maiakee on Nostr: อาสวะ คือ ...
อาสวะ คือ กิเลสที่หมักดองอยู่ในจิตใจ ทำให้เกิดทุกข์และเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุมรรค ผล นิพพาน คำว่า “อาสวะ” มาจากรากศัพท์ภาษาบาลี แปลว่า “สิ่งที่ไหลซึมออกมา” เปรียบเสมือนของเสียที่หมักหมมอยู่ในจิตและค่อยๆ ไหลออกมาทำให้จิตเศร้าหมอง
พระพุทธองค์ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวว่าความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ย่อมนำไปสู่การบรรลุวิชชาและวิมุตติ”
(อาสวักขยญาณสูตร, พระไตรปิฎก เล่ม 14 สังยุตตนิกาย)
อาสวะมี 4 ประเภท
1. กามาสวะ (อาสวะแห่งกาม)
• ความติดข้องในกามคุณทั้ง 5 (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส)
• ทำให้จิตใจหมกมุ่นกับความพอใจทางโลก
• ต้องละด้วย วิปัสสนาปัญญา เห็นความไม่เที่ยงของกาม
2. ภวาสวะ (อาสวะแห่งภพ)
• ความอยากมีอยากเป็น เช่น อยากเกิดในภพภูมิที่ดี
• เป็นเชื้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
• ต้องละด้วย อริยมรรค (มรรคมีองค์ 8)
3. ทิฏฐาสวะ (อาสวะแห่งทิฏฐิ)
• ความยึดมั่นในความเห็นผิด เช่น สัสสตทิฏฐิ (เห็นว่ามีตัวตนเที่ยงแท้) หรือ อุจเฉททิฏฐิ (เห็นว่าตายแล้วสูญ)
• ต้องละด้วย สัมมาทิฏฐิ คือการเห็นอริยสัจ 4
4. อวิชชาสวะ (อาสวะแห่งอวิชชา)
• ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4
• ทำให้ตกอยู่ในวัฏสงสาร
• ต้องละด้วย ปัญญาอันเกิดจากสมาธิและวิปัสสนา
อาสวะหมดสิ้นไปได้อย่างไร?
พระพุทธองค์ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อบุคคลละอาสวะได้ ย่อมพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง”
(อาสวักขยญาณสูตร, พระไตรปิฎก เล่ม 14 สังยุตตนิกาย)
วิธีละอาสวะ ได้แก่
1. เจริญสติปัฏฐาน 4 (สติในกาย เวทนา จิต ธรรม)
2. เจริญโพชฌงค์ 7 (ธรรมที่นำไปสู่วิมุตติ)
3. ปฏิบัติตามอริยมรรค 8 (เส้นทางแห่งการหลุดพ้น)
4. พิจารณาไตรลักษณ์ (เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในสังขารทั้งปวง)
เมื่ออาสวะหมดสิ้นลง บุคคลนั้นจะบรรลุ อรหัตผล และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
พระพุทธองค์ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ! เรากล่าวว่าความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ย่อมนำไปสู่การบรรลุวิชชาและวิมุตติ”
(อาสวักขยญาณสูตร, พระไตรปิฎก เล่ม 14 สังยุตตนิกาย)
อาสวะมี 4 ประเภท
1. กามาสวะ (อาสวะแห่งกาม)
• ความติดข้องในกามคุณทั้ง 5 (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส)
• ทำให้จิตใจหมกมุ่นกับความพอใจทางโลก
• ต้องละด้วย วิปัสสนาปัญญา เห็นความไม่เที่ยงของกาม
2. ภวาสวะ (อาสวะแห่งภพ)
• ความอยากมีอยากเป็น เช่น อยากเกิดในภพภูมิที่ดี
• เป็นเชื้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
• ต้องละด้วย อริยมรรค (มรรคมีองค์ 8)
3. ทิฏฐาสวะ (อาสวะแห่งทิฏฐิ)
• ความยึดมั่นในความเห็นผิด เช่น สัสสตทิฏฐิ (เห็นว่ามีตัวตนเที่ยงแท้) หรือ อุจเฉททิฏฐิ (เห็นว่าตายแล้วสูญ)
• ต้องละด้วย สัมมาทิฏฐิ คือการเห็นอริยสัจ 4
4. อวิชชาสวะ (อาสวะแห่งอวิชชา)
• ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4
• ทำให้ตกอยู่ในวัฏสงสาร
• ต้องละด้วย ปัญญาอันเกิดจากสมาธิและวิปัสสนา
อาสวะหมดสิ้นไปได้อย่างไร?
พระพุทธองค์ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อบุคคลละอาสวะได้ ย่อมพ้นจากทุกข์โดยสิ้นเชิง”
(อาสวักขยญาณสูตร, พระไตรปิฎก เล่ม 14 สังยุตตนิกาย)
วิธีละอาสวะ ได้แก่
1. เจริญสติปัฏฐาน 4 (สติในกาย เวทนา จิต ธรรม)
2. เจริญโพชฌงค์ 7 (ธรรมที่นำไปสู่วิมุตติ)
3. ปฏิบัติตามอริยมรรค 8 (เส้นทางแห่งการหลุดพ้น)
4. พิจารณาไตรลักษณ์ (เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาในสังขารทั้งปวง)
เมื่ออาสวะหมดสิ้นลง บุคคลนั้นจะบรรลุ อรหัตผล และไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป