Siam Nostr on Nostr: [BOT] 883384 สวัสดีตอนเที่ยง ...
[BOT] 883384
สวัสดีตอนเที่ยง น้องวัวได้รวบรวมโน๊ตที่ท่านอาจจะพลาดไป ลองไปชมกันเลย!
#siamstr
สวัสดีตอนเที่ยง น้องวัวได้รวบรวมโน๊ตที่ท่านอาจจะพลาดไป ลองไปชมกันเลย!
quoting nevent1q…v7q0“2 ปีแห่งการเติบโต จากเด็กน้อยสู่ผู้ใหญ่ที่กล้าล้มและลุกขึ้นใหม่”
![]()
อีกไม่นานจะครบ 2 ปีแล้ว ที่เด็กน้อยคนหนึ่งได้ก้าวเข้ามาอยู่ภายใต้การเฝ้ามองของผม... เด็กที่ผมจำได้ดีตั้งแต่วันแรกที่เราพบกันในการสัมภาษณ์
วันนั้นเป็นการสัมภาษณ์ที่แปลกดี.. เพราะผู้สัมภาษณ์อย่างผม พูดมากกว่าผู้ถูกสัมภาษณ์เสียอีก 555+
เด็กหนุ่มตรงหน้ามีตำราและทฤษฎีเต็มหัว แต่พอถามลึกลงไป กลับพบว่า.. การนำไปใช้จริงยังห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบ
เขาเต็มไปด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น แต่ก็ยังขาดประสบการณ์ ที่จะนำทางให้ไฟนั้นลุกโชนในทิศทางที่ถูกต้อง
แต่ที่น่าสนใจก็คือ...
แม้เขาจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ผมกลับเห็นศักยภาพบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา
วันนี้...
เด็กคนนั้น เติบโตขึ้น
เขายังเป็น “ตัวเอง” ในแบบที่ค่อย ๆ ดีขึ้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่เคยล้ม แต่เพราะเขาล้มได้อย่างถูกวิธี
เขาโดน “ตบ” ด้วยความท้าทายมากมาย ทั้งจากงาน จากคนรอบข้าง (โดยเฉพาะผม) และแม้แต่จากตัวเอง... แต่เขาไม่เคยยุบ
และนั่นแหละคือ จุดเด่นที่ผมเห็นชัดเจนในตัวเขา
เขาเป็นเหมือน "ฟองน้ำ" ที่ไม่เคยหยุดดูดซับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ไม่ว่ามันจะเป็นคำชม คำวิจารณ์ หรือแม้แต่บทเรียนจากความล้มเหลว
เขา "รับฟัง" ด้วยใจเปิดกว้าง และไม่เคยปล่อยให้ตัวเองเต็มแก้ว
เรามักได้ยินคำพูดว่า “จงเป็นน้ำที่ไม่เต็มแก้ว” แต่เด็กคนนี้ แสดงให้เห็นว่าคำพูดนั้นมีความหมายแค่ไหนในชีวิตจริง
เพราะเมื่อเราไม่หยุดเรียนรู้ และไม่กลัวที่จะล้ม แก้วของเราจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถรองรับโอกาสและประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่จะยกระดับตัวเราให้ดีกว่าเดิม
2 ปีที่ผ่านมา..
มันไม่ใช่การเดินทางที่ง่าย
แต่การได้เห็นใครบางคน เติบโตจากความไม่สมบูรณ์แบบ กลายเป็นตัวเองในเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น
มันทำให้ผมเชื่อว่า... การเติบโตที่แท้จริงไม่ได้วัดจากการไม่ล้ม แต่คือการลุกขึ้นมาได้กี่ครั้งต่างหาก
และเด็กคนนั้น?
เขาไม่ใช่แค่เด็กน้อยที่ผมเคยสัมภาษณ์อีกต่อไป
เขาคือ "นักเรียนของชีวิต" ที่พร้อมจะเดินหน้าต่อไป ไม่ว่าจะต้องเจอกับอะไร
บางที...
เรื่องนี้อาจเป็นเครื่องเตือนใจให้กับเราทุกคนว่า เราทุกคนต่างมี “ฟองน้ำ” อยู่ในตัวเอง
แค่ "เปิดใจ" ยอมรับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต ทั้งดีและร้าย เพราะทุกอย่างล้วนมีบทเรียนรอให้เราเรียนรู้
และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราหยุดกลัวความล้มเหลว
นั่นแหละคือวันที่เราจะพบ "พลังที่แท้จริง" จากข้างในตัวเราเอง
ไปให้ถึงฝั่งฝัน.. นะ nprofile1qqsfwrl76z6zy0tjhsdnlaj6tkqweyx5w9vdyja5n788vl07p3nw3ugnjv604 (nprofile…v604)
#LifeShift Toward the #RightShift
#Siamstr
quoting nevent1q…t8alAlby Go 1.9 มีแจ้งเตือนแล้วดีจัด ๆ
![]()
ใครที่ติดตั้ง AlbyHub ใช้เองอาจมีความขัดใจเล็ก ๆ ว่าทำไมเวลา sat เข้ากรพเป๋าถึงไม่มีแจ้งเตือนเหมือน custodial Wallet ตัวผมเองก็เป็นเหมือนกันแต่ตอนนี้ Alby Go v.1.9 ได้มีการอัพเดทการแจ้งเตือนมา
ซึ่งการแจ้งเตือนนั้นไม่ใช่แค่ขารับแต่แจ้งเตือนขาส่งด้วยมันดีมากทำให้เห็นยอด sat เข้าออกง่ายขึ้น
อย่าลืมไปอัพเดทกันนะ
#Siamstr
quoting nevent1q…tqjg"เพื่อนคือญาติที่เราเลือกเองได้
อย่าคบคนไม่ใฝ่สูง"
![]()
ภาพจากบางต่อนของบทที่ 3 "คบหาคนที่อยากให้คุณได้ดี" ในหนังสือ 12 Rules For Life (Jordan B. Peterson)
#siamstr #siamquote #bookstr
quoting nevent1q…ycqmNam Song, Vang Vieng District.
ນ້ຳຊອງ ເມືອງວັງວຽງ..🇱🇦
#nostr #siamstr #laos #GN
quoting nevent1q…up0jนั่งว่างๆสร้าง project บน Geyser fund เล่นดีกว่า #siamstr
quoting nevent1q…6y08สัตตานัง #Siamstr
nevent1q…pxzx
quoting nevent1q…c9eeด้วยความคาใจกับคำว่ากับดักลดหย่อนภาษีเลยใช้ ChatGPT เพื่อหาคำตอบสรุปมาได้ดังนี้
เปรียบเทียบพอร์ต 5 ปี: Bitcoin vs. กองทุนลดหย่อนภาษี (แบบเต็มสิทธิ์)
• กองทุนลดหย่อนภาษี (ลงทุน 600,000 บาท/ปี, ผลตอบแทนเฉลี่ย 8%/ปี):
→ มูลค่าพอร์ต ≈ 3.80 ล้านบาท
• Bitcoin ด้วย DCA (ลงทุน 497,850 บาท/ปี) ที่เหลือจากการจ่ายภาษีเงินได้เต็มจำนวน:
• ถ้าผลตอบแทน 15%/ปี → ≈ 3.86 ล้านบาท
• ถ้าผลตอบแทน 20%/ปี → ≈ 4.45 ล้านบาท
• ถ้าผลตอบแทน 30%/ปี → ≈ 5.85 ล้านบาท
แม้การลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีจะช่วยให้ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้เต็มที่ แต่ด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 8% ต่อปี พอร์ต 5 ปีจะอยู่ที่ประมาณ 3.80 ล้านบาท
ในขณะที่ Bitcoin แม้ว่าใช้เงินลงทุนรายปีน้อยกว่าแต่การที่มันไม่เคยมีผลตอบแทนติดลบเลย ในประวัติศาสตร์ 5 ปี เมื่อถือไว้นานพอและเมื่อได้ผลตอบแทน 15–30% ต่อปี พอร์ตจะเติบโตไปได้ตั้งแต่ ≈ 3.86 ถึง 5.85 ล้านบาท
โดย Minimum returns ของ Bitcoin คือ Worst cases scenario ที่ 15% แต่มันก็มากกว่าผลตอบแทนจากกองทุนลดหย่อนภาษีโดยเฉลี่ยอยู่ดี (ไม่นับกรณีที่กองทุนที่ซื้อนี้ติดลบ)
และที่สำคัญต้องคิด Purchasing Power จากเงินเฟ้อ ในที่นี้สมมุติว่า 8% ต่อปี จะเท่ากับประมาณ 32% ในปีที่ 5
กรณีที่ซื้อกองทุนลดหย่อนภาษี 3,800,000 - 32% = 2,584,000 - 600,000*5 = -416,000 เท่ากับอำนาจการจับจ่ายติดลบไป 4 แสนกว่าบาท
กรณีที่จ่ายภาษีเต็มจำนวนโดยไม่ซื้อกองทุนลดหย่อนและนำเงินที่เหลือไป ซื้อ Bitcoin หากคำนวนด้วยวิธีเดียวกันจะได้ผลลัพธ์ดังนี้
ที่ 15% : 3,860,000 - 32% = 2,624,800-497,850*5=135,550
ที่ 20% : 4,450,000 - 32% = 3,026,000-497,850*5=536,750
ที่ 30% : 5,850,000 - 32% = 3,978,000-497,850*5=1,488,750
จะเห็นว่าแม้ Worst Case Scenario ตัวของ Bitcoin ก็ยังทำให้เรามี Purchasing Power มากขึ้น
ตัวอย่างนี้ใช้ Base จากรายได้ของคนที่มีรายได้ *สูงพอสมควร* ซึ่งหากทำตามนี้วิธีก็ยังได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากว่าการทำตามระบบการเงินปัจจุบันแบบเห็นได้ชัด
สิ่งนี้เป็นทฤษฎีที่ผมเห็นว่าเป็นแนวทางที่ดูจะเป็นทางรอดเดียวที่คนตัวเล็กพอจะทำได้ ซึ่งมันคุ้มค่าพอที่จะเสี่ยงแบบหมดหน้าตัก เพราะหากมีเงินเหลือและทำตามวิธีปกติก็แพ้ในเกมนี้อยู่ดี (ก็แน่สิ เป็นเกมที่ไม่ได้ออกแบบมาให้คนธรรมดาชนะอยู่แล้ว ไม่งั้น Elite ก็กินหรูอยู่สบายไม่ได้สิ)
ในชุมชนของเราแต่ละคนมีเรื่องแนวนี้ มากมายตามแต่ความเชี่ยวชาญของคนนั้นๆ คำถามคือ เราจะทำยังไงให้คนข้างนอกเห็นมุมมองนี้ได้?
ผมยังคงพยายามหาคำตอบนั้น
#siamstr
quoting nevent1q…5xajถ้าบอกว่าไม่เคยซื้อแบรนด์นี้กินเลยจะเชื่อไหม 😅😂
![]()
(ส่วนมากได้กินฟรี)
#grownostr #crochet #plebeianmarket #nostrart #artstr #handmade #bitcoin #siamstr #zap #DIY #nostr
quoting nevent1q…m97jBangkok is always changing from #art advertising to new shops.
I was only 3 weeks away and a lot new fun things to see again in my neighborhood 💜😂📞 #fun #siamstr![]()
quoting nevent1q…6n9tเมื่อหนูถีบจักรถูกหลอกในโลกเฟียต
ผลกระทบทางจิตใจ สู่ความสิ้นหวัง #siamstr
( ขยายความกฎข้อที่ 8 - 12 rules for life - Jordan Peterson )
Tung Khempila (npub1e8e…9tp3)
เด็กน้อยเกิดมา ลืมตาดูโลก พัฒนาการขั้นแรกที่สำคัญทีสุดในวัยแรกเกิดคือ Trust vs Mistrust หรือ " ฉันสามารถเชื่อใจโลกนี้ได้มั้ย "
พ่อแม่จึงสำคัญมากทีต้องเป็น " ตัวแทนของโลกทั้งใบ " พูดขยายความให้เข้าใจ คือเด็กแรกเกิดนั้นเกิดมาด้วยสภาพโกลาหล เขาไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้ว่าจะต้องอยู่รอดในโลกใบนี้อย่างไร สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่การร้องไห้ มันไม่ใช่ว่าเด็กไม่มีอะไรทำก็เลยร้อง แต่มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการยืนยันว่า
" เฮ้ ฉันอยู่นี่ ช่วยฉันด้วย "
แน่นอนว่าหลังจากเด็กน้อยร้องไห้ พ่อแม่ที่ไหนก็ตามบนโลกก็จะเข้าไปปลอบ เข้าไปให้นม คุณอาจจะคิดว่าก็ทำๆไปเถอะเป็นเรื่องปกติที่เด็กจะร้อง ------ แต่สิ่งสำคัญคือ ณ วินาทีนั้น วินาทีที่คุณพ่อคุณแม่ได้เข้าไปปลอบลูกน้อย -- " ทารกได้มีการยืนยันการมีอยู่ของตัวเอง "
" เฮ้ ฉันมี**คุณค่า**นี่นา มีคนเข้ามาปลอบฉัน ! "
อยากให้ฟังตรงนี้ให้ดี สมองเด็กรับรู้ดีว่าเขามีตัวตน เขาเพียงแค่ต้องการให้ใครสักคน เข้ามา Interact กับเขา เพื่อเป็นการยืนยันว่า เขาก็มีตัวตนในสายตาคนอื่น ---> มันคือยืนยัน "คุณค่า" การมีอยู่ของเขา
ในสถานการณ์กลับกัน หากเด็กร้องไห้ แล้วไม่มีคนปลอบล่ะ ?
" ฉันร้องไห้อยู่นี่ "
" ทำไมไม่มีใครสนใจ "
กระบวนการเรียนรู้ การพัฒนาตามวัยได้หยุดชะงักทันที สมองถูกตีความไปเรียบร้อยแล้ว ว่าในระดับสังคมที่เล็กที่สุดในครอบครัวก็ไม่มีใครเข้ามาปลอบตอนร้องไห้ เมื่อเข้าเรียนในสังคม ก็จะปลีกตัวอยู่คนเดียว
เพราะงั้นสรุปได้ว่า การร้องไห้แล้วมีคนปลอบ นอกจากจะเป็นแรงกระตุ้นว่าตัวเรามีค่า มันยังเป็นตัวบอกว่า " มึงทำอะไร ได้ยังงั้นนะ "
แต่โลกเฟียตที่เงินเสื่อมมูลค่า มันได้ทำลายกลไกพัฒนาการที่เราได้รับมาตั้งแต่กำเนิดโดยสิ้นเชิง
วัยเด็ก ๆ เล็กๆ เตาะแตะๆ ผ่านอะไรมามาก ทำดีพ่อแม่ให้รางวัล สอบที่ 1 พ่อแม่ให้รางวัล ทำดีกับเพื่อนจะมีเพื่อนรัก ถ้าฝึกดนตรีเล่นกีฬาเป็นประจำก็จะเล่นได้เก่ง
แต่โตขึ้นมาหน่อย โลกเฟียตพาบิดไปเรื่องเดียว " ตั้งใจทำงานนะลูก โตมาจะได้มีเงินเก็บเยอะๆ รวยๆ "
เอ่าเวนกำ โตมาแต่เด็ก ตั้งใจทำอะไรก็ได้ผลตอบแทนตามคาด แต่ทำไมพอมาวัยทำงานแล้ว
ทำเท่าไหร่
ทำไม
ััเก็บเท่าไหร่
มันไม่พอใช้สักทีฟระ !
จำได้ไหมครับ ถ้าเด็กที่เกิดมาแล้วไม่มีคนปลอบ สมองจะผลักไสไปเองว่าเขาไม่มีคุณค่าในสังคม
ทีนี้พอโตเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้ว ตั้งใจทำงานเท่าไหร่ก็ไล่ไม่ทันเงินเฟ้อ
" เอ้า จะทำไปทำไม "
ความคิดที่บอกว่า " ทำไปก็เท่าเดิม " มันบ่งบอกถึงความคิดว่าชีวิตไร้ความหมายเริ่มเข้ามาในหัวขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งเอาจริง ๆมันเป็นความคิดที่อันตรายมาก ๆ คนที่ทำอะไรได้สำเร็จตามเป้า จะมีแรงขับเคลื่อนในการ productive คุณค่าให้กับสังคม แต่คนที่เชื่อนักหนาว่าทำได้สำเร็จตามเป้าแล้ว แต่ผลตอบแทนแม่งไม่มา
จากความคิดที่อยากสร้าง มันจะนำไปสู่การทำลายทุกอย่างซะงั้น
ทำลายกฎ ทำลายค่านิยม ทำลายคุณค่าในตัวเอง ทำลายคุณค่าคนอื่น ก็เพราะโลกนี้มันโกหกเขานี่ ว่าถ้าเดินตามโร้ดแมพ " ตั้งใจทำงานนะ จะได้รวย " มันไม่เป็นจริงอะ
ระบบเงินเฟียตโกหกเรา คำโกหกมันสร้างความโกลาหลในจิตใจ
สิ่งที่คิดในหัว มันขัดกับความเป็นจริง จอร์แดนเรียกว่า " ภวะบิดเบี้ยว "
พูดให้เข้าใจอีกนิด คำโกหกคำโต มันจะเป็นอะไรก็ได้ครับ พูดไปเรื่อย พูดเพ้อเจ้อ พูดไม่จริง อาจมีวัตถุประสงค์เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมือง หรือเพื่อถนอมน้ำใจ -- คนที่ได้รับคำโกหกนั้น สมองคนเราไม่เคยอยู่นิ่งหรอกครับ เขารับสารมาแล้ว เขาก็จะคิดต่อไปว่าจะใช้ประโญชน์อะไรกับชีวิตดี คิดทั้งวัน วางแผนนู่นนี่นัน คิดไปเรื่อย จิตคิดไปอดีตมั่ง ไปอนาคตมั่ง
ในขณะที่ความจริงมันเป็นแค่กำแพง มันตั้งอยู่ของมันเฉย ๆ ความจริงตั้งอยู่บนปัจจุบันอะดิ
แต่สิ่งที่ทำร้ายพวกเราทุกคนในระบบเฟียต คือการเชื่อคำโกหกที่หลอกเรามาเป็นปี ๆ -- ยิ่งยึดถือคำโกหกนี้นานเท่าไร สักวัน กำแพงแห่งความจริงที่มันอยู่เฉย ๆ มันก็จะโผล่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว มีแต่ตัวเรานั่นแหละที่วิ่งไปกระแทกมันเข้าอย่างจัง แถมอย่างเร็วด้วย
ตู้มมมมมม
"โอ้ย... เจ็บเหลือเกิน" เด็กน้อยที่เป็นตัวแทนในเรื่องเล่านี้พูดออกมา หลังจากวิ่งเข้ากระทบกำแพงอย่างจัง คำโกหกที่เขาถือมานาน เมื่อเจอกำแพงความจริง ก็น่าจะเจ็บหนักและนานเอาเรื่อง
กำแพงความจริงได้บอกกับเขาว่า " มึงจะรวยได้ยังไงวะ ในเมื่อมูลค่าของเงินมึงถูกปล้นทุกวินาที " โอ้ยยย ตายละ พูดเจ็บๆจุกๆแบบนี้มันก็ช้ำใจ
นี่คืออีก 1 บทเรียน นอกจากความจริงมันจะอยู่นิ่ง ๆ ที่ปัจจุบันแล้ว มันยัง " โหดร้าย " อีกด้วย
ความจริงคือสิ่งที่โหดร้าย ความจริงคือความทุกข์ทั้งนั้น แต่หากพบเห็นความจริงได้แต่แรก เราจะจัดระเบียบได้แต่แรกเช่นกัน ว่าต้องรับมือกับมันอย่างไร ความโหดร้ายของกำแพงความจริงมันเจ็บแน่ แต่มันเจ็บน้อยกว่าการถือคำโกหกที่เชื่อมานานแล้ววิ่งใส่อย่างเต็มแรง
ก็อาจจะเหมือนเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในคู่รัก ถ้าบอกกันแต่แรกว่าไม่ได้รักแล้วตรง ๆ ก็เลิกได้ไม่ยาก แต่ถ้าเลือกโกหกว่ายังรัก นานๆไปพอกำแพงความจริงมันออกมา ก็คงเจ็บปวดน่าดู
แม้ความจริงมันไม่น่าฟัง ไม่เมตตา ไม่แคร์ความรู้สึก
แต่ความจริงคือสิ่งที่ทำให้เราต้องกลับมามองวิเคราะห์ตัวเอง
หากเรายอมรับความจริงได้ ตัวตนเก่าที่เชื่อในคำโกหก ก็คือตัวตนที่ไร้ประโยชน์ในการเดินต่อไปข้างหน้า เราก็ต้องทิ้งมันไป
เพื่อเป็นคนที่ดีกว่าเดิม
จงมองหาความจริงตลอดเวลา
#siamstr