What is Nostr?
/ SutjaD
npub1l2q…7lzw
2025-02-11 09:34:32

SutjaD on Nostr: ...

เมื่อหนูถีบจักรถูกหลอกในโลกเฟียต
ผลกระทบทางจิตใจ สู่ความสิ้นหวัง #siamstr
( ขยายความกฎข้อที่ 8 - 12 rules for life - Jordan Peterson )
Tung Khempila (npub1e8e…9tp3)

เด็กน้อยเกิดมา ลืมตาดูโลก พัฒนาการขั้นแรกที่สำคัญทีสุดในวัยแรกเกิดคือ Trust vs Mistrust หรือ " ฉันสามารถเชื่อใจโลกนี้ได้มั้ย "
พ่อแม่จึงสำคัญมากทีต้องเป็น " ตัวแทนของโลกทั้งใบ " พูดขยายความให้เข้าใจ คือเด็กแรกเกิดนั้นเกิดมาด้วยสภาพโกลาหล เขาไม่มีประสบการณ์ ไม่มีความรู้ว่าจะต้องอยู่รอดในโลกใบนี้อย่างไร สิ่งที่ทำได้ก็มีแค่การร้องไห้ มันไม่ใช่ว่าเด็กไม่มีอะไรทำก็เลยร้อง แต่มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการยืนยันว่า

" เฮ้ ฉันอยู่นี่ ช่วยฉันด้วย "

แน่นอนว่าหลังจากเด็กน้อยร้องไห้ พ่อแม่ที่ไหนก็ตามบนโลกก็จะเข้าไปปลอบ เข้าไปให้นม คุณอาจจะคิดว่าก็ทำๆไปเถอะเป็นเรื่องปกติที่เด็กจะร้อง ------ แต่สิ่งสำคัญคือ ณ วินาทีนั้น วินาทีที่คุณพ่อคุณแม่ได้เข้าไปปลอบลูกน้อย -- " ทารกได้มีการยืนยันการมีอยู่ของตัวเอง "

" เฮ้ ฉันมี**คุณค่า**นี่นา มีคนเข้ามาปลอบฉัน ! "
อยากให้ฟังตรงนี้ให้ดี สมองเด็กรับรู้ดีว่าเขามีตัวตน เขาเพียงแค่ต้องการให้ใครสักคน เข้ามา Interact กับเขา เพื่อเป็นการยืนยันว่า เขาก็มีตัวตนในสายตาคนอื่น ---> มันคือยืนยัน "คุณค่า" การมีอยู่ของเขา

ในสถานการณ์กลับกัน หากเด็กร้องไห้ แล้วไม่มีคนปลอบล่ะ ?

" ฉันร้องไห้อยู่นี่ "

" ทำไมไม่มีใครสนใจ "

กระบวนการเรียนรู้ การพัฒนาตามวัยได้หยุดชะงักทันที สมองถูกตีความไปเรียบร้อยแล้ว ว่าในระดับสังคมที่เล็กที่สุดในครอบครัวก็ไม่มีใครเข้ามาปลอบตอนร้องไห้ เมื่อเข้าเรียนในสังคม ก็จะปลีกตัวอยู่คนเดียว

เพราะงั้นสรุปได้ว่า การร้องไห้แล้วมีคนปลอบ นอกจากจะเป็นแรงกระตุ้นว่าตัวเรามีค่า มันยังเป็นตัวบอกว่า " มึงทำอะไร ได้ยังงั้นนะ "

แต่โลกเฟียตที่เงินเสื่อมมูลค่า มันได้ทำลายกลไกพัฒนาการที่เราได้รับมาตั้งแต่กำเนิดโดยสิ้นเชิง

วัยเด็ก ๆ เล็กๆ เตาะแตะๆ ผ่านอะไรมามาก ทำดีพ่อแม่ให้รางวัล สอบที่ 1 พ่อแม่ให้รางวัล ทำดีกับเพื่อนจะมีเพื่อนรัก ถ้าฝึกดนตรีเล่นกีฬาเป็นประจำก็จะเล่นได้เก่ง

แต่โตขึ้นมาหน่อย โลกเฟียตพาบิดไปเรื่องเดียว " ตั้งใจทำงานนะลูก โตมาจะได้มีเงินเก็บเยอะๆ รวยๆ "

เอ่าเวนกำ โตมาแต่เด็ก ตั้งใจทำอะไรก็ได้ผลตอบแทนตามคาด แต่ทำไมพอมาวัยทำงานแล้ว

ทำเท่าไหร่

ทำไม

ััเก็บเท่าไหร่

มันไม่พอใช้สักทีฟระ !

จำได้ไหมครับ ถ้าเด็กที่เกิดมาแล้วไม่มีคนปลอบ สมองจะผลักไสไปเองว่าเขาไม่มีคุณค่าในสังคม

ทีนี้พอโตเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้ว ตั้งใจทำงานเท่าไหร่ก็ไล่ไม่ทันเงินเฟ้อ

" เอ้า จะทำไปทำไม "

ความคิดที่บอกว่า " ทำไปก็เท่าเดิม " มันบ่งบอกถึงความคิดว่าชีวิตไร้ความหมายเริ่มเข้ามาในหัวขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งเอาจริง ๆมันเป็นความคิดที่อันตรายมาก ๆ คนที่ทำอะไรได้สำเร็จตามเป้า จะมีแรงขับเคลื่อนในการ productive คุณค่าให้กับสังคม แต่คนที่เชื่อนักหนาว่าทำได้สำเร็จตามเป้าแล้ว แต่ผลตอบแทนแม่งไม่มา

จากความคิดที่อยากสร้าง มันจะนำไปสู่การทำลายทุกอย่างซะงั้น

ทำลายกฎ ทำลายค่านิยม ทำลายคุณค่าในตัวเอง ทำลายคุณค่าคนอื่น ก็เพราะโลกนี้มันโกหกเขานี่ ว่าถ้าเดินตามโร้ดแมพ " ตั้งใจทำงานนะ จะได้รวย " มันไม่เป็นจริงอะ

ระบบเงินเฟียตโกหกเรา คำโกหกมันสร้างความโกลาหลในจิตใจ
สิ่งที่คิดในหัว มันขัดกับความเป็นจริง จอร์แดนเรียกว่า " ภวะบิดเบี้ยว "
พูดให้เข้าใจอีกนิด คำโกหกคำโต มันจะเป็นอะไรก็ได้ครับ พูดไปเรื่อย พูดเพ้อเจ้อ พูดไม่จริง อาจมีวัตถุประสงค์เพื่อผลประโยชน์ของนักการเมือง หรือเพื่อถนอมน้ำใจ -- คนที่ได้รับคำโกหกนั้น สมองคนเราไม่เคยอยู่นิ่งหรอกครับ เขารับสารมาแล้ว เขาก็จะคิดต่อไปว่าจะใช้ประโญชน์อะไรกับชีวิตดี คิดทั้งวัน วางแผนนู่นนี่นัน คิดไปเรื่อย จิตคิดไปอดีตมั่ง ไปอนาคตมั่ง

ในขณะที่ความจริงมันเป็นแค่กำแพง มันตั้งอยู่ของมันเฉย ๆ ความจริงตั้งอยู่บนปัจจุบันอะดิ

แต่สิ่งที่ทำร้ายพวกเราทุกคนในระบบเฟียต คือการเชื่อคำโกหกที่หลอกเรามาเป็นปี ๆ -- ยิ่งยึดถือคำโกหกนี้นานเท่าไร สักวัน กำแพงแห่งความจริงที่มันอยู่เฉย ๆ มันก็จะโผล่มาอย่างไม่ทันตั้งตัว มีแต่ตัวเรานั่นแหละที่วิ่งไปกระแทกมันเข้าอย่างจัง แถมอย่างเร็วด้วย

ตู้มมมมมม

"โอ้ย... เจ็บเหลือเกิน" เด็กน้อยที่เป็นตัวแทนในเรื่องเล่านี้พูดออกมา หลังจากวิ่งเข้ากระทบกำแพงอย่างจัง คำโกหกที่เขาถือมานาน เมื่อเจอกำแพงความจริง ก็น่าจะเจ็บหนักและนานเอาเรื่อง

กำแพงความจริงได้บอกกับเขาว่า " มึงจะรวยได้ยังไงวะ ในเมื่อมูลค่าของเงินมึงถูกปล้นทุกวินาที " โอ้ยยย ตายละ พูดเจ็บๆจุกๆแบบนี้มันก็ช้ำใจ

นี่คืออีก 1 บทเรียน นอกจากความจริงมันจะอยู่นิ่ง ๆ ที่ปัจจุบันแล้ว มันยัง " โหดร้าย " อีกด้วย

ความจริงคือสิ่งที่โหดร้าย ความจริงคือความทุกข์ทั้งนั้น แต่หากพบเห็นความจริงได้แต่แรก เราจะจัดระเบียบได้แต่แรกเช่นกัน ว่าต้องรับมือกับมันอย่างไร ความโหดร้ายของกำแพงความจริงมันเจ็บแน่ แต่มันเจ็บน้อยกว่าการถือคำโกหกที่เชื่อมานานแล้ววิ่งใส่อย่างเต็มแรง

ก็อาจจะเหมือนเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในคู่รัก ถ้าบอกกันแต่แรกว่าไม่ได้รักแล้วตรง ๆ ก็เลิกได้ไม่ยาก แต่ถ้าเลือกโกหกว่ายังรัก นานๆไปพอกำแพงความจริงมันออกมา ก็คงเจ็บปวดน่าดู

แม้ความจริงมันไม่น่าฟัง ไม่เมตตา ไม่แคร์ความรู้สึก
แต่ความจริงคือสิ่งที่ทำให้เราต้องกลับมามองวิเคราะห์ตัวเอง
หากเรายอมรับความจริงได้ ตัวตนเก่าที่เชื่อในคำโกหก ก็คือตัวตนที่ไร้ประโยชน์ในการเดินต่อไปข้างหน้า เราก็ต้องทิ้งมันไป
เพื่อเป็นคนที่ดีกว่าเดิม

จงมองหาความจริงตลอดเวลา














Author Public Key
npub1l2q9eq238x4k4mcuccfw494g0435kymtk390x3hpf2gzgdzta57q3u7lzw