านั้น
แต่มันเกิดจาก ความเชื่อมโยงทางอารมณ์ ความไว้วางใจ และการเปิดใจรับฟังกันอย่างแท้จริง
เราอาจเริ่มต้นจากการพูดคุยเรื่อง บิตคอยน์ หรือ เศรษฐศาสตร์
แต่สิ่งที่จะทำให้เรา “อยู่ด้วยกันต่อไป” คือการแบ่งปันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่า
“เรามีค่าต่อกันและกัน ในแบบที่มากกว่าแค่หัวข้อสนทนา”
ในโลกที่เชื่อมโยงกันด้วยเทคโนโลยีได้ง่าย การสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกลับต้องการสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น
เช่น การเปิดใจรับฟังและการแบ่งปันความเป็นมนุษย์ให้กันและกัน
#Siamstr #LifeShift #RightShift
ขอบคุณอีเว้นท์ดีๆ แสนอบอุ่น #BlockMountain2025 ครับ
7.Life Shift Toward the Right Shift (การเปลี่ยนแปลงชีวิตพาเราไปในทิศทางที่ใช่)
quoting nevent1q…qrfk## **Life Shift Toward the Right Shift**
เมื่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตพาเราไปในทิศทางที่ “ใช่”
![]()
ชีวิต ไม่ใช่เส้นทางตรงที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือเส้นชัยที่เราวิ่งไปให้ถึงแล้วจบ แต่ชีวิตคือ **การเดินทางที่เต็มไปด้วยการเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา** และบางครั้งก็ต้อง **หยุดพักข้างทางเพื่อหายใจลึก ๆ** คำถามคือ...
**แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าทิศทางที่เราเลือกคือ “Right Shift” หรือทิศทางที่ถูกต้อง?**
เพราะ **ไม่ใช่ทุกการเปลี่ยนแปลง (Life Shift)** จะพาเราไปในทางที่ดี แต่ถ้าเรารู้วิธี เลี้ยวให้ถูก การเดินทางของเราจะเต็มไปด้วยความหมายมากขึ้น
### **Life Shift - เมื่อชีวิตเริ่มกระซิบว่าถึงเวลาเปลี่ยนแปลง**
ทุกคนคงเคยมีช่วงเวลาที่รู้สึกเหมือน **ชีวิตติดอยู่ในลูปเดิม ๆ**
- งานที่ทำให้รู้สึกเหมือนหุ่นยนต์ ทำไปวัน ๆ
- ความสัมพันธ์ที่เหนื่อยใจมากกว่าจะทำให้ยิ้มได้
- หรือความฝันที่เคยชัดเจน กลับเลือนหายไปเหมือนหมอกยามเช้า
เสียงเล็ก ๆ ในใจอาจเริ่มกระซิบว่า *“มันถึงเวลาแล้วหรือเปล่า?”* นั่นแหละคือสัญญาณของ **Life Shift** การเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเริ่มจากเรื่องเล็ก ๆ หรือเป็นการปรับทิศทางชีวิตทั้งระบบ
> "การเติบโตนั้นเจ็บปวด การเปลี่ยนแปลงก็เช่นกัน แต่ไม่มีอะไรเจ็บเท่ากับการติดอยู่ในที่ที่เราไม่ควรอยู่"
— Mandy Hale
แต่... **แค่เปลี่ยนแปลงอย่างเดียวไม่พอ**
เพราะถ้าเราเปลี่ยนไปในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกับตัวตนและคุณค่าของเรา เราอาจจะ หลงทางมากกว่าเดิม
**Right Shift** คือการถามตัวเองว่า...
- *“ทางนี้มันใช่สำหรับเราจริง ๆ หรือแค่ทำให้คนอื่นพอใจ?”*
- *“การตัดสินใจนี้ทำให้เรารู้สึกเบาสบายหรือรู้สึกว่ากำลังแบกภาระมากขึ้นกันแน่?”*
บางครั้งทางที่ถูกต้อง **ไม่ใช่ทางที่ง่ายหรือสะดวกสบาย** แต่มันคือทางที่ทำให้เรา **รู้สึกว่ากำลังเดินเข้าใกล้ความจริงของตัวเองมากขึ้น**
**Life Shift Toward the Right Shift** ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงเพื่อหนีจากบางอย่าง แต่มันคือ **การเคลื่อนไปข้างหน้าเพื่อเข้าใกล้สิ่งที่มีคุณค่ากับเรา**
- เราอาจเปลี่ยนงานบ่อย แต่ถ้ามันไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เรารักมากขึ้น มันก็แค่ **วิ่งวนในวงล้อหนู**
- เราอาจออกจากความสัมพันธ์ที่ทำให้เราเจ็บปวด แต่ถ้า **ไม่ได้เรียนรู้** หรือ **เยียวยาตัวเอง** เราอาจจะเผชิญกับปัญหาเดิมในความสัมพันธ์ครั้งใหม่
การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงต้องมาพร้อมกับ **ความตั้งใจ (Intention)** และ **การทบทวนตัวเอง (Reflection)**
> "บางครั้ง... การเลือกผิดก็นำพาเราไปสู่ที่ที่ถูกต้อง"
— @npub1mqcwu7muxz3kfvfyfdme47a579t8x0lm3jrjx5yxuf4sknnpe43q7rnz85
### **วิธีการขยับ Life Shift ให้ตรงกับ Right Shift**
(1) ฟังเสียงภายในมากกว่าเสียงภายนอก
ถามตัวเองว่า...
*“นี่คือสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ หรือแค่สิ่งที่คนอื่นคาดหวังว่าฉันควรจะต้องการ?”*
การแยกแยะ **ความฝันของเรา** ออกจาก **ความคาดหวังของคนอื่น** คือก้าวแรกของการเลี้ยวไปในทิศทางที่ถูกต้อง
(2) ล้มเหลวอย่างมีเป้าหมาย
**ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ** แต่มันคือ **บทเรียน** ที่จะพาเราไปสู่ทิศทางที่ “ใช่” มากยิ่งขึ้น
ทุกครั้งที่ล้ม คือการได้รู้ว่า **ทางนี้ไม่ใช่** และมันช่วยขับเคลื่อนเราไปสู่เส้นทางใหม่ที่ดีกว่า
(3) โอบรับความไม่แน่นอน
ไม่มีใครมี **GPS ชีวิต** ที่แม่นยำ 100%
บางครั้งเราต้อง **กล้าเสี่ยง** เดินเข้าไปในทางที่ไม่รู้จัก เพื่อค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเราเอง
**Life Shift** ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงครั้งเดียวแล้วจบ มันคือ **การปรับทิศทางอย่างต่อเนื่อง**
ในทุกช่วงชีวิต เราเติบโตขึ้น เปลี่ยนแปลง และสิ่งที่เคยเป็น **Right Shift** สำหรับเราเมื่อ 5 ปีก่อน อาจไม่ใช่สำหรับเราในวันนี้
และที่สำคัญที่สุด... **การเลี้ยวผิดทาง ไม่ได้แปลว่าเราล้มเหลว**
เพราะทุกก้าวที่เราเดินออกจากจุดเดิม **คือก้าวที่นำเราไปใกล้ชิดกับตัวตนที่แท้จริงมากขึ้นเสมอ**
> "มันไม่ใช่แค่การเดินอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง แต่คือการก้าวไปข้างหน้าและปรับเส้นทางให้ตรงกับการเติบโตของเรา"
— @npub1mqcwu7muxz3kfvfyfdme47a579t8x0lm3jrjx5yxuf4sknnpe43q7rnz85
ทิ้งท้ายแบบนี้..
**ทุกการเปลี่ยนแปลงคือการค้นหาความหมายของชีวิต**
ครั้งหน้าที่เรารู้สึกว่าชีวิตกำลังเรียกร้องให้เราเปลี่ยนแปลง ลองถามตัวเองว่า...
**“เรากำลังเปลี่ยนไปในทิศทางที่ถูกต้องสำหรับเราจริง ๆ หรือเปล่า?”**
เพราะสุดท้ายแล้ว... **ชีวิตที่ดีไม่ใช่ชีวิตที่ไร้ข้อผิดพลาด แต่คือชีวิตที่เราเลือกเดินไปในทิศทางที่สอดคล้องกับหัวใจของเราเอง**
#LifeShift #RightShift #GrowWithPurpose
#Siamstr
8. ฟัง แยกแยะ เสียงในหัว
quoting nevent1q…4ff7“อย่าเชื่อทุกอย่างที่คุณคิด เพราะความคิดก็คือ... แค่ความคิดเท่านั้น”
![]()
ค้นหาเสียงที่ซ่อนอยู่ในหัวของเรา ปลดล็อกการฟังแบบใหม่
หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกับ Already Always Listening หรือ “การฟังผ่านเลนส์เดิม ๆ” ไปแล้ว (จากโพสต์ก่อนหน้า) ถึงเวลาที่จะหยุดฟังแบบอัตโนมัติ แล้วหันมา สังเกตเสียงที่ซ่อนอยู่ในหัวของเราเอง
บางครั้งเสียงเหล่านี้ก็ทำงานเงียบ ๆ แต่ทรงพลังมากพอที่จะทำให้เรารู้สึกติดอยู่กับความคิดลบ ความกังวล หรือแม้แต่ทำให้เราหยุดนิ่งไม่กล้าเดินหน้า
เรามาฝึก แยกแยะระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริง กับ เรื่องราวที่เราเล่าให้ตัวเองฟัง ลองทำตามขั้นตอนง่าย ๆ เหล่านี้ เพื่อเริ่มต้นปลดล็อกมุมมองใหม่ ๆ ให้ชีวิต
ขั้นตอนที่ 1 - สังเกตเสียงในหัวของเรา
เริ่มต้นด้วยการ เลือกสถานการณ์หนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึก ไม่สบายใจ.. อาจเป็นความไม่พอใจ ความเครียด หรือความกลัว แล้ว หยุดสักครู่ ไม่ต้องรีบหนีจากความรู้สึกนั้น
จากนั้นถามตัวเองว่า...
“เสียงในหัวของเรากำลังพูดว่าอะไร?”
ตัวอย่าง เช่น
ในที่ประชุม เราถูกขอให้นำเสนอความคิด
เสียงในหัวอาจเริ่มบอกว่า “ถ้าพูดผิด ทุกคนจะคิดว่าฉันโง่”
หัวหน้าถามว่าเราทำงานเสร็จหรือยัง
เราอาจได้ยินเสียงว่า “เขาคงไม่พอใจที่ฉันทำช้า”
สิ่งสำคัญคือ “ฟัง” เสียงเหล่านั้นให้ชัดเจนโดยไม่ตัดสินว่าเสียงนั้นถูกหรือผิด
ขั้นตอนที่ 2 - แยกสิ่งที่ เกิดขึ้นจริง ออกจาก การตีความ
เมื่อเราได้ยินเสียงในหัวแล้ว ลองแยกแยะระหว่าง “ข้อเท็จจริง” กับ “ความรู้สึกหรือการตีความ”
เขียนออกมาแบบนี้...
สิ่งที่เกิดขึ้นจริง (Fact) คือ สิ่งที่เกิดขึ้นแบบตรงไปตรงมา ไม่มีการใส่ความรู้สึก
การตีความ (Interpretation) คือ ความคิดหรืออารมณ์ที่คุณรู้สึกเกี่ยวกับสถานการณ์นั้น
ตัวอย่าง เช่น
Fact = หัวหน้าถามว่า “เราทำงานเสร็จหรือยัง?”
Interpretation = “เขาคงคิดว่าเราทำช้าเกินไป” หรือ “เขาไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ดี”
พลังของการแยกแยะนี้คือ เราจะเริ่มเห็นว่าความเครียดหรือความกังวลจำนวนมาก ไม่ได้มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ แต่เกิดจาก เรื่องราวที่เราสร้างขึ้นในหัวของเราเอง
ขั้นตอนที่ 3 - ถามตัวเองว่า “เสียงนี้มาจากไหน?”
เสียงในหัวของเรา ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ มันอาจจะมาจาก...
ประสบการณ์ในอดีต ที่เคยถูกวิจารณ์แรง ๆ เมื่อทำงานช้า ทำให้กลัวการถูกตำหนิ
ความเชื่อที่สังคมปลูกฝัง เช่น “เราต้องสมบูรณ์แบบถึงจะมีคุณค่า” หรือ “ความผิดพลาดคือความล้มเหลว”
การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น เช่น “ทำไมคนอื่นทำได้เร็วกว่า แต่เราถึงยังไม่เสร็จ?”
ตัวอย่าง ก็เช่น
เสียงที่บอกว่า “เราไม่ดีพอ” อาจมาจากการเติบโตมาในครอบครัวที่ตั้งมาตรฐานสูงเกินไป
เสียงที่บอกว่า “เราต้องทำให้สมบูรณ์แบบ” อาจเกิดจากวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่ยอมรับความผิดพลาด
การระบุแหล่งที่มาของเสียงในหัว จะช่วยให้เรารู้ว่าเสียงนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงในปัจจุบัน มันอาจเป็นแค่เศษเสี้ยวของอดีตที่ยังคงก้องอยู่ในใจเรา
สรุปว่า.. เราจะเปลี่ยนเสียงในหัวให้เป็นพลังในการเติบโต
เมื่อเราเริ่ม สังเกตและแยกแยะ เสียงในหัวได้ เราจะพบว่า เราไม่จำเป็นต้องเชื่อทุกอย่างที่มันพูด
การฝึกแยกแยะระหว่าง ความจริง กับ การตีความ จะช่วยให้เรามี อิสรภาพทางอารมณ์ มากขึ้น
เราจะเริ่ม ฟังอย่างแท้จริง ทั้งเสียงของคนอื่น และเสียงหัวใจของตัวเอง โดยไม่ปล่อยให้ “Already Always Listening” ควบคุมชีวิตคุณอีกต่อไป
ลองหยุดฟังเสียงเดิม ๆ ครับ
แล้วเราจะพบว่า... เสียงใหม่ ๆ ที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ รอเราอยู่เสมอ
#LifeShift #Siamstr
9. เติบโตดั่ง "ฟองน้ำ" (เทนโด้)
quoting nevent1q…eyed“2 ปีแห่งการเติบโต จากเด็กน้อยสู่ผู้ใหญ่ที่กล้าล้มและลุกขึ้นใหม่”
![]()
อีกไม่นานจะครบ 2 ปีแล้ว ที่เด็กน้อยคนหนึ่งได้ก้าวเข้ามาอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของผม... เด็กที่ผมจำได้ดีตั้งแต่วันแรกที่เราพบกันในการสัมภาษณ์
วันนั้นเป็นการสัมภาษณ์ที่แปลกดี.. เพราะผู้สัมภาษณ์อย่างผม พูดมากกว่าผู้ถูกสัมภาษณ์เสียอีก 555+
เด็กหนุ่มตรงหน้ามีตำราและทฤษฎีเต็มหัว แต่พอถามลึกลงไป กลับพบว่า.. การนำไปใช้จริงยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ
เขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น แต่ก็ยังขาดประสบการณ์ ที่จะนำทางให้ไฟนั้นลุกโชนในทิศทางที่ถูกต้อง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ...
แม้เขาจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ผมกลับเห็นศักยภาพบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา
วันนี้...
เด็กคนนั้น เติบโตขึ้น
เขายังเป็น “ตัวเอง” ในแบบที่ค่อย ๆ ดีขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่เคยล้ม แต่เพราะเขาล้มได้อย่างถูกวิธี
เขาโดน “ตบ” ด้วยความท้าทายมากมาย ทั้งจากงาน จากคนรอบข้าง (โดยเฉพาะผม) และแม้แต่จากตัวเอง... แต่เขาไม่เคยยุบ
และนั่นแหละคือ จุดเด่นที่ผมเห็นชัดเจนในตัวเขา
เขาเป็นเหมือน "ฟองน้ำ" ที่ไม่เคยหยุดดูดซับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ไม่ว่ามันจะเป็นคำชม คำวิจารณ์ หรือแม้แต่บทเรียนจากความล้มเหลว
เขา "รับฟัง" ด้วยใจเปิดกว้าง และไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเต็มแก้ว
เรามักได้ยินคำพูดว่า “จงเป็นน้ำที่ไม่เต็มแก้ว” แต่เด็กคนนี้ แสดงให้เห็นว่าคำพูดนั้นมีความหมายแค่ไหนในชีวิตจริง
เพราะเมื่อเราไม่หยุดเรียนรู้ และไม่กลัวที่จะล้ม แก้วของเราจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถรองรับโอกาสและประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่จะยกระดับตัวเราให้ดีกว่าเดิม
2 ปีที่ผ่านมา..
มันไม่ใช่การเดินทางที่ง่าย
แต่การได้เห็นใครบางคน เติบโตจากความไม่สมบูรณ์แบบ กลายเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น
มันทำให้ผมเชื่อว่า... การเติบโตที่แท้จริงไม่ได้วัดจากการไม่ล้ม แต่คือการลุกขึ้นมาได้กี่ครั้งต่างหาก
และเด็กคนนั้น?
เขาไม่ใช่แค่เด็กน้อยที่ผมเคยสัมภาษณ์อีกต่อไป
เขาคือ "นักเรียนของชีวิต" ที่พร้อมจะเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร
บางที...
เรื่องนี้อาจเป็นเครื่องเตือนใจให้กับเราทุกคนว่า เราทุกคนต่างมี “ฟองน้ำ” อยู่ในตัวเอง
แค่ "เปิดใจ" ยอมรับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต ทั้งดีและร้าย เพราะทุกอย่างล้วนมีบทเรียนรอให้เราเรียนรู้
และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราหยุดกลัวความล้มเหลว
นั่นแหละคือวันที่เราจะพบ "พลังที่แท้จริง" จากข้างในตัวเราเอง
ไปให้ถึงฝั่งฝัน.. นะ nprofile1qqsfwrl76z6zy0tjhsdnlaj6tkqweyx5w9vdyja5n788vl07p3nw3ugnjv604 (nprofile…v604)
#LifeShift Toward the #RightShift
#Siamstr
10. Exit จาก The Matrix ทางความคิด
quoting nevent1q…m8zs“กรอบความคิดที่ขังเราไว้แน่นที่สุด คือกรอบที่เราไม่รู้ตัวว่ามันมีอยู่”
![]()
“Can you escape the Matrix?”
เราติดใน "The Matrix" ทางความคิดของตัวเองอยู่หรือเปล่า?
โลกของ "ความคิดลบ" ความเชื่อจำกัด และ ลูปการบ่นซ้ำ ๆ ที่เราเผลอปล่อยให้วนเวียนอยู่ในหัวโดยไม่รู้ตัว
เคยรู้สึกไหมว่าเราตื่นมาพร้อมกับความหวังว่าจะมี "พลัง" ในการใช้ชีวิต แต่สุดท้ายกลับหมดแรงตั้งแต่ยังไม่เริ่ม?
มันไม่ใช่เพราะชีวิตเรามีปัญหาใหญ่โตเสมอไป... แต่เพราะเราปล่อยให้ "ลูปความคิดลบ" ในหัวควบคุมเรา เหมือนเราเป็นเพียงตัวละครหนึ่งในโปรแกรมที่ไม่สามารถออกจากลูปเดิม ๆ ได้
เราบ่นอะไรซ้ำ ๆ บ้าง?
"ทำไมคนอื่นไม่เข้าใจเราสักที!"
"เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ต้องทำทุกอย่างเองอีกแล้ว!"
"ไม่มีใครเห็นค่าของเราหรอก"
มันฟังดูเหมือนแค่การระบายธรรมดา ๆ ใช่ไหม?
แต่จริง ๆ แล้ว นี่แหละคือ "The Matrix" ที่คอยดึงพลังของเราไปทีละนิด เราติดอยู่ในลูปเดิม ๆ โดยไม่รู้ตัว
แล้วเราจะออกจาก The Matrix นี้ได้ยังไง?
ไม่ต้องหายใจลึก ๆ แล้วรอให้ใครมาช่วยเรา เพราะตัวเรานี่แหละคือ "Neo" ในชีวิตจริง
เราคือคนเดียวที่จะปลดล็อกตัวเองได้
ลองทำแบบนี้ดู..
ครั้งหน้า... ที่เรารู้สึกอยากบ่น ลองหยิบกระดาษขึ้นมาแล้วเขียนมันออกมาเลย
บ่นไปให้เต็มที่ เขียนทุกอย่างที่อยู่ในหัวออกมา แล้วหยุด... แล้วถามตัวเองว่า...
"จริง ๆ แล้ว เราได้อะไรจากการคิดแบบนี้?"
คำตอบที่ได้อาจทำให้เราตกใจ
เวลาบ่นว่า "ทำไมคนอื่นไม่เข้าใจเราเลย!"
สิ่งที่เราอาจได้ คือ ความรู้สึกว่าเราเป็นเหยื่อ มันอาจฟังดูไม่ดี แต่จริง ๆ แล้วการรู้สึกว่าเรา "ไม่ผิด คนอื่นต่างหากที่ผิด" มันทำให้เราสบายใจแปลก ๆ นะ
หรือเวลาบ่นว่า "เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ไม่มีใครช่วยเลย"
สิ่งที่เราอาจได้ คือ ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นฮีโร่ เป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าใคร ทั้งที่บางทีเราก็ไม่ได้อยากจะรับภาระขนาดนั้นจริง ๆ
แต่รู้ไหม.. เรากำลังเสียอะไรไปบ้าง?
เราอาจจะเสียโอกาสในการสื่อสารตรง ๆ กับคนรอบตัว
เราอาจจะเสีย พลังงานทางอารมณ์ ที่สามารถเอาไปใช้สร้างสิ่งดี ๆ ในชีวิตได้
และที่สำคัญที่สุด...
เราเสียอิสรภาพในการเลือกว่าจะรู้สึกอย่างไรกับชีวิตของตัวเอง
เมื่อเราเห็น "ต้นทุน" ที่เราจ่ายไปแล้ว เราจะรู้เลยว่า... เราไม่จำเป็นต้องติดอยู่ในลูปนี้อีกต่อไป
การปล่อยวางความคิดลบไม่ใช่เรื่องของการ "คิดบวก"
แต่มันคือการเลือกที่จะ ไม่ให้ความคิดเหล่านั้นควบคุมเรา
บางที... การมีพลังไม่ใช่เรื่องของการทำอะไรให้มากขึ้น
แต่คือการ หยุดปล่อยให้ความคิดที่ไม่จำเป็นซึ่งดูดพลังของเราไป
ชีวิตมันเบาขึ้นเยอะเลย
เมื่อเรารู้ว่าพลังมันอยู่ในตัวเรามาตลอด แค่รอให้เรา "เลือก" ใช้มันเท่านั้นเอง
พร้อมหรือยังที่จะ Exit the Matrix?
#LifeShift #Siamstr
11. สิ่งที่เราไม่รู้ ว่าเราไม่รู้ (Unknown Unknowns)
quoting nevent1q…30sa“The most dangerous knowledge is what you think you already know.”
![]()
ทำไมบางครั้งเรารู้สึกว่าชีวิตเราติดขัด ทั้งที่ดูเหมือนทุกอย่างกำลังไปได้ดี? หรือทำไมเราถึงรู้สึกว่ามีบางอย่าง "ขาดหาย" ทั้งที่เราก็พยายามพัฒนาตัวเองมาตลอด?
คำตอบอาจไม่ได้อยู่ในสิ่งที่เรารู้... แต่อยู่ในสิ่งที่เรา "ไม่รู้ว่าเราไม่รู้" ต่างหาก
เรามักคิดว่าเรารู้จักตัวเองดีพอ เราเข้าใจความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมของเราเอง
แต่ความจริงก็คือ... โลกภายในของเรายังมี "ห้องลับ" ที่เราไม่เคยเปิดเข้าไปดู
นี่แหละคือ.. "สิ่งที่เราไม่รู้" (Unknown Unknowns) แม้แต่การมีอยู่ของมัน
เหมือนกับการเดินอยู่ในบ้านของตัวเองทุกวัน แต่ไม่เคยรู้ว่ามีประตูบานหนึ่งซ่อนอยู่หลังชั้นหนังสือ พอเปิดมันออกมา... เราจะพบว่ามีทั้งห้องที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง และบางห้องที่มืดมิดจนเราไม่เคยคิดจะมองเข้าไป
แล้วทำไมต้องสนใจมันด้วย?
เพราะบางครั้ง... คำตอบของคำถามที่เราตามหามาตลอดชีวิตอาจอยู่ในห้องลับนั้นก็ได้ยังไงล่ะ
เรากำลังติดอยู่ในกรอบที่มองไม่เห็นหรือเปล่า?
ลองคิดดูสิ...
ถ้าเราอยู่ในห้องที่มืดสนิทมาตลอดชีวิต เราจะไม่รู้เลยว่ามันมืด เพราะสำหรับเราแล้ว นั่นคือ "ความปกติ"
แต่ถ้าวันหนึ่งมีแสงสว่างส่องเข้ามา เราจะเริ่มเห็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และเมื่อเห็นมันแล้ว... เราจะไม่สามารถ “มองไม่เห็น” มันได้อีก
นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราเริ่มค้นหาสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้
เราจะเริ่มเห็น "กรอบความคิด" ที่เราเคยยึดติดโดยไม่รู้ตัว
เราจะเริ่มตระหนักถึง พฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่เราทำเพราะความเคยชิน ไม่ใช่เพราะมันจำเป็น
และเราจะพบว่า... ตัวตนของเรา ที่เราเคยเชื่อว่ารู้จักดี อาจเป็นแค่เศษเสี้ยวของสิ่งที่เราเป็นจริง ๆ
แล้วจะค้นหาสิ่งที่ "ไม่รู้ว่าเราไม่รู้" ได้ยังไง?
เราอาจลองเขียนสิ่งที่เราสังเกตเห็นเกี่ยวกับตัวเอง ไม่ต้องเป็นเรื่องใหญ่โต อาจจะเป็นความรู้สึกเล็ก ๆ ความคิดที่แวบเข้ามา หรือปฏิกิริยาต่อสถานการณ์บางอย่าง
ตัวอย่างเช่น..
วันนี้เรารู้สึกหงุดหงิดเมื่อเพื่อนพูดบางอย่าง ลองถามตัวเองว่า “มันกระทบอะไรในใจเรา?”
เราทำบางอย่างเพราะคิดว่า “ฉันต้องทำ” แล้วลองถามว่า “จริง ๆ แล้วใครเป็นคนกำหนดว่าฉันต้องทำ?”
เมื่อเขียนไปเรื่อย ๆ เราจะเริ่มเห็น "รูปแบบ" ที่ซ่อนอยู่ภายในตัวเรา
เราอาจลองถาม เพื่อสำรวจมุมมองจากกระจกที่เราไม่เคยมอง
บางครั้ง... คนรอบตัวเราเห็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น
ลองถามเพื่อน ครอบครัว หรือคนที่เราไว้ใจว่า..
“คุณเห็นฉันเป็นคนแบบไหนในเวลาที่ฉันไม่รู้ตัว?”
“มีนิสัยหรือพฤติกรรมอะไรที่ฉันไม่รู้ว่าฉันทำบ้างไหม?”
คำตอบที่ได้อาจทำให้เราตกใจ แต่ถ้าเราเปิดใจรับฟัง เราจะเริ่มเห็น "ห้องลับ" ในตัวเองที่ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่
เมื่อเราค้นพบ... จะเกิดอะไรขึ้น?
การค้นหาสิ่งที่เรา "ไม่รู้ว่าเราไม่รู้" ไม่ใช่การทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ แต่คือ "การปลดปล่อย" ตัวเองจากข้อจำกัดที่เราไม่รู้ว่าเราสร้างมันขึ้นมา
เราจะเริ่มเห็นว่าบางสิ่งที่เคยคิดว่า “ฉันเป็นแบบนี้” อาจไม่ใช่ความจริง
เราจะเริ่มตระหนักว่าความเชื่อบางอย่างที่เคยยึดถือมาตลอดชีวิต อาจเป็นเพียงแค่เรื่องราวที่เราเล่าให้ตัวเองฟังซ้ำ ๆ
และที่สำคัญที่สุด... เราจะพบว่า เรามีทางเลือกมากกว่าที่เราเคยคิด
มันอาจจะไม่ง่าย มันอาจจะทำให้้รารู้สึกไม่สบายใจในตอนแรก
การยอมรับว่าเรายังมีสิ่งที่ “ไม่รู้” เป็นการเผชิญหน้ากับ อัตตา (Ego) ของตัวเอง ที่มักอยากให้เรารู้สึกว่า "ฉันรู้มากพอแล้ว" หรือ "ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว"
แต่ในความเป็นจริง... การเติบโตที่แท้จริงมาจากการ ยอมรับช่องว่างแห่งความไม่รู้ และใช้มันเป็นแรงผลักดันให้เราเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต
การได้รู้จักตัวเองในแบบที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น คือก้าวแรกสู่การเป็น ตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด
เพราะบางครั้ง... การเติบโตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ได้มาจากสิ่งที่เรารู้ แต่มาจากการกล้าค้นหาสิ่งที่เรายังไม่รู้
#LifeShift #UnlockYourPotential #UnknownUnknowns #Siamstr
12. การละทิ้ง "ตัวตน"
quoting nevent1q…fsmd"เราไม่ได้เป็นตัวตนที่เราสร้างขึ้น เราเป็นตัวเราที่อยู่ก่อนที่ทุกอย่างจะถูกสร้างขึ้นมา"
![]()
มาลองเรียนรู้คุณค่าของ "การละทิ้ง" ดูบ้าง..
เราทุกคนล้วนมี "ตัวตน" ที่เรารักษาไว้ บางครั้งมันเป็นสิ่งที่หล่อหลอมจากประสบการณ์ บางครั้งเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเองเพื่อปกป้องบางอย่างลึก ๆ ในใจ
และบ่อยครั้ง... มันกลายเป็นกรงขังที่เราสร้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เราเคยรู้สึกไหมว่า...
บางครั้งเราทำบางอย่าง ไม่ใช่เพราะอยากทำ แต่เพราะ “มันดูดี”
บางครั้งเราพูดบางคำ ไม่ใช่เพราะมันคือความจริง แต่เพราะ “มันควรพูด”
บางครั้งเราปฏิเสธบางโอกาส ไม่ใช่เพราะมันไม่ดี แต่เพราะ “มันไม่เหมาะกับตัวตนที่เราสร้างขึ้นมา”
ความดูดีนั้นไม่ได้มีอะไรผิด...
มันเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ที่จะอยากเป็นที่ยอมรับ แต่อยากให้ลองตั้งคำถามแบบนี้ว่า…
"เรากำลังใช้ตัวตนของเรา หรือเรากำลังถูกตัวตนของเราครอบงำ?"
"ตัวตน" อาจกลายเป็นกับดัก
ตัวตนที่เรายึดถือ.. อาจเป็นเพียงหน้ากากที่เราสวมใส่จนแนบสนิทไปกับผิว จนเราลืมไปแล้วว่ามันไม่ใช่ใบหน้าจริง ๆ ของเรา
ตัวอย่างของกรงขังที่มองไม่เห็น.. ก็เช่น
เราอาจปฏิเสธคำแนะนำดี ๆ เพราะมันกระทบกับภาพลักษณ์ "คนที่ฉันควรจะเป็น"
เราอาจเลือกทำบางอย่าง ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่เรา เพียงเพราะมันทำให้เราดูเป็น "เวอร์ชั่นที่สังคมชื่นชม"
เราอาจสร้างเหตุผลสวย ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความจริงที่เราไม่กล้าเผชิญ
และที่ร้ายที่สุด...
เราอาจยึดติดกับ "ฉันเป็นคนแบบนี้" มากเสียจนไม่เปิดโอกาสให้ตัวเองได้เป็นอะไรที่มากกว่านั้น
“สิ่งที่เรายึดติดที่สุด อาจเป็นสิ่งที่ขังเราไว้แน่นที่สุด”
ทำไมเราถึงไม่ปล่อยมันไป?
เพราะ "ตัวตน" ทำให้เรารู้สึกมั่นคง
เพราะ "ความดูดี" ทำให้เรารู้สึกว่ามีที่ยืนในสังคม
เพราะเราเคยคิดว่า ถ้าเราไม่เป็นในแบบที่เราควรจะเป็น...
แล้วเราจะเป็นใคร?
และนี่คือความกลัวที่ร้ายกาจที่สุด.. ความกลัวว่าเราจะไม่มีค่า ถ้าเราไม่ได้เป็นในแบบที่เราคิดว่าควรจะเป็น
แต่มันจริงหรือเปล่า?
เมื่อละทิ้ง "ตัวตน" ได้… เราจะพบอิสรภาพที่แท้จริง
ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นตัวเองได้ ไม่ใช่ทุกคนที่กล้ายอมรับ ไม่ใช่ทุกคนที่เปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าหากเรามีโอกาสได้เห็น...
ขอเพียงแค่เรา กล้า ที่จะอยู่กับมันสักพัก
ลองสังเกตดูว่า...
มีอะไรบ้างที่เรายึดถือเพียงเพราะ "มันดูดี"
มีอะไรบ้างที่เราทำ เพียงเพราะกลัวว่า "ถ้าไม่ทำ" เราจะไม่เป็นที่ยอมรับ
มีอะไรบ้างที่เรากำลัง "สร้างเหตุผลสวย ๆ" ขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเอง
"การปล่อยวาง" ไม่ได้หมายถึงการสูญเสียตัวตน แต่มันคือการเลิกยึดติดกับกรอบเดิม ๆ ที่เราสร้างขึ้นเอง
ตัวเราที่แท้จริง... ไม่เห็นจำเป็นต้อง "ดูดี" เสมอไป
เมื่อเรากล้าละทิ้งตัวตนที่เราเคยยึดถือ
เมื่อเรากล้าถอดหน้ากากที่เราใส่มานาน
เมื่อเรากล้าหยุดวิ่งหนีจากสิ่งที่เราไม่อยากยอมรับ
เราจะพบว่า...
เราไม่จำเป็นต้องเป็น "อะไรบางอย่าง" ตลอดเวลา
เพราะ การเป็นตัวเอง ไม่จำเป็นต้อง "ดูดี" เสมอไป
ลองหยุดสร้างเหตุผลสวย ๆ เพื่อปกป้องตัวตน แล้วเราจะพบว่า... เราไม่ต้องเป็นอะไรเลย นอกจากเป็นตัวเราเอง
และนั่นแหละ... คืออิสรภาพที่แท้จริง.
#LifeShift #Siamstr
13. พลังแห่งความรัก (Valentine's day)
quoting nevent1q…z4hx"ความรักไม่ใช่แค่สิ่งที่เรารู้สึก แต่คือสิ่งที่เราเลือกจะเป็นและทำในทุก ๆ วัน"
![]()
"คุณเชื่ออะไรเกี่ยวกับความรัก?"
บางคนบอกว่า "รักแท้ต้องเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ"
บางคนบอกว่า "ความรักเป็นเรื่องของโชคชะตา"
บางคนบอกว่า "รักคือการให้โดยไม่มีเงื่อนไข"
และบางคนอาจคิดว่า "ความรักเจ็บปวดเสมอ"
แต่ถ้ามีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนเกี่ยวกับความรัก มันคือ "ความรักไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเอง แต่มันคือสิ่งที่เราสร้างขึ้น"
ในวันวาเลนไทน์นี้ เรามา เปลี่ยนมายด์เซ็ตเกี่ยวกับความรัก
จาก "สิ่งที่เราคาดหวังจากคนอื่น" >> เป็น "สิ่งที่เราสามารถเป็นให้กันและกัน"
เพราะสุดท้ายแล้ว...
ความรักที่ดีไม่ได้เกิดจากการหาคนที่ใช่ แต่เกิดจากการเป็นคนที่ใช่
1. ความรักที่ยั่งยืนไม่ใช่เรื่องของโชค แต่คือการสร้าง
"Love is not something you find. Love is something you build."
❌ มายด์เซ็ตที่ทำให้รักพัง..
"ถ้าเรารักกันจริง ทุกอย่างจะง่ายไปเอง"
"ถ้ามันยากขนาดนี้ แปลว่าเราอาจไม่ใช่คู่กัน"
"รักแท้ต้องสมบูรณ์แบบ ไม่มีความขัดแย้ง"
✅ มายด์เซ็ตที่ทำให้รักมั่นคง..
ความรักที่ยั่งยืน ต้องผ่านการเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน
ทุกความสัมพันธ์ต้องการ การลงทุน ลงแรง และการเลือกที่จะอยู่ด้วยกันในวันที่ยากลำบาก
ความขัดแย้งไม่ใช่สัญญาณว่าคุณไม่ใช่คู่กัน แต่มันคือ โอกาสให้เข้าใจกันลึกซึ้งขึ้น
ลองถามตัวเองครับ
"วันนี้ฉันกำลังสร้างความรัก หรือแค่คาดหวังให้มันเกิดขึ้นเอง?"
2. รักษาความสัมพันธ์อย่างไรให้ไม่หมดพลัง?
"A healthy relationship is not two people who complete each other. It’s two whole people choosing to grow together."
คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหม?
รู้สึกว่า "ฉันต้องเสียสละตัวเองเพื่อให้ความสัมพันธ์ไปรอด"
รู้สึกว่าความสัมพันธ์ ดูดพลังมากกว่ามอบพลัง
รู้สึกว่าอีกฝ่าย ไม่เติมเต็มในสิ่งที่คุณต้องการ
นี่คือ สัญญาณเตือนว่าเรากำลังรักแบบหมดพลัง
แล้ววิธีรักษาความสัมพันธ์โดยไม่หมดพลังล่ะ?
✅ เป็นตัวเองอย่างสมบูรณ์ ก่อนเป็นครึ่งหนึ่งของใคร
>> ความสัมพันธ์ที่ดีคือ "คนสองคนที่เต็มและเติบโตไปด้วยกัน" ไม่ใช่คนสองคนที่คาดหวังให้กันและกันเติมเต็มช่องว่างของตัวเอง
✅ ให้จากพลังบวก ไม่ใช่จากความขาดแคลน
>> ถ้าคุณให้เพราะ "ต้องการอะไรกลับมา" คุณจะหมดพลังเร็วมาก แต่ถ้าคุณให้เพราะคุณ "เต็มอยู่แล้ว" ความรักของคุณจะเป็นพลังงานที่ไม่มีวันหมด
✅ สื่อสารแบบเติมเต็มกัน
>> การพูดว่า "คุณไม่เคยทำสิ่งนี้ให้ฉันเลย" เป็นการดึงพลังลบออกมา
>> แต่การพูดว่า "ฉันจะดีใจมากถ้าเราให้เวลากันมากขึ้น" เป็นการเติมพลังบวกให้กัน
ถามตัวเองอีดครั้ง..
"ฉันกำลังรักจากความสมบูรณ์ หรือรักจากความต้องการ?"
3. ก้าวข้ามภาวะเชิงลบในความสัมพันธ์
"Love is not what you feel. Love is what you do despite what you feel."
ไม่ว่าคู่ไหนก็ต้องเผชิญกับ ช่วงเวลาที่ยากลำบาก
แต่สิ่งที่ทำให้คู่รักบางคู่ "รอด" และบางคู่ "พัง" ไม่ใช่ความขัดแย้ง
แต่มันคือ "เราจัดการความขัดแย้งอย่างไร?"
มีวิธีก้าวข้ามภาวะเชิงลบในความสัมพันธ์ไหม?
✅ เลิกพยายามเป็นฝ่าย "ถูก" และเริ่มพยายามเป็นฝ่าย "เข้าใจ"
>> ความรักที่ดีไม่ใช่การแข่งขัน แต่คือ "การร่วมทีมเดียวกัน"
✅ รับผิดชอบในส่วนของตัวเอง
>> อย่าโทษแต่คนอื่น ถามตัวเองว่า "ฉันสามารถเปลี่ยนอะไรเพื่อให้ความสัมพันธ์ดีขึ้น?"
✅ ให้อภัยและปล่อยวาง
>> การถือความผิดพลาดของอีกฝ่ายไว้ในใจ คือการทำร้ายตัวเอง
ถามตัวเองอีกที..
"ฉันอยากชนะในความขัดแย้ง หรือฉันอยากให้เราชนะไปด้วยกัน?"
4. การเป็นแหล่งพลังงานบวกให้แก่กัน
"A great relationship is when you bring out the best in each other, not the stress in each other."
ความสัมพันธ์ที่ดีควรเป็นพื้นที่ที่ทำให้คุณ รู้สึกเป็นตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง
มันควรเป็นแหล่งพลังงานที่ เติมเต็ม ไม่ใช่ ดูดพลัง
วิธีเป็นพลังงานบวกให้คู่ของคุณ.. ลองทำแบบนี้
✅ เป็น Safe Space ให้กันและกัน
>> ให้ความสัมพันธ์ของคุณเป็น "ที่ปลอดภัย" ที่สุด ไม่ใช่ที่ที่เต็มไปด้วยการตัดสิน
✅ มองหาสิ่งที่ดีในกันและกัน
>> คุณจะเจอ "สิ่งที่ผิดพลาด" เสมอถ้าคุณมองหา แต่ถ้าคุณมองหาสิ่งที่ดี คุณก็จะเจอมันเช่นกัน
✅ ให้กำลังใจมากกว่าคำวิจารณ์
>> คนที่เรารักควรเป็น "พื้นที่แห่งพลังบวก" ไม่ใช่ "พื้นที่แห่งความกดดัน"
ถามตัวเองครั้งสุดท้าย..
"ฉันเป็น Safe Space ให้คนที่ฉันรักหรือเปล่า?"
ความรักที่ยั่งยืน คือสิ่งที่เราสร้าง ไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวัง
❤️ รักไม่ใช่แค่สิ่งที่เรารู้สึก แต่คือสิ่งที่เราทำ
❤️ รักไม่ใช่การหาคนที่ใช่ แต่คือการเป็นคนที่ใช่
❤️ รักที่ดีไม่ใช่รักที่สมบูรณ์แบบ แต่คือรักที่เติบโตไปด้วยกัน
หากคุณอยากมีความรักที่ยั่งยืน อย่ารอให้ความรัก "เกิดขึ้น"
แต่จงเป็น "ต้นเหตุ" ที่ทำให้มันแข็งแกร่งขึ้นในทุก ๆ วัน ❤️
สุขสันต์วันวาเลนไทน์ 🌹
#รักให้เป็น #RelationshipMindset #LifeShift #HappyValentineday #Siamstr
14. ศิลปะแห่งการเลือก
quoting nevent1q…c95k"ไม่ใช่ทุกอย่างในชีวิตต้องเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาต้องมีพื้นที่ในใจของเรา"
![]()
ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยเสียงรบกวน...
เสียงของความคาดหวังจากคนรอบตัว เสียงของความกังวล เสียงของความคิดที่ตัดสินตัวเอง และเสียงของความรู้สึกที่เรายอมให้มากำหนดวันคืนของเรา
แต่เราเคยสังเกตกันไหมว่า...
บางครั้งเราก็เหนื่อยโดยไม่จำเป็น
เราเจ็บปวดจากสิ่งที่เราเลือกแบกไว้เอง
และเราสูญเสียตัวเองไปเพียงเพราะเรายอมให้โลกภายนอกเป็นคนควบคุมความรู้สึกของเรา
ถึงเวลาแล้ว.. ที่เราจะต้องเป็นเจ้าของอารมณ์ของตัวเอง
ถึงเวลาที่เราจะปกป้องพลังงานชีวิตจากสิ่งที่ไม่คู่ควร
ถึงเวลาที่เราจะรักษาหัวใจตัวเองจากสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องจดจำ
นี่คือหนทางแห่งการปลดปล่อยตัวเอง ที่จะช่วยให้เราใช้ชีวิตด้วยความสงบ และรักษาพื้นที่ในใจให้มีค่าพอสำหรับสิ่งที่ควรค่าแก่การเก็บไว้จริง ๆ
1. ฝึกศิลปะแห่งการไม่รับทุกอย่างเข้ามาในใจ
มีบางเรื่องที่เรารู้แล้วไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น
มีบางคำพูดที่เราฟังแล้วไม่ได้ทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น
มีบางคนที่เราใส่ใจไปก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขขึ้น
"ทางเลือก" นั้นมีอยู่เสมอ..
เราจะปล่อยให้ทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามากลายเป็นภาระทางอารมณ์ หรือ เราจะเลือกอย่างชาญฉลาด ว่าอะไรสมควรมีพื้นที่ในใจของเรา?
บางครั้ง "ไม่รู้" ก็เป็นทางเลือกที่ทำให้ชีวิตสงบขึ้น
บางครั้ง "ไม่สนใจ" ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราปกป้องพลังงานของตัวเองได้ดีขึ้น
“ความสงบ.. ไม่ได้เกิดจากการได้ทุกอย่างมาอยู่ในกำมือ แต่เกิดจากการปล่อยให้บางสิ่งอยู่นอกเหนือการรับรู้ของเรา”
2. จงอยู่อย่างคนที่เข้าใจว่าคุณไม่ได้มีหน้าที่อธิบายตัวเองให้ทุกคนเข้าใจ
เคยไหม?
รู้สึกว่าต้องอธิบายให้ใครสักคนเข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจเรา
พยายามจะทำให้ใครบางคนมองเห็นตัวตนของเราในแบบที่มันเป็น
แต่ท้ายที่สุด... บางคนก็ไม่อยากเข้าใจเราอยู่ดี
และความจริงก็คือ..
เราไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ทุกคนเข้าใจ
เราไม่ได้มีหน้าที่ต้องพิสูจน์คุณค่าของตัวเองให้ใครทุกคนเห็น
บางเรื่องถ้าอีกฝ่าย "ไม่เปิดใจรับ" ต่อให้เราพูดเป็นร้อยครั้งก็คือ "เสียงที่สูญเปล่า"
จงเรียนรู้ที่จะอยู่กับความไม่เข้าใจของคนอื่น โดยที่เรายังเข้าใจตัวเอง
“การเป็นอิสระจากความต้องการให้ใครสักคนเข้าใจ คือ ของขวัญที่ดีที่สุดที่คุณจะมอบให้กับตัวเอง”
3. ปล่อยให้ความเงียบทำหน้าที่ของมัน
ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ต้องมีคำตอบ
ไม่ใช่ทุกความขัดแย้งที่ต้องมีผู้ชนะ
ไม่ใช่ทุกสถานการณ์ที่ต้องได้รับการแก้ไขจากเรา
ในโลกที่เต็มไปด้วยเสียงโต้เถียงและความพยายามที่จะเป็นฝ่ายถูก
บางครั้ง.. ความเงียบก็เป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุด
เลือกที่จะเงียบเมื่อเงียบแล้วสง่างามกว่าโต้ตอบ
เลือกที่จะปล่อยผ่านเมื่อปล่อยผ่านแล้วชีวิตเบากว่าแบก
เพราะ..
“มันก็มีบางสงครามที่ชนะได้โดยที่ไม่ต้องเข้าร่วม”
4. อยู่ให้ไกลจากคนที่ทำให้โลกของคุณหนักเกินไป
มีบางคนที่เมื่ออยู่ใกล้แล้วเรารู้สึกสดใส
มีบางคนที่เมื่อคุยด้วยแล้วเรารู้สึกหนักหน่วง
ชีวิตสั้นเกินกว่าที่จะใช้เวลากับคนที่ทำให้พลังงานของเราหมดไป
จงเลือกคนที่พูดแล้วทำให้หัวใจเราขยายใหญ่ขึ้น
จงเลือกคนที่อยู่ใกล้แล้วทำให้เรารู้สึกเป็นตัวเองได้มากขึ้น
ถ้าการอยู่ใกล้ใครสักคนแล้วทำให้เราต้องเสียสละความสงบของตัวเอง
บางที... เราอาจจะต้องเริ่มเดินออกมา
“ความสัมพันธ์ที่ดี คือ ความสัมพันธ์ที่ทำให้เราเป็นตัวเองในแบบที่ดีขึ้น ไม่ใช่ตัวเองในแบบที่หมดพลัง”
5. หยุดเสียพลังงานกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
ฝนตกหรือแดดออก... คุณเปลี่ยนมันได้ไหม?
คนอื่นจะคิดยังไงกับคุณ... คุณเปลี่ยนความคิดของเขาได้ไหม?
มีหลายสิ่งในชีวิตที่เรามักเอาตัวเองไปยึดติด ทั้งที่เราควบคุมมันไม่ได้เลย
แต่สิ่งที่คุณควบคุมได้ ก็คือ…
✅ วิธีที่คุณเลือกจะตอบสนองต่อสถานการณ์
✅ พลังงานที่คุณเลือกจะมอบให้สิ่งต่าง ๆ
✅ ทิศทางที่คุณเลือกให้ความคิดของตัวเองเดินไป
“อย่าสูญเสียตัวเองไปเพียงเพราะพยายามควบคุมสิ่งที่อยู่นอกเหนืออำนาจของคุณ”
6. แทนที่จะใช้เวลาโต้แย้ง.. ใช้เวลาเติบโตดีกว่า
มีหลายครั้งที่เราหมดพลังไปกับการพยายามเปลี่ยนแปลงความคิดของคนอื่น
แต่การเปลี่ยนแปลงที่ดีที่สุดคือการ เปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้น
เมื่อคุณเติบโตในแบบของคุณเอง คนที่เหมาะสมจะมองเห็นคุณเอง
เมื่อคุณพัฒนาตัวเอง คนที่เคยสงสัยในตัวคุณจะไม่มีคำถามอีกต่อไป
“จงใช้พลังของคุณกับสิ่งที่ทำให้คุณเติบโต แทนที่จะเสียมันไปกับการพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่น”
7. มีสติให้มากขึ้น เพื่อให้ใจหนักแน่นขึ้น
บางครั้งเรารู้สึกว่าอารมณ์เราถูกพัดพาไปง่ายเกินไป
เรารู้สึกโกรธเพียงเพราะใครบางคนพูดอะไรบางอย่าง
เรารู้สึกเศร้าเพียงเพราะคำพูดที่ได้ยินมา
แต่เมื่อเรามีสติ..
เราจะไม่ให้ทุกอย่างที่เข้ามากระทบใจกลายเป็นปัญหาของเรา
สติคือเกราะป้องกันหัวใจที่ดีที่สุด
มันช่วยให้เราแยกแยะระหว่าง
สิ่งที่เราต้องสนใจ กับ สิ่งที่เราควรปล่อยผ่าน
“จงเป็นเหมือนต้นไม้ใหญ่ที่ไม่สั่นไหวเพราะลมพัดผ่าน”
หัวใจของเรา คู่ควรกับสิ่งที่ดีที่สุด
ชีวิตของเราไม่ได้มีไว้เพื่อแบกรับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามา
อารมณ์ของเราไม่ได้มีไว้ให้ใครก็ได้เข้ามากำหนด
จง "เลือก" รักษาพลังงานของเรา
จง "เลือก" ให้หัวใจของเราเป็นที่พักพิงของสิ่งที่มีค่าเท่านั้น
เพราะสุดท้ายแล้ว…
สิ่งที่เราเลือกจะให้ความสนใจ คือสิ่งที่เรามอบพลังงานให้เติบโต
จงเลือกอย่างชาญฉลาด
#LifeShift #Siamstr
15. เหนือกว่า.. แต่ไม่ชนะ (ชนะไปทำไม? ชนะใคร?)
quoting nevent1q…y2r2"เหนือกว่า.. แต่ไม่ชนะ"
คุณอยากพัฒนา หรือคุณแค่อยากชนะ?
![]()
ในโลกของบทสนทนาและการแลกเปลี่ยนความคิด เราต่างเคยเจอรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ
นั่นคือ.. การแสดงความคิดเห็นที่ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจ แต่เกิดจาก "ความต้องการเป็นฝ่ายเหนือกว่า"
มันคือพฤติกรรมที่เมื่อได้ยินแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง แทนที่จะรับฟังและไตร่ตรอง ผู้พูดกลับเลือกที่จะ "หามุมที่แตกต่าง" เพื่อทำให้ตนเองดูเหนือกว่า ไม่ว่าข้อมูลที่ได้รับจะสมเหตุสมผลแค่ไหนก็ตาม
บางครั้งมันไม่ได้เกิดจากความตั้งใจที่ไม่ดี
บางครั้งมันเป็นเพียงสัญชาตญาณ ทำนองว่า "ฉันต้องแสดงให้เห็นว่าฉันคิดลึกกว่านี้ ฉันแตกต่าง ฉันเฉียบคมกว่า"
แต่คำถามสำคัญคือ…
การโต้แย้งเพื่อความเหนือกว่า ทำให้เราเติบโตขึ้นจริง ๆ หรือ?
พฤติกรรมนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
มนุษย์ทุกคนล้วนต้องการได้รับการยอมรับ เราอยากให้คนอื่นเห็นว่าเรา ฉลาด มีมุมมองที่แหลมคม หรือแตกต่างไปจากคนทั่วไป
และนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้บางคนติดอยู่กับ "กับดักของการต้องชนะ"
บางครั้งเรายังไม่ได้มีมุมมองนั้นมาก่อน แต่เมื่อเห็นประเด็นหนึ่งถูกนำเสนอ เรากลับสร้างมันขึ้นมาทันทีเพื่อให้มี "มุมที่แตกต่าง"
บางครั้งเราไม่ได้เห็นข้อมูลที่ลึกกว่านั้นจริง ๆ แต่เราต้องการแสดงให้เห็นว่าเรามีมุมที่กว้างกว่า
บางครั้งมันเป็นเพียงการปกป้องอัตตาของตัวเอง เพราะการยอมรับว่าความคิดของคนอื่นสมเหตุสมผล อาจทำให้เรารู้สึกเสียความมั่นใจ
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ผิด แต่เมื่อมันกลายเป็นนิสัย มันอาจเป็นกำแพงขวางกั้นการเติบโตของเราเอง
ความต้องการจะชนะ มักขวางกั้นการเรียนรู้
การแสดงมุมมองที่แตกต่างนั้นไม่ใช่ปัญหา ตราบใดที่มันมาจากความเข้าใจที่แท้จริง
แต่หากการโต้แย้งเกิดขึ้นเพียงเพื่อ "เอาชนะ" ผลที่ตามมาอาจเป็นสิ่งที่เราไม่ได้คาดคิด
เราอาจพลาดโอกาสในการเข้าใจสิ่งที่มีค่า
เมื่อเราหาข้อโต้แย้งก่อนที่เราจะเข้าใจเนื้อหาจริง ๆ เราอาจปิดกั้นตัวเองจากมุมมองที่อาจช่วยให้เราพัฒนา
จำประโยคนี้ได้ไหม?
"คนที่ฟังเพื่อตอบกลับ จะไม่ได้ยินอะไรเลย นอกจากเสียงของตัวเอง"
เราอาจใช้พลังงานไปกับการปกป้องอัตตามากกว่าการเติบโต
หากทุกการสนทนากลายเป็นสนามแข่งขัน ความสนใจของเราจะอยู่ที่ "ฉันจะชนะการโต้แย้งนี้ได้อย่างไร?"
แทนที่จะเป็น "ฉันจะเข้าใจและเรียนรู้อะไรจากมันได้บ้าง?"
เราอาจสร้างระยะห่างแทนที่จะสร้างการเชื่อมโยง
การแสดงความคิดเห็นในเชิงโต้แย้งตลอดเวลา อาจทำให้คนรอบตัวเริ่มรู้สึกว่าเราสนใจที่จะเอาชนะ มากกว่าที่จะสนใจความจริง
ผลที่ตามมาน่ะเหรอ…
คนอาจไม่อยากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเรา
บางครั้งเราอาจถูกมองว่าขาดความถ่อมตัวทางปัญญา
เราอาจสูญเสียโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีผ่านการฟังอย่างแท้จริง
เราไม่ได้จำเป็นต้องชนะตลอดเวลา
เปลี่ยนจาก "ฉันต้องแสดงว่าฉันเหนือกว่า" เป็น "ฉันอยากเข้าใจให้มากขึ้น"
ก่อนที่เราจะรีบหาข้อโต้แย้ง ถามตัวเองว่า...
"ฉันเข้าใจสิ่งที่เขากำลังพูดจริง ๆ หรือยังเปล่า?"
"ความฉลาดที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่เราหาข้อโต้แย้งได้เร็วแค่ไหน แต่อยู่ที่เรากล้าเปิดใจรับความคิดใหม่ ๆ แค่ไหน"
ขอให้รับรู้ว่า "ฉันไม่จำเป็นต้องแสดงความเห็นที่ต่างเสมอ"
หากเราพบข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนแล้ว การยอมรับมันก็เป็นทางเลือกที่ฉลาดได้เช่นกัน
เราสามารถรับฟังโดยไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองต้องมีอะไรเพิ่มเสมอไป
"บางครั้งการแสดงว่าคุณรู้ทุกอย่าง อาจทำให้คุณไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย"
ถามตัวเองเสมอว่า "สิ่งที่ฉันกำลังจะพูด มันช่วยพัฒนาอะไร?"
ก่อนจะโต้แย้งหรือแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง ลองคิดว่า...
"สิ่งนี้จะทำให้การสนทนานี้ดีขึ้น หรือมันเป็นเพียงการเติมอัตตาของฉัน?"
เพราะบางครั้ง...
ความเงียบก็มีพลังมากกว่าคำพูด
การตั้งคำถามมากกว่าการตอบโต้ อาจเปิดโลกให้กว้างขึ้น
การยอมรับว่าเรายังไม่รู้ทุกอย่าง อาจเป็นก้าวแรกของการเติบโตที่แท้จริง
คุณค่าของการฟังมากกว่าการพูด
การแสดงมุมมองที่ลึกซึ้งเป็นเรื่องที่ดี
การแลกเปลี่ยนความคิดเป็นสิ่งที่ช่วยให้โลกพัฒนา
แต่บางครั้ง การฟังอย่างแท้จริง อาจเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าการต้องเป็นฝ่ายพูดเสมอ
ลองเปิดโอกาสให้ตัวเองเข้าใจ โดยไม่ต้องรีบสร้างข้อโต้แย้ง
ลองตั้งคำถามให้ตัวเองก่อนว่า "เรากำลังฟังเพื่อเข้าใจ หรือฟังเพื่อหาช่องโต้แย้ง?"
ลองคิดว่าการสนทนาไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็น "การสร้างสิ่งใหม่ร่วมกัน"
เพราะสุดท้ายแล้ว...
"ผู้ที่มีปัญญาจริง ๆ ไม่ใช่คนที่มีคำพูดมากที่สุด แต่คือคนที่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรพูด และเมื่อไหร่ควรเงียบเพื่อรับฟัง"
การเติบโตไม่ได้อยู่ที่ว่าเราชนะกี่ครั้ง แต่อยู่ที่ว่าเราเรียนรู้มากแค่ไหน
✅ ความเหนือกว่าไม่ได้อยู่ที่เสียงที่ดังกว่า แต่อยู่ที่ใจที่เปิดกว้างกว่า
✅ ไม่ใช่ทุกบทสนทนาต้องจบลงด้วยผู้แพ้และผู้ชนะ
✅ การยอมรับความจริง ไม่ได้ทำให้เราดูด้อยค่า แต่มันทำให้เราเติบโต
--------
ทำไมผมจึงเขียนเรื่องนี้?
ก็เพราะ ผมเคยเป็นมาก่อน
ผมเคยมีความสุขกับการหาข้อโต้แย้ง เคยพยายามแสดงให้เห็นว่าผมมองได้ลึกกว่าคนอื่น
เคยคิดว่า… การชนะในการถกเถียง คือการพิสูจน์ว่าผมฉลาด
แต่วันหนึ่งผมเริ่มสังเกตเห็นบางอย่าง…
ผมอาจชนะในบางบทสนทนา
แต่บางครั้งก็จบลงด้วยความว่างเปล่า
ผมได้เสียงชื่นชม
แต่บางครั้งก็แลกมาด้วยระยะห่างจากคนรอบตัว
ผมคิดว่าตัวเองรู้มากขึ้น
แต่จริง ๆ แล้วผมกำลังสร้างกำแพงปิดกั้นโอกาสในการเรียนรู้
ผมเข้าใจผลดี-ผลเสียของมันดี
จนกระทั่งวันหนึ่งผมถามตัวเองว่า "แล้วอะไรสำคัญกว่ากัน—การชนะ หรือการเติบโต?"
และเมื่อผมเริ่มละวาง ผมก็ได้เห็นบางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน…
วันนี้ ผมแค่อยากแบ่งปันเรื่องนี้
ในฐานะ คนที่เริ่มหลุดพ้นจากพันธนาการนี้แล้ว
และผมหวังว่า ถ้ามีใครที่ยังติดอยู่ในวงจรนี้
บทความนี้อาจช่วยให้คุณ ตั้งคำถามกับตัวเองดูสักครั้ง
เพราะบางที...
"การไม่ต้องเอาชนะ คือชัยชนะที่แท้จริงของเราเอง"
#StayHumble #LifeShift #Siamstr
16. ปริศนาธรรมไฟแช็ค
quoting nevent1q…fyf3"ปริศนาธรรมไฟแช็ค"
เปลวไฟที่สร้างโลก หรือจะเผามันให้มอดไหม้?
![]()
"ไฟแช็คอันเดียว จุดประกายแสงสว่างได้ทั้งโลก หรือจะเผาทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าก็ย่อมได้"
ในมือของแต่ละคน..
ไฟแช็คสามารถเป็นได้ทั้ง แสงสว่างนำทาง และ ไฟที่เผาผลาญทุกสิ่ง
มันไม่ใช่แค่เครื่องมือให้กำเนิดเปลวไฟ แต่มันสะท้อนแนวคิด วิธีคิด และเส้นทางชีวิตของเราเอง
1. "มิติของไฟ" ปัญญาเป็นได้ทั้งแสงสว่างและเปลวเพลิง
- จุดไฟในความมืด >> เราส่องทางให้ตนเองและผู้อื่น
- จุดไฟเผาทำลาย >> เราเผาสะพานที่ควรจะข้าม
"ปัญญา" ก็เช่นกัน..
มันมีพลังที่จะสร้างและทำลายได้พอ ๆ กัน
ยังไงน่ะหรอ?
- ผู้นำที่สร้างสรรค์ >> ใช้ปัญญาคิดค้นสิ่งใหม่ สร้างนวัตกรรม เปลี่ยนโลก
- ผู้นำที่ทำลายล้าง >> ใช้ปัญญาเพื่อล้มล้าง ทำลายโอกาส และบ่อนทำลายคนรอบข้าง
"ปัญญาไม่เคยเป็นกลาง มันขึ้นอยู่กับว่าเราใช้มันยังไง"
2. "ปัญหากับไฟแช็ค" เรื่องใหญ่หรือเล็ก อยู่ที่ว่าเรามองจากตรงไหน
- ไฟแช็คอันเล็ก ๆ เมื่อวางข้างมือถือ ดูเล็กนิดเดียว
- ไฟแช็คอันเดิม เทียบกับมหาสมุทร มันยิ่งเล็กจนไร้ค่า
"ปัญหา" ก็เช่นกัน..
ลองถามตัวเองแบบนี้..
เรากำลังมองปัญหานี้ด้วย "เลนส์ขยาย" หรือ "เลนส์มุมกว้าง"?
- ถ้าเทียบกับเป้าหมาย 10 ปีข้างหน้า ปัญหานี้ยังสำคัญอยู่ไหม?
- เรากำลังจ้องมันใกล้เกินไป จนมองไม่เห็นสิ่งที่สำคัญกว่าหรือเปล่า?
"อย่าให้ไฟแช็คอันเล็ก ๆ บดบังทัศนียภาพของมหาสมุทรของคุณ"
3. "Zoom In - Zoom Out" ความจริงที่คุณอาจมองไม่เห็น
ลองนึกภาพไฟแช็ควางอยู่บนโต๊ะ...
ถ้าคุณจ้องมันใกล้ ๆ จนละสายตาจากทุกอย่างรอบตัว.. คุณจะไม่เห็นว่า บนโต๊ะนั้นมีแก้วน้ำ ขวดเบียร์ หรือกระเป๋าสตางค์
ชีวิตก็เหมือนกัน..
ถ้าเราจมอยู่กับ "ปัญหาหนึ่ง" เราอาจมองไม่เห็นโอกาสที่อยู่รอบข้าง
ตัวอย่างเช่นแบบนี้..
- คุณถูกปฏิเสธจากงานหนึ่ง >> แต่งานที่ใช่อาจอยู่ตรงหน้าแล้ว
- คุณพลาดโอกาสหนึ่ง >> แต่โอกาสใหม่อาจรอคุณอยู่ข้าง ๆ
"อย่าหมกมุ่นกับปัญหา จนพลาดโอกาสที่ใหญ่กว่า"
4. "ผู้สร้าง" จุดไฟให้ทั้งโลก ด้วยไฟแช็คเพียงอันเดียว
- คนที่ "คิดเล็ก" มองว่าไฟแช็คเป็นแค่เครื่องมือจุดบุหรี่
- คนที่ "คิดใหญ่" มองว่าไฟแช็คเป็นจุดเริ่มต้นของเปลวไฟที่เปลี่ยนโลก
"ผู้สร้าง" ไม่ได้สนใจว่าตัวเองมีทรัพยากรมากแค่ไหน แต่เขาจะคิดว่า "ฉันจะใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุดจากมันได้ยังไง?"
ตัวอย่างนะ..
- มีเงินน้อย >> ลงทุนในสิ่งที่ให้ผลลัพธ์มากที่สุด
- มีคนน้อย >> ใช้ระบบอัตโนมัติให้ทำงานแทน ไม่ก็สร้างคนที่ใช่ขึ้นมาเอง
- มีแต่ไอเดีย >> ใช้พลังแห่งเครือข่ายช่วยสร้างกระแส ก่อนลงทุนจริง
"ไม่ว่าคุณมีไฟแช็คอันเดียว หรือกองไฟขนาดใหญ่ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้มันอย่างไรเสียมากกว่า"
5. "เล่นกับไฟ" การเรียนรู้จากความผิดพลาด
- ถ้าห้ามเด็กเล่นไฟแช็คตลอดไป เขาจะไม่รู้ว่ามันร้อน
- ถ้าปล่อยให้เด็กเล่นไฟแช็คโดยไม่มีการควบคุม เขาอาจเผาบ้านคุณจนวอด
แทนที่จะห้าม ควรสอนให้เข้าใจ..
- เด็กที่เคยโดนไฟร้อน ๆ >> จะเข้าใจความร้อนโดยไม่ต้องมีใครบอก
- นักธุรกิจที่เคยล้มเหลว >> จะรู้วิธีรับมือกับความเสี่ยง
- คนที่เคยถูกทรยศ >> จะเลือกคบคนอย่างระมัดระวังขึ้น
"บางครั้ง เราต้องให้คนเจ็บตัวบ้างสักเล็กน้อย เพื่อให้เขารอดได้จากการเจ็บตัวที่ใหญ่กว่าในอนาคต"
ปริศนาธรรมไฟแช็ค สะท้อนอะไรกับชีวิตเรา?
- ปัญญาเป็นได้ทั้งแสงสว่างและเปลวเพลิง >> ใช้มันอย่างชาญฉลาด
- ปัญหาจะใหญ่หรือเล็ก อยู่ที่ว่าเรามองมันจากไหน >> เปรียบเทียบกับเป้าหมายที่ใหญ่กว่า
- อย่าหมกมุ่นกับจุดเล็ก ๆ จนพลาดโอกาสรอบตัว >> Zoom Out และมองโลกให้กว้างขึ้น
- อย่าหมดหวังเพียงเพราะมีทรัพยากรน้อย >> ใช้มันให้เกิดประโยชน์สูงสุด, ออกไปหามาเพิ่ม
>> ความผิดพลาดเป็นครูที่ดีที่สุด >> อย่ากลัวที่จะเรียนรู้จากมัน
"อย่าให้ไฟแช็คเป็นแค่ไฟแช็ค... แต่จงใช้มันเป็นเครื่องมือจุดประกายการเปลี่ยนแปลง"
คำถามให้ลองคิด?
1️⃣ ตอนนี้คุณมี "ไฟแช็ค" อะไรในมือที่คุณยังไม่ได้ใช้ให้เกิดประโยชน์?
2️⃣ ปัญหาที่คุณกำลังเจอ... มันใหญ่จริง ๆ หรือคุณแค่โฟกัสกับมันมากเกินไป?
3️⃣ คุณกำลังใช้ปัญญาเพื่อสร้างสรรค์ หรือเพื่อทำลายตัวเอง?
4️⃣ คุณกำลังป้องกันตัวเองจาก "เปลวไฟเล็ก ๆ" แต่กลับเสี่ยงให้เกิด "ไฟไหม้ครั้งใหญ่" ?
คำถามสุดท้าย..
"วันนี้คุณจะใช้ไฟแช็คของคุณเพื่อส่องสว่าง หรือจะปล่อยให้มันเผาผลาญ?"
#ปริศนาธรรมไฟแช็ค #Mindset #BeTheCause #LifeShift #Siamstr
17. กรอบที่มองไม่เห็น
quoting nevent1q…dgf3#กรอบที่มองไม่เห็น
"เราไม่ได้เห็นโลกตามที่มันเป็น แต่เห็นตามที่ใจเราจับต้องได้"
![]()
เรามองโลกผ่านกระจกคนละบาน
เราเคยสงสัยกันไหมครับว่า...
ทำไมบางครั้งเราถกเถียงกับใครสักคนแล้วรู้สึกเหมือนพูดกันคนละภาษา
ทั้งที่เรากำลังพูดถึงเรื่องเดียวกัน?
หรือทำไมคนสองคนที่โตมาในสิ่งแวดล้อมต่างกัน
กลับมีมุมมองต่อโลกที่แทบจะสวนทางกันโดยสิ้นเชิง?
คำตอบคือ…
เราแต่ละคนมองโลกผ่าน "กรอบคิด" ที่แตกต่างกัน
เหมือนการมองภาพเดียวกันผ่านกระจกคนละบาน
แต่ที่น่าสนใจคือ “เรามองไม่เห็นกระจกของตัวเอง”
และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังมองผ่านมันอยู่
"สิ่งที่เราคิดว่าเป็นความจริง อาจเป็นแค่เรื่องที่เราถูกสอนให้เชื่อ"
กรอบที่มองไม่เห็น คือกรอบที่กำหนดเรา
ตั้งแต่วันที่เราเกิด เราเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ผ่าน "กรอบคิด" ที่ถูกหล่อหลอมจาก...
- ครอบครัวที่เลี้ยงดูเรา
- วัฒนธรรมที่เราเติบโตมา
- ประสบการณ์ที่เราสะสม
- เรื่องเล่าที่เรายึดถือ
กรอบเหล่านี้เป็นเหมือน “แว่นตาที่มองไม่เห็น”
มันทำให้เราเชื่อว่า…
สิ่งที่เรารับรู้ = ความจริง
แต่ในความเป็นจริง…
มันอาจเป็นเพียงมุมหนึ่งของโลก ที่เราถูกสอนให้เห็นเท่านั้น
"ถ้าเราถูกสอนว่าปลาไม่มีปีกตั้งแต่เด็ก เราอาจจะไม่เคยสงสัยเลยว่า.. ปลาบางตัวอาจจะบินได้"
แล้วปัญหาของกรอบความคิดที่มองไม่เห็นคืออะไร?
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ "กรอบความคิด" แต่คือ… เราไม่รู้ตัวว่าเราติดอยู่ในกรอบดังกล่าว
เคยไหมที่เราต้องถามตัวเองว่า..
- ทำไมบางคนดูเหมือนจะก้าวหน้าอยู่เสมอ ในขณะที่เราย่ำอยู่กับที่?
- ทำไมเรารู้สึกว่าบางอย่าง "เป็นไปไม่ได้" ทั้งที่มันเป็นไปได้สำหรับคนอื่น?
- ทำไมเรารู้สึกว่าชีวิตเรา "ติดอยู่ในลูปเดิม" ทั้งที่พยายามเปลี่ยนแปลงแล้ว?
นั่นเป็นเพราะเรากำลังติดอยู่ในกรอบบางอย่างที่เรามองไม่เห็น
มีวิธีออกจากกรอบที่มองไม่เห็นบ้างไหม?
✅ 1. ตั้งคำถามกับ "สิ่งที่เราคิดว่าเป็นจริง"
- สิ่งที่เราถูกสอนมา มันจริงเสมอไปหรือเปล่า?
- มีใครบ้างที่ทำสิ่งที่เราคิดว่า "เป็นไปไม่ได้"?
- ถ้าเราเกิดมาในสังคมที่แตกต่างออกไป เราจะยังเชื่อแบบนี้อยู่ไหม?
✅ 2. มองจากมุมที่ต่างออกไป
- ถ้าเราเป็น "คนนอก" ที่มองชีวิตเรา เราจะให้คำแนะนำอะไรกับตัวเอง?
- ถ้าเราเป็นคนที่เราเคยอิจฉา เราจะมองปัญหาของเราว่าอย่างไร?
✅ 3. ลองทำสิ่งที่ขัดกับกรอบของตัวเอง
- ถ้าเราคิดว่าตัวเอง "ไม่ใช่คนเก่งออม" ลองศึกษาบิตคอยน์ดูไหม?
- ถ้าเราคิดว่าตัวเอง "พูดไม่เก่ง" ลองบรรยายหน้าห้องดูสักครั้งไหม?
- ถ้าเราคิดว่า "เราไม่มีทางเปลี่ยนชีวิตได้" ลองถามตัวเองว่า… คนที่เคยเปลี่ยนได้ เขาทำได้ยังไง?
"บางครั้ง กุญแจสู่ชีวิตใหม่ อาจไม่ได้อยู่ที่ 'การเรียนรู้สิ่งใหม่' แต่คือ 'การกล้าสงสัยสิ่งเก่า'"
ปัจจุบัน.. เรากำลังมองโลกผ่านกรอบไหน?
- ทุกคนมีกรอบความคิดของตัวเอง
- ปัญหาคือ เรามักไม่รู้ตัวว่าเรากำลังใช้กรอบไหนมองโลก
- ถ้าเราอยากก้าวไปอีกระดับ เราต้องกล้าสงสัยและท้าทายกรอบที่เราเคยเชื่อ
"ถ้าเราไม่เคยตั้งคำถามกับสิ่งที่เราเชื่อ เราอาจไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ใช้ชีวิตตามที่คนอื่นกำหนดไว้ให้"
- ถ้าชีวิตของเราเป็นเพียง "ผลลัพธ์ของกรอบความคิด" ที่เราถูกสอนมา… เราอยากเปลี่ยนมันไหม
- ถ้าเราสามารถสร้างกรอบความคิดใหม่ให้ตัวเองได้ เราจะเลือกมองโลกแบบไหน?
วันนี้เรากล้าสงสัยในสิ่งที่เราเคยเชื่อมาตลอดหรือยัง?
#ก้าวข้ามกรอบ #สร้างกรอบใหม่ #คิดให้ไกลกว่าที่เคยคิด
#LifeShift #Siamstr
18. เปล่งเสียงจากภายในใจ
quoting nevent1q…4qa5พูดให้โล่ง เพื่อความเข้าใจที่แท้จริง..
"บางคำพูดไม่เคยถูกเปล่งออกมา แต่หนักอยู่ในใจเราเสมอ"
![]()
เราเคยมีเรื่องที่อยากพูด แต่ไม่กล้าพูดออกมาบ้างไหม?
ลองนึกถึงสถานการณ์เหล่านี้…
เราเคยรู้สึกไม่พอใจใครบางคน แต่เลือกเงียบแทนที่จะพูดไหม?
เราเคยรู้สึกว่าความสัมพันธ์มันอึดอัด เพราะมีบางอย่างที่ไม่มีใครพูดออกมาไหม?
เราเคยรู้สึกไหมว่า ถ้าคุณได้พูดในสิ่งที่อยู่ในใจ ทุกอย่างอาจจะง่ายขึ้นกว่านี้?
แต่เราไม่ได้พูด…
เพราะกลัวว่า "ถ้าพูดไป มันอาจจะยิ่งแย่ลง?"
ความจริงคือ… การไม่พูดอาจไม่ได้ช่วยอะไรเลย
"การกลั้นคำพูดบางคำไว้นาน ๆ อาจไม่ต่างจากการแบกกระสอบทรายไว้บนบ่า เราคิดว่าถือไหว.. แต่ยิ่งเวลาผ่านไป มันยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ"
ทำไมเราถึงไม่กล้าพูดออกไป?
😞 กลัวว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจเรา
- เราคิดว่า "พูดไปก็เปล่าประโยชน์"
- เรากลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่รับฟัง หรืออาจตีความผิดไป
😞 กลัวว่าจะทำให้สถานการณ์แย่ลง
- เราคิดว่า "เงียบไว้ดีกว่า เดี๋ยวทุกอย่างก็หายไปเอง"
- แต่ปัญหาคือ… มันไม่ได้หายไป มันแค่ถูกซ่อนเอาไว้ใต้พรม
😞 เชื่อว่าการเงียบ คือวิธีที่ดีที่สุด
- เราถูกสอนให้ "อย่าเป็นคนเริ่มเรื่อง"
- เราคิดว่า "พูดมากไปเดี๋ยวกลายเป็นเรื่องใหญ่"
แต่การเก็บทุกอย่างไว้ในใจ ไม่ได้ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นเลยน่ะสิ
"บางครั้ง การพูดออกไป ไม่ได้เป็นปัญหา แต่การไม่พูดเลยต่างหากที่เป็นปัญหา"
วิธีเปล่งเสียงในใจ จะพูดอย่างไรให้โล่ง และนำไปสู่ความเข้าใจ?
1. พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ความคิดของเราเกี่ยวกับมัน
❌ "คุณไม่สนใจฉันเลย" >> (อาจเป็นแค่ความรู้สึกของเรา)
✅ "ฉันสังเกตว่าเราคุยกันน้อยลง และฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไป"
2. แสดงความรู้สึกของตัวเอง โดยไม่กล่าวโทษ
❌ "คุณไม่ให้โอกาสฉันแสดงความสามารถเลย"
✅ "ฉันอยากมีส่วนร่วมมากขึ้น คุณพอจะช่วยแนะนำวิธีที่ฉันสามารถมีบทบาทมากขึ้นได้ไหม?"
3. ให้พื้นที่อีกฝ่ายได้พูด ไม่ใช่แค่พูดฝ่ายเดียว
❌ "คุณทำให้ฉันเสียใจ ทำไมไม่ขอโทษ?"
✅ "ฉันยังติดอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้น และอยากคุยเพื่อให้เข้าใจคุณมากขึ้น"
4. จบด้วยความเป็นไปได้ใหม่
❌ "เราคงคุยกันไม่ได้อีกแล้ว"
✅ "ฉันอยากให้เรากลับมาเข้าใจกัน เราพอจะเริ่มต้นใหม่ได้ตรงไหน?"
"เมื่อเรากล้าพูดในสิ่งที่อยู่ในใจ เราไม่ได้แค่ปลดปล่อยตัวเอง แต่ยังให้โอกาสอีกฝ่ายเข้าใจเราจริง ๆ"
4. ตัวอย่างการเปล่งเสียงแห่งใจในชีวิตจริง
1️⃣ ปัญหาความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน
❌ "คุณเปลี่ยนไป คุณไม่สนใจฉันแล้ว"
✅ "ฉันรู้สึกว่าเรามีระยะห่างกันมากขึ้น ฉันอยากรู้ว่าคุณคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้?"
2️⃣ ปัญหากับหัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน
❌ "คุณไม่ให้โอกาสฉันเลย"
✅ "ฉันอยากมีส่วนร่วมมากขึ้น คุณพอจะแนะนำวิธีที่ฉันสามารถช่วยทีมได้ไหม?"
3️⃣ ปัญหากับเพื่อนที่ผิดใจกัน
❌ "นายทำให้เราเสียใจมาก ทำไมนายไม่ขอโทษ?"
✅ "เรายังติดอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้น และอยากเคลียร์ให้เข้าใจ เรามาคุยกันได้ไหม?"
5. คำพูดที่เรากล้าพูด อาจเป็นกุญแจปลดปล่อยเราเอง
- การเก็บความรู้สึกไว้ อาจไม่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นเลย
- การพูดออกไปอย่างถูกต้อง อาจช่วยให้เรารู้สึกเบา และเข้าใจกันมากขึ้น
- เราไม่จำเป็นต้องรอให้ "พร้อม" เพราะบางเรื่อง ถ้าเรารอ เราอาจไม่ได้พูดมันออกไปตลอดชีวิต
"อย่าปล่อยให้คำพูดที่ค้างอยู่ในใจ กลายเป็นสิ่งที่เรารู้สึกเสียใจที่ไม่ได้พูดออกไป"
และ..
การพูดออกไป มันต้องใช้ "ความกล้าหาญ"
เพราะการเปล่งเสียงจากภายในใจ ไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องการมากกว่าคำพูด
- มันต้องใช้ความกล้า กล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริง โดยไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
- มันต้องละทิ้งตัวตนบางอย่าง ตัวตนที่กลัวจะดูอ่อนแอ ตัวตนที่กลัวจะเสียหน้า หรือแม้แต่ตัวตนที่เคยบอกตัวเองว่า “เงียบไว้ดีกว่า”
- แต่มันก็เป็นการกระทำที่จริงใจและน่ายกย่อง ไม่ใช่เพราะมันทำให้เราดูดี แต่เพราะมันเป็นการเลือกความเข้าใจเหนือความกลัว
การพูดออกไป ไม่ใช่เพื่อให้เราชนะ หรือให้ใครต้องแพ้
แต่เพื่อให้ "หัวใจของเราถูกปลดปล่อย"
ใช่ครับ.. มันทำได้ยาก ตัวผมเองก็ใช่ว่าจะทำได้ทุกครั้ง แต่ผมก็อยากให้พวกเราลองคิดดูว่า..
"บางครั้ง.. ความกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการพูดในสิ่งที่หัวใจต้องการให้พูด แม้มือจะสั่น แม้เสียงจะสั่น แม้ใจจะกลัวก็ตาม"
ถ้าเราสามารถพูดทุกอย่างที่อยู่ในใจตอนนี้ได้ เราจะพูดอะไร?
ตอนนี้.. มีอะไรบ้างที่หนักอยู่ในใจเรา ที่เรารู้ว่าถ้าพูดออกไปแล้ว คุณจะรู้สึกโล่งขึ้น?
"บางคำพูด ไม่ได้เปลี่ยนโลก แต่เปลี่ยนใจเราได้"
#พูดให้โล่ง #เปล่งเสียงจากใจ #สื่อสารเพื่อความเข้าใจ
#LifeShift #Siamstr
19. Take a deep breath
quoting nevent1q…9e7gหายใจเข้าให้สุด… แล้วปล่อยทุกอย่างออกไป
"บางครั้ง เราวิ่งตามทุกอย่างมากเกินไป จนลืมหายใจเต็มปอด"
ลองสังเกตตัวเอง…
ตอนที่เครียด ตอนที่คิดมาก ตอนที่ไล่ล่าความสำเร็จ
เรามักจะหายใจสั้น ๆ ตื้น ๆ
เหมือนคนที่พยายามวิ่งต่อไป ทั้งที่ลมหายใจแทบไม่เหลือ
แต่รู้ไหม…?
แค่หายใจลึก ๆ สมองก็ได้รับออกซิเจนเพิ่มแล้ว
แค่หายใจเต็มปอด หัวใจก็เต้นช้าลง ความเครียดก็ลดลง
แค่หยุด 5 นาที สูดลมหายใจเข้าให้สุด
เราจะพบว่า… เรายังมีพลังมากกว่าที่คิด
"ถ้าเรารู้สึกหนัก ลองหายใจให้เต็มที่… แล้วปล่อยสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป"
ให้โอกาสตัวเองได้พัก…
ให้ร่างกายได้ฟื้น…
ให้หัวใจได้สงบ…
แล้วเราจะพบว่า… คำตอบที่เรากำลังมองหา อาจไม่ได้อยู่ข้างนอก
แต่อยู่ในลมหายใจของเราเอง
ลองเลย… หายใจลึก ๆ แล้วเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
#LifeShift #Siamstr
20. ขอบคุณ / ขอโทษ มันพูดยาก
quoting nevent1q…j4nsทำไม "ขอบคุณ" และ "ขอโทษ" ถึงพูดได้ยากกว่าที่คิด?
![]()
เราเคยรู้สึกกันไหมว่า…
บางครั้งเราอยากพูด "ขอโทษ" แต่ก็ลังเล กลัวเสียหน้า กลัวโดนมองว่าอ่อนแอ
บางครั้งเราอยากพูด "ขอบคุณ" แต่กลับรู้สึกอึดอัด ไม่กล้าพูดออกไป
แล้วสุดท้ายเราก็เลือกที่จะเงียบ...
ทำไม?
มันเป็นเพราะ "เราไม่จำเป็นต้องพูด"
หรือจริงๆ แล้ว "เราพูดออกมาไม่ได้"
หรือบางที… เรื่องนี้มันเกี่ยวกับ “เสียงในหัว” ที่เราไม่ได้ยิน? (อีกแล้ว)
ลองคิดถึงสถานการณ์เหล่านี้...
"ขอบคุณ" แต่พูดไม่ออก
"ถ้ากูขอบคุณไป มันจะทำให้กูดูอ่อนแอรึเปล่านะ?"
"ขอบคุณแล้วไงต่อ? มันก็แค่เรื่องปกติ ใครๆ ก็ต้องทำแบบนี้อยู่แล้ว"
"กูไม่อยากให้เขาคิดว่ากูติดหนี้บุญคุณ"
"ขอโทษ" แต่กลืนลงคอ
"ทำไมกูต้องขอโทษก่อน? กูไม่ผิดซะหน่อย"
"ถ้ากูพูดไป เดี๋ยวเขาก็ได้ใจ"
"ขอโทษไปแล้วมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่ดี"
มีอะไรคุ้นๆ บ้างไหม?
แล้วถ้ามันคุ้น… เราแน่ใจเหรอว่า "เสียงในหัว" เหล่านี้เป็นของเราจริงๆ?
"ขอบคุณ" และ "ขอโทษ" อาจไม่ได้เกี่ยวกับคำพูด แต่มันเกี่ยวกับ "ตัวตน" ที่เราอาจแบกไว้อยู่
ลองคิดดูนะครับ…
- บางคนขอโทษยาก... เพราะพวกเขาโตมาในครอบครัวที่ "การผิดพลาด = ความอ่อนแอ"
- บางคนขอบคุณยาก... เพราะพวกเขาถูกสอนมาว่า "ต้องเป็นคนพึ่งพาตัวเอง"
- บางคนทั้งชีวิต... ไม่เคยได้ยินใครพูดคำเหล่านี้ในบ้านเลย
มันไม่ใช่แค่ "นิสัยส่วนตัว" แต่มันคือ "กรอบความคิด" ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
เสียงในหัวของคุณอาจไม่ใช่เสียงของคุณเลย... แต่มันคือเสียงของ สังคม ครอบครัว หรือประสบการณ์ในอดีต
// การขอโทษที่ "ผิด" กับการขอโทษที่ "แท้จริง"
การขอโทษไม่ใช่แค่การพูดว่า "ขอโทษนะ" แล้วเรื่องจบ
แต่การขอโทษที่แท้จริง ต้องมาพร้อมกับ การรับผิดชอบ
❌ การขอโทษที่ผิด..
"ขอโทษก็ได้..." (พูดเพราะต้องพูด ไม่ได้รู้สึกจริงๆ)
"ขอโทษนะ แต่..." (มีข้ออ้างต่อท้าย เพื่อลดความผิดของตัวเอง)
"ขอโทษนะ ถ้าเธอรู้สึกไม่ดี" (โยนความรู้สึกผิดไปให้คนฟัง)
✅ การขอโทษที่แท้จริง..
"ผมเสียใจที่ผมพูดแบบนั้น ผมเข้าใจว่ามันทำให้คุณรู้สึกแย่ และผมจะระวังให้มากขึ้นครับ"
"ฉันยอมรับว่าสิ่งที่ฉันทำมันผิด ฉันอยากแก้ไข และอยากให้คุณรู้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก"
การขอโทษที่ดี = การรับผิดชอบ + การเรียนรู้ + ความตั้งใจที่จะแก้ไข
// "ขอบคุณ" ที่ไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือ "การยอมรับ"
บางครั้ง… การพูดขอบคุณมันยาก ไม่ใช่เพราะเราไม่อยากพูด
แต่เพราะเราต้อง ยอมรับว่าเรามีวันนี้ได้ รู้สึกแบบนี้ได้ เพราะคนอื่นด้วย
และนั่นทำให้ "อีโก้" ของเราสั่นคลอน
"กูทำเอง กูไม่ต้องขอบคุณใคร"
"เขาแค่ทำตามหน้าที่ ไม่เห็นต้องขอบคุณ"
"กูไม่อยากให้เขารู้สึกว่าเขามีอำนาจเหนือกู"
แต่ความจริงก็คือ…
ไม่มีใครสำเร็จได้ด้วยตัวเองล้วนๆ
แม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่าง…
- ขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามา
- ขอบคุณคนขายข้าวที่ทำให้เรามีอาหารกิน
- ขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่ช่วยให้โปรเจกต์สำเร็จ
- ขอบคุณตัวเอง ที่ผ่านมาได้จนถึงวันนี้
และบางครั้ง…
ขอบคุณคนที่เคยทำให้เราล้ม
เพราะพวกเขาทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น
ถ้าเราลองพูดมันออกมาดูล่ะ?
วันนี้ ลองพูด "ขอบคุณ" ให้กับใครสักคนที่เราอาจไม่เคยพูดมาก่อน
ลองพูด "ขอโทษ" กับใครสักคนที่เรารู้ว่าเราควรพูดมันออกมา
แล้วลองสังเกตว่า…
มันรู้สึกยังไง?
มันยากกว่าที่คิด หรือจริงๆ แล้ว มันปลดล็อกอะไรบางอย่างในตัวเรา?
// Challenge สำหรับวันนี้ //
ผมชวนมาลองพิมพ์ในคอมเมนต์ว่า..
"วันนี้ฉันจะขอบคุณ ______ เพราะ _______"
หรือ..
"วันนี้ฉันจะขอโทษ ______ เพราะ _______"
แล้วดูว่า… มันเปลี่ยนอะไรในตัวเราบ้าง?
เราอาจจะตกใจว่า แค่สองคำนี้... มันทำให้โลกของเราเปลี่ยนไปได้แค่ไหน
#LifeShift #Siamstr
21. Man's Search for Meaning
quoting nevent1q…kpjzชีวิตไม่ได้ถามว่า ‘คุณต้องการอะไร’ แต่ถามว่า ‘คุณพร้อมจะตอบสนองอย่างไร?’
![]()
นี่คือหนึ่งในแนวคิดสำคัญจากหนังสือ Man’s Search for Meaning ของ ดร. วิกเตอร์ แฟรงเกล (Dr.Victor Frankl) นักจิตแพทย์ที่ต้องเผชิญกับความโหดร้ายของค่ายกักกันนาซี และค้นพบว่า
“ชีวิตไม่ได้ถูกกำหนดโดยสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา แต่ถูกกำหนดโดยวิธีที่เราตอบสนองต่อมัน”
แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่เรื่องของ "การอยู่รอด" ในค่ายกักกัน แต่มันมีเรื่องของ “เรามองโลกผ่านกรอบแบบไหน” และ “เมื่อไหร่กันที่เราหยุดเลือก?”
เราเห็นโลกอย่างที่มันเป็น หรืออย่างที่เราถูกสอนให้เชื่อ? อีกด้วย
ลองคิดดู เวลาคุณมองใครสักคนที่ขับรถช้า คุณคิดว่าอะไร?
- "ไอ้นี่ต้องเป็นพวกขับรถห่วยแน่ๆ"
- "ทำไมแม่งอืดขนาดนี้ ไม่มีสมองหรือไง?"
หรือเวลาคุณเห็นใครสักคนแต่งตัวแบบที่คุณไม่เข้าใจ
- "แต่งแบบนี้ต้องเป็นพวกไม่เอาไหนแน่ๆ"
- "พวกนี้ก็คือพวกแบบนี้แหละ"
เราเคยตั้งคำถามกับตัวเองไหมว่า ทำไมเราถึงคิดแบบนี้?
เราเห็นโลกตามที่มันเป็นจริง หรือเราเห็นโลกตามสิ่งที่เราเคยถูกสอนให้เชื่อมาตลอด?
ดร.แฟรงเกล เองก็เคยอยู่ในโลกที่ถูกกำหนดกรอบไว้ให้เขาเชื่อ
ก่อนสงคราม เขาเป็นจิตแพทย์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ “อะไรทำให้คนอยากมีชีวิตอยู่ต่อ”
แต่แล้ววันหนึ่ง ทุกอย่างที่เขาเคยมี ถูกพรากไปหมด
ครอบครัว ภรรยา อาชีพ ผลงานที่เขาทำมาทั้งชีวิต
เหลือเพียงสิ่งเดียว... ตัวเขาเอง
และมันนำไปสู่คำถามที่เปลี่ยนชีวิตเขาตลอดไป
เมื่อคุณถูกพรากทุกอย่างไป คุณยังมีอะไรเหลือให้ยึดถือ?
ค่ายกักกัน.. โลกที่ไม่มีความหมาย... หรือยังมีอยู่?
ในค่ายกักกัน ความโหดร้ายเกิดขึ้นทุกวัน
- คนจำนวนมากตายจากความหนาว ความหิว หรือแม้แต่เพียงเพราะทหารนาซี "เลือก" ว่าคุณจะตายวันนี้หรือไม่
- บางคนยอมแพ้ตายไปทั้งที่ร่างกายยังแข็งแรง
- บางคนอดทนได้ทั้งที่ร่างกายอ่อนแอจนแทบยืนไม่ไหว
แฟรงเกลเริ่มสังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง...
"คนที่มีชีวิตรอด ไม่ใช่แค่คนที่แข็งแรงที่สุด แต่เป็น คนที่พบความหมายในสิ่งที่เขากำลังเผชิญ"
- เขาเห็นนักโทษบางคนยังคง ให้ขนมปังชิ้นสุดท้ายของตัวเองแก่เพื่อน
- บางคนเลือกที่จะ ปลอบโยนคนที่สิ้นหวัง แม้ว่าตัวเองก็แทบจะไม่รอด
- บางคน แม้ต้องเผชิญกับสิ่งเลวร้ายที่สุด ก็ยังเลือกที่จะ "มีชีวิต"
และมันทำให้เขาตระหนักว่า...
"ทุกอย่างสามารถถูกพรากไปจากเรา ยกเว้นสิ่งเดียว... อิสรภาพในการเลือกว่าคุณจะตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร"
ตัวอย่างจากค่ายกักกันที่เปลี่ยนมุมมองของแฟรงเกล
ในคืนหนึ่งที่อากาศเย็นจนกระดูกแทบแตก นักโทษคนหนึ่งที่ชื่อ โอโต้ (Otto) นอนหนาวสั่นอยู่ข้างๆ แฟรงเกล ในสภาพที่ร่างกายอ่อนล้าเกินกว่าจะขยับตัวได้
แต่แทนที่จะหมดหวัง โอโต้ พูดว่า
"คืนนี้พระอาทิตย์ตกสวยดีนะ ดร.แฟรงเกล"
แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะอยู่ในขุมนรกที่โหดร้ายที่สุด แต่ โอโต้ ยังเลือกที่จะมองหาความงามในโลก
นั่นเป็นหนึ่งในจุดที่ทำให้แฟรงเกลเริ่มเข้าใจว่า
มนุษย์สามารถมีอิสรภาพในจิตใจของตัวเองได้เสมอ แม้ว่าทุกสิ่งจะถูกพรากไป
"ความหมายของชีวิต" ไม่ใช่สิ่งที่ต้องหา แต่มันถูกสร้างขึ้น
หลายคนใช้เวลาทั้งชีวิตพยายามหา "คำตอบที่ตายตัว" แต่แฟรงเกลบอกว่า ชีวิตไม่ได้มีคำตอบเดียว
มันเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลาของเรา
- บางคนพบความหมายจาก ครอบครัว
- บางคนพบจาก งานที่ช่วยทำให้โลกดีขึ้น
- บางคนพบจาก ความท้าทายที่ต้องก้าวผ่าน
และบางครั้ง... ความหมายของชีวิต อาจอยู่ใน "สิ่งที่เรากำลังเผชิญ" อยู่ตอนนี้
มันมีนักโทษอีกคนที่แฟรงเกลไม่มีวันลืม..
มีชายคนหนึ่งในค่ายกักกันที่เคยบอกกับแฟรงเกลว่า
"ผมเชื่อว่าสงครามจะจบภายในสามเดือน"
แฟรงเกลถามว่า "ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น?"
ชายคนนั้นตอบว่า..
"ผมฝันเห็นมัน"
และเขายึดมั่นในความหวังนั้น
แต่เมื่อสงครามยังไม่จบภายในเวลาที่เขาตั้งไว้
ร่างกายเขาก็เริ่มอ่อนแอลง และในที่สุด... เขาก็จากไป
แฟรงเกลเห็นชัดว่า
คนที่หมดหวัง คือคนที่ร่างกายอ่อนแอลงตามจิตใจของพวกเขา
แล้วเราล่ะ?
ในค่ายกักกัน แฟรงเกลมีเหตุผลที่ต้องอยู่ต่อ
- เขา อยากเขียนหนังสือเกี่ยวกับสิ่งที่เขาค้นพบ
- เขา อยากช่วยคนอื่นให้ค้นพบความหมายในชีวิต
เขาไม่รอดเพราะโชค แต่เพราะ เขามีเหตุผลที่ใหญ่พอจะทำให้เขายืนหยัด
แต่ เราล่ะ?
เรากำลังใช้ชีวิตแบบ มีเป้าหมาย หรือแค่ ใช้ชีวิตไปวันๆ?
เราตื่นขึ้นมาเพราะ "ต้องตื่น" หรือเพราะ "มีเหตุผลให้ตื่น"?
ถ้าเราต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก อะไรคือสิ่งที่ทำให้เรายืนหยัดอยู่ได้?
บางที... คำตอบอาจอยู่ในสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
บางที... เราไม่ต้อง หา ความหมายของชีวิต
แต่เรา สามารถเลือกสร้างมันขึ้นมาเอง
และที่สำคัญกว่านั้น…
เมื่อไหร่กันนะ.. ที่เราเริ่มเชื่อว่า "นี่คือทั้งหมดที่เป็นไปได้?"
จำได้ไหม ตอนเด็กๆ เราเคยเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้
แต่เมื่อไหร่กัน...
- ที่เราเริ่มยอมรับว่าชีวิตต้องเป็นไปตาม "เส้นทางที่ถูกกำหนดมา"
- ที่เราเริ่มคิดว่า "เราทำอะไรไม่ได้"
- ที่เราเริ่มปล่อยให้สิ่งรอบตัวมากำหนดว่าเราจะรู้สึกยังไง
บางที คำถามมันไม่ใช่แค่ “ชีวิตกำลังถามเราอะไร”
แต่มันคือ... “เราเคยหยุดฟังคำถามนั้นไปตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ชีวิตกำลังถามคุณอยู่ คุณจะตอบมันอย่างไร?
ถ้าสิ่งที่อ่านวันนี้น่าสนใจ ลองหา "Man’s Search for Meaning" มาอ่านดูครับ เราอาจจะเจอสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเราได้เหมือนที่เปลี่ยนชีวิตคนมาแล้วทั่วโลก
#LifeShift #Siamstr
22. ชี้นิ้วออก vs. ชี้นิ้วเข้า
quoting nevent1q…e03y"มนุษย์มักมองเห็นฝุ่นในตาของคนอื่นได้ชัดเจน แต่กลับมองไม่เห็นขอนไม้ในตาของตัวเอง"
![]()
ฉันชื่อ "ประนอม" และนี่คือสิ่งที่ฉันสังเกตเห็นในตัวเอง
ก่อนหน้านี้.. เวลามีอะไรผิดพลาด ฉันมักจะมองออกไปข้างนอกก่อน
"ทำไมเขาทำแบบนั้น?"
"ทำไมคนพวกนี้ถึงคิดแบบนี้?"
"ทำไมโลกมันถึงเต็มไปด้วยคนที่ทำให้ฉันหงุดหงิด?"
ฉันใช้เวลามากมายไปกับการตั้งคำถามแบบนี้ ทั้งบนโลกออนไลน์และในชีวิตจริง
บางที.. เวลาฉันเห็นใครขับรถช้า ฉันอดคิดไม่ได้ว่า "คนพวกนี้มันขับรถยังไงกันวะเนี่ย?"
หรือเวลามีคนโพสต์อะไรที่ฉันไม่เห็นด้วย ฉันก็รู้สึกอยากเข้าไปโต้แย้งให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย
ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดานะ...
ใครๆ ก็คงเคยรู้สึกแบบนี้
จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉันเจอสถานการณ์ที่ทำให้ฉันเริ่มคิดกลับด้าน
วันนั้น.. ฉันโพสต์อะไรบางอย่างลงโซเชียลมีเดีย และมีคนเข้ามาคอมเมนต์แบบที่ทำให้ฉันรู้สึกแย่
ตอนแรก.. ฉันอยากจะตอบโต้กลับไป
แต่แทนที่จะถามว่า "ทำไมคนพวกนี้ถึงชอบวิจารณ์คนอื่น?"
ฉันลองเปลี่ยนคำถามเป็น...
"ฉันเคยทำแบบนี้กับใครบ้างไหมนะ?"
แล้วฉันก็เริ่มนึกออก...
ฉันเคยไปคอมเมนต์ในโพสต์ของใครบางคน ด้วยอารมณ์ที่คล้ายกัน
ฉันเคยรู้สึกว่า "เขาควรจะเข้าใจแบบนี้สิ!" โดยที่ฉันไม่เคยรู้จักเขาจริงๆ
ฉันเคยรู้สึกว่าฉันกำลัง "ให้ข้อคิด" แต่ลึกๆ แล้ว มันอาจเป็นแค่ "การเอาชนะ"
ฉันไม่ได้ผิด และคนอื่นก็ไม่ได้ผิด
แค่ว่า... มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะมองเห็นโลกจากมุมของตัวเอง
เชื่อไหมว่า.. การ "ชี้นิ้วออก" กับ "ชี้นิ้วเข้า" มันให้ผลลัพธ์ที่ต่างกันมาก ๆ (ต่อตัวเราเอง)
ฉันไม่ได้บอกว่า การชี้นิ้วออกไปมันผิด
และฉันก็ไม่ได้บอกว่า การชี้นิ้วเข้าหาตัวเองคือคำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป..
แต่เมื่อฉันลองสังเกตตัวเอง... ฉันพบว่า
เวลาฉันชี้นิ้วออกไป ฉันมักจะรู้สึกว่า "ฉันควบคุมอะไรไม่ได้"
แต่เวลาฉันชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ฉันกลับเห็นว่า "ฉันยังทำอะไรบางอย่างได้"
ฉันลองสังเกตดูว่า...
เวลาเราคิดว่า "ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น?"
ลองเปลี่ยนเป็น "เขากำลังมองเรื่องนี้จากมุมไหน?"
เวลาเรารู้สึกว่า "ทำไมเขาถึงไม่เข้าใจฉัน?"
ลองเปลี่ยนเป็น "ฉันเข้าใจเขามากพอหรือยัง?"
เวลาเราหงุดหงิดกับเพื่อนร่วมงานที่ดูไม่มีความรับผิดชอบ
ลองเปลี่ยนเป็น "ฉันช่วยทำให้การทำงานร่วมกันดีขึ้นได้ยังไง?"
มันอาจไม่ได้เปลี่ยนโลกทั้งใบ...
แต่มันเปลี่ยนวิธีที่ฉันรู้สึกกับโลกนี้
"ไม่มีใครเคยสร้างอนาคตที่ยิ่งใหญ่ได้จากการชี้นิ้วมีแต่ผู้ที่ลงมือทำเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงโลกได้"
ท้ายที่สุดแล้ว... เรากำลังเลือกมองจากมุมไหนล่ะ?
ฉันไม่ได้มาชวนให้ใคร "ต้องเปลี่ยน"
แค่อยากแบ่งปันว่า ฉันเคยลองเปลี่ยนมุมมองดู แล้วมันส่งผลต่อความรู้สึกของฉันยังไง
ฉันเคยรู้สึกเหนื่อยกับการเห็นแต่ "ปัญหาของคนอื่น"
แต่พอฉันเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองแทน
ฉันกลับรู้สึกว่าฉันมีพลังมากขึ้น
บางที "ปัญหา" อาจไม่ได้อยู่ที่ว่าโลกเป็นยังไง
แต่เรา "เลือก" ที่จะมองมันยังไง
มีคนเคยบอกไว้ว่า...
"เราไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางของลมได้ แต่เราสามารถปรับใบเรือของเราเอง"
ฉันยังคงเป็นคนเดิม
แค่เปลี่ยนจากคนที่ใช้เวลาต่อสู้กับสิ่งที่อยู่นอกตัวเอง มาเป็นคนที่ลองตั้งคำถามกับสิ่งที่ฉันควบคุมได้
แล้วคุณล่ะ?
คุณคิดว่าเราควรเลือกมองโลกจากมุมไหน?
พวกเราเชื่อกันไหมว่า..
"เมื่อเรามองออกไปนอกหน้าต่าง เราเห็นแต่ความผิดพลาดของคนอื่น แต่เมื่อเรามองกระจก เราจะเห็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง"
#LifeShift #Siamstr
#LifeShift #Leadership #Siamstr #Jakkstr