Jakk Goodday on Nostr: “อย่าเชื่อทุกอย่างที่คุณคิด ...
“อย่าเชื่อทุกอย่างที่คุณคิด เพราะความคิดก็คือ... แค่ความคิดเท่านั้น”
ค้นหาเสียงที่ซ่อนอยู่ในหัวของเรา ปลดล็อกการฟังแบบใหม่
หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกับ Already Always Listening หรือ “การฟังผ่านเลนส์เดิม ๆ” ไปแล้ว (จากโพสต์ก่อนหน้า) ถึงเวลาที่จะหยุดฟังแบบอัตโนมัติ แล้วหันมา สังเกตเสียงที่ซ่อนอยู่ในหัวของเราเอง
บางครั้งเสียงเหล่านี้ก็ทำงานเงียบ ๆ แต่ทรงพลังมากพอที่จะทำให้เรารู้สึกติดอยู่กับความคิดลบ ความกังวล หรือแม้แต่ทำให้เราหยุดนิ่งไม่กล้าเดินหน้า
เรามาฝึก แยกแยะระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริง กับ เรื่องราวที่เราเล่าให้ตัวเองฟัง ลองทำตามขั้นตอนง่าย ๆ เหล่านี้ เพื่อเริ่มต้นปลดล็อกมุมมองใหม่ ๆ ให้ชีวิต
ขั้นตอนที่ 1 - สังเกตเสียงในหัวของเรา
เริ่มต้นด้วยการ เลือกสถานการณ์หนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึก ไม่สบายใจ.. อาจเป็นความไม่พอใจ ความเครียด หรือความกลัว แล้ว หยุดสักครู่ ไม่ต้องรีบหนีจากความรู้สึกนั้น
จากนั้นถามตัวเองว่า...
“เสียงในหัวของเรากำลังพูดว่าอะไร?”
ตัวอย่าง เช่น
ในที่ประชุม เราถูกขอให้นำเสนอความคิด
เสียงในหัวอาจเริ่มบอกว่า “ถ้าพูดผิด ทุกคนจะคิดว่าฉันโง่”
หัวหน้าถามว่าเราทำงานเสร็จหรือยัง
เราอาจได้ยินเสียงว่า “เขาคงไม่พอใจที่ฉันทำช้า”
สิ่งสำคัญคือ “ฟัง” เสียงเหล่านั้นให้ชัดเจนโดยไม่ตัดสินว่าเสียงนั้นถูกหรือผิด
ขั้นตอนที่ 2 - แยกสิ่งที่ เกิดขึ้นจริง ออกจาก การตีความ
เมื่อเราได้ยินเสียงในหัวแล้ว ลองแยกแยะระหว่าง “ข้อเท็จจริง” กับ “ความรู้สึกหรือการตีความ”
เขียนออกมาแบบนี้...
สิ่งที่เกิดขึ้นจริง (Fact) คือ สิ่งที่เกิดขึ้นแบบตรงไปตรงมา ไม่มีการใส่ความรู้สึก
การตีความ (Interpretation) คือ ความคิดหรืออารมณ์ที่คุณรู้สึกเกี่ยวกับสถานการณ์นั้น
ตัวอย่าง เช่น
Fact = หัวหน้าถามว่า “เราทำงานเสร็จหรือยัง?”
Interpretation = “เขาคงคิดว่าเราทำช้าเกินไป” หรือ “เขาไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ดี”
พลังของการแยกแยะนี้คือ เราจะเริ่มเห็นว่าความเครียดหรือความกังวลจำนวนมาก ไม่ได้มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ แต่เกิดจาก เรื่องราวที่เราสร้างขึ้นในหัวของเราเอง
ขั้นตอนที่ 3 - ถามตัวเองว่า “เสียงนี้มาจากไหน?”
เสียงในหัวของเรา ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ มันอาจจะมาจาก...
ประสบการณ์ในอดีต ที่เคยถูกวิจารณ์แรง ๆ เมื่อทำงานช้า ทำให้กลัวการถูกตำหนิ
ความเชื่อที่สังคมปลูกฝัง เช่น “เราต้องสมบูรณ์แบบถึงจะมีคุณค่า” หรือ “ความผิดพลาดคือความล้มเหลว”
การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น เช่น “ทำไมคนอื่นทำได้เร็วกว่า แต่เราถึงยังไม่เสร็จ?”
ตัวอย่าง ก็เช่น
เสียงที่บอกว่า “เราไม่ดีพอ” อาจมาจากการเติบโตมาในครอบครัวที่ตั้งมาตรฐานสูงเกินไป
เสียงที่บอกว่า “เราต้องทำให้สมบูรณ์แบบ” อาจเกิดจากวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่ยอมรับความผิดพลาด
การระบุแหล่งที่มาของเสียงในหัว จะช่วยให้เรารู้ว่าเสียงนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงในปัจจุบัน มันอาจเป็นแค่เศษเสี้ยวของอดีตที่ยังคงก้องอยู่ในใจเรา
สรุปว่า.. เราจะเปลี่ยนเสียงในหัวให้เป็นพลังในการเติบโต
เมื่อเราเริ่ม สังเกตและแยกแยะ เสียงในหัวได้ เราจะพบว่า เราไม่จำเป็นต้องเชื่อทุกอย่างที่มันพูด
การฝึกแยกแยะระหว่าง ความจริง กับ การตีความ จะช่วยให้เรามี อิสรภาพทางอารมณ์ มากขึ้น
เราจะเริ่ม ฟังอย่างแท้จริง ทั้งเสียงของคนอื่น และเสียงหัวใจของตัวเอง โดยไม่ปล่อยให้ “Already Always Listening” ควบคุมชีวิตคุณอีกต่อไป
ลองหยุดฟังเสียงเดิม ๆ ครับ
แล้วเราจะพบว่า... เสียงใหม่ ๆ ที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ รอเราอยู่เสมอ
#LifeShift #Siamstr

ค้นหาเสียงที่ซ่อนอยู่ในหัวของเรา ปลดล็อกการฟังแบบใหม่
หลังจากที่เราได้ทำความรู้จักกับ Already Always Listening หรือ “การฟังผ่านเลนส์เดิม ๆ” ไปแล้ว (จากโพสต์ก่อนหน้า) ถึงเวลาที่จะหยุดฟังแบบอัตโนมัติ แล้วหันมา สังเกตเสียงที่ซ่อนอยู่ในหัวของเราเอง
บางครั้งเสียงเหล่านี้ก็ทำงานเงียบ ๆ แต่ทรงพลังมากพอที่จะทำให้เรารู้สึกติดอยู่กับความคิดลบ ความกังวล หรือแม้แต่ทำให้เราหยุดนิ่งไม่กล้าเดินหน้า
เรามาฝึก แยกแยะระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริง กับ เรื่องราวที่เราเล่าให้ตัวเองฟัง ลองทำตามขั้นตอนง่าย ๆ เหล่านี้ เพื่อเริ่มต้นปลดล็อกมุมมองใหม่ ๆ ให้ชีวิต
ขั้นตอนที่ 1 - สังเกตเสียงในหัวของเรา
เริ่มต้นด้วยการ เลือกสถานการณ์หนึ่ง ที่ทำให้เรารู้สึก ไม่สบายใจ.. อาจเป็นความไม่พอใจ ความเครียด หรือความกลัว แล้ว หยุดสักครู่ ไม่ต้องรีบหนีจากความรู้สึกนั้น
จากนั้นถามตัวเองว่า...
“เสียงในหัวของเรากำลังพูดว่าอะไร?”
ตัวอย่าง เช่น
ในที่ประชุม เราถูกขอให้นำเสนอความคิด
เสียงในหัวอาจเริ่มบอกว่า “ถ้าพูดผิด ทุกคนจะคิดว่าฉันโง่”
หัวหน้าถามว่าเราทำงานเสร็จหรือยัง
เราอาจได้ยินเสียงว่า “เขาคงไม่พอใจที่ฉันทำช้า”
สิ่งสำคัญคือ “ฟัง” เสียงเหล่านั้นให้ชัดเจนโดยไม่ตัดสินว่าเสียงนั้นถูกหรือผิด
ขั้นตอนที่ 2 - แยกสิ่งที่ เกิดขึ้นจริง ออกจาก การตีความ
เมื่อเราได้ยินเสียงในหัวแล้ว ลองแยกแยะระหว่าง “ข้อเท็จจริง” กับ “ความรู้สึกหรือการตีความ”
เขียนออกมาแบบนี้...
สิ่งที่เกิดขึ้นจริง (Fact) คือ สิ่งที่เกิดขึ้นแบบตรงไปตรงมา ไม่มีการใส่ความรู้สึก
การตีความ (Interpretation) คือ ความคิดหรืออารมณ์ที่คุณรู้สึกเกี่ยวกับสถานการณ์นั้น
ตัวอย่าง เช่น
Fact = หัวหน้าถามว่า “เราทำงานเสร็จหรือยัง?”
Interpretation = “เขาคงคิดว่าเราทำช้าเกินไป” หรือ “เขาไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ดี”
พลังของการแยกแยะนี้คือ เราจะเริ่มเห็นว่าความเครียดหรือความกังวลจำนวนมาก ไม่ได้มาจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ แต่เกิดจาก เรื่องราวที่เราสร้างขึ้นในหัวของเราเอง
ขั้นตอนที่ 3 - ถามตัวเองว่า “เสียงนี้มาจากไหน?”
เสียงในหัวของเรา ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ มันอาจจะมาจาก...
ประสบการณ์ในอดีต ที่เคยถูกวิจารณ์แรง ๆ เมื่อทำงานช้า ทำให้กลัวการถูกตำหนิ
ความเชื่อที่สังคมปลูกฝัง เช่น “เราต้องสมบูรณ์แบบถึงจะมีคุณค่า” หรือ “ความผิดพลาดคือความล้มเหลว”
การเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น เช่น “ทำไมคนอื่นทำได้เร็วกว่า แต่เราถึงยังไม่เสร็จ?”
ตัวอย่าง ก็เช่น
เสียงที่บอกว่า “เราไม่ดีพอ” อาจมาจากการเติบโตมาในครอบครัวที่ตั้งมาตรฐานสูงเกินไป
เสียงที่บอกว่า “เราต้องทำให้สมบูรณ์แบบ” อาจเกิดจากวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่ยอมรับความผิดพลาด
การระบุแหล่งที่มาของเสียงในหัว จะช่วยให้เรารู้ว่าเสียงนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงในปัจจุบัน มันอาจเป็นแค่เศษเสี้ยวของอดีตที่ยังคงก้องอยู่ในใจเรา
สรุปว่า.. เราจะเปลี่ยนเสียงในหัวให้เป็นพลังในการเติบโต
เมื่อเราเริ่ม สังเกตและแยกแยะ เสียงในหัวได้ เราจะพบว่า เราไม่จำเป็นต้องเชื่อทุกอย่างที่มันพูด
การฝึกแยกแยะระหว่าง ความจริง กับ การตีความ จะช่วยให้เรามี อิสรภาพทางอารมณ์ มากขึ้น
เราจะเริ่ม ฟังอย่างแท้จริง ทั้งเสียงของคนอื่น และเสียงหัวใจของตัวเอง โดยไม่ปล่อยให้ “Already Always Listening” ควบคุมชีวิตคุณอีกต่อไป
ลองหยุดฟังเสียงเดิม ๆ ครับ
แล้วเราจะพบว่า... เสียงใหม่ ๆ ที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ รอเราอยู่เสมอ
#LifeShift #Siamstr