What is Nostr?
Jakk Goodday
npub1mqc…nz85
2023-10-09 06:07:19

Jakk Goodday on Nostr: ### การทดลอง 9 วันอันล้ำค่า : 2 ## ...

### การทดลอง 9 วันอันล้ำค่า : 2
## สังคมฟิสิคัล

ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า.. มันเป็นเราเองใช่ไหมที่คิดว่าเราต้องเข้าสังคม หรือเป็นอย่างอื่นที่ทำให้เราคิดแบบนั้น?

ผมจำได้ว่าเมื่อราวๆ ช่วงปี 2550 ผมยังใช้มือถืออย่าง Nokia 5610 (จำรุ่นไม่ได้ชัดเจนนัก แต่เป็น Express music สีแดงนี่แหละ) ควบคู่ไปกับ Hutch อยู่เลย (ในขณะที่หลายคนเริ่มมี iPhone กันแล้ว)

ผมทำงานเป็น Sale executive ที่ต้องดูแลพื้นที่ทั้งประเทศ มันทำให้ผมต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา ไปแทบทุกจังหวัดที่สำคัญๆ (นั่นเป็นเหตุผลที่ผมเบื่อการเดินทาง/ท่องเที่ยวไปแล้ว) จึงไม่ค่อยมีเวลามานั่งเล่นคอมมากนัก...

สังคมที่พอจะบอกได้ว่าออนไลน์ในยุคนั้น คือ Voice call (โทรหาเพื่อน, โทรคุยสาว)

ส่วนที่เหลือคือสังคมฟิสิคัลล้วนๆ เพื่อนร่วมงาน, เพื่อนๆ IRL, ลูกค้า ฯลฯ

ในช่วงเวลานั้น เราคิดถึงการพบปะพูดคุยกับเพื่อนๆ การได้เจอกันอย่างตัวเป็นๆ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันสรรพเพเหระ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือโลกออนไลน์?

การพบเจอกันแต่ละครั้งนั้นมันคุณค่าสูงมากเหลือเกิน

ความสนุกเพียงไม่กี่อย่างทางดิจิทัลคือการฟังเพลงด้วยมือถือ ฟัง CD แท้ๆ บนรถขณะเดินทาง กลับบ้าน (ที่พัก) เปิดคอมดูหนังแผ่นแม่สาย (ทีงี้ไม่แท้) โทรคุยกับคนรู้จัก ออกไปพบเพื่อนสังสรรค์กัน เช่าสนามเตะบอล ฯลฯ

เราไม่มีเวลามากพอจะแชท MSN (ผมไม่เสพติดขนาดนั้น) BB ผมก็ไม่ใช้ มีเล่นเกมแผ่นจาก Zeer รังสิตบ้างบางครั้ง (เมื่อก่อนต้องนัดเพื่อนไปเล่น DotA 1 ในร้านคอมมากกว่า)

โลกเริ่มรู้จักกับ Hi5, My Space ที่มอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้บ้างแล้ว ผมก็อยู่ในกลุ่ม Early adopt แต่มันไม่ได้เพลิดเพลินอะไร เพราะเราก็เน้นเล่นกับเพื่อนแค่ไม่กี่คน เราไม่ชินกับการต้องหาเวลามาทำความรู้จักกับคนอื่นๆ มากนัก

ในตอนนั้น.. ไม่มีใครจินตนาการได้เลยว่า "สังคมออนไลน์" กำลังจะกลายเป็น Mass Adoption ระดับ Global ในอีก 10 กว่าปีต่อมา..

อินเตอร์เน็ตความเร็ว 1 Mbps กลายเป็นของแรร์เกรดพรีเมียม ที่กว่าจะโหลดหนังสักเรื่อง (ด้วย BitTorrent) จนเสร็จได้ มันคือเรื่องมหัศจรรย์มากๆ ในยุคนั้น

ถ้ายังมีอะไรที่ผมจำได้ไม่หมดในช่วงเวลานั้น ก็คงต้องวานเพื่อนๆ ช่วยรื้อฟื้นให้ผมด้วยก็แล้วกันนะครับ :)

ข้อดีของยุคสมัยที่อินเตอร์เน็ตออนไลน์กำลังเริ่มตั้งไข่ ที่ผมเห็นได้ชัดเลยก็คือ..

เรายังเสพสุขกับโลกฟิสิคัล กับชีวิตจริง In real life ได้อย่างเต็มที่ เรามีเวลาว่าง แบบว่าว่างจริงๆ จนไม่รู้จะทำอะไรเลย นั่นทำให้เรามีกระบวนการเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะจากประสบการณ์จริง หนังสือ หรืออื่นๆ

เราไม่รู้สึกว่าเราต้องการสังคมขนาดใหญ่แต่อย่างใด

### ประเทศออนไลน์
จนกระทั่งการมาถึงของ Facebook ตามด้วยความรุ่งเรืองของ Apple, Google (ซึ่งในตอนแรกผมมี FB ไว้เล่น Restaurant city กับแฟนเท่านั้น.. ฮา)

ความสุขของการใช้งาน Facebook ในยุคแรก คือการทำให้เราเชื่อมต่อเข้ากับเพื่อนที่ห่างเหินกันไปนานในชีวิตจริงได้ เราเริ่มว้าว กับการไม่ต้องเดินทางไปหากันบ่อยๆ การไม่ต้องยกหูโทรคุยกัน ไม่ต้องหยอดเหรียญ (เลิกไปนานแล้วมั้ง) ไม่ต้องคอยส่ง SMS, จดหมาย, อีเมลล์ ฯลฯ

เพราะเราคุยกันผ่านทาง Facebook ได้เลย

ผมคิดว่าปัญหาชู้สาวที่กลายเป็นเรื่องปกติในยุคนี้ก็เริ่มมีช่องทางแอบแซ่บที่สะดวกโยธิน เริ่มมาตั้งแต่ตอนนั้น..

ผมเคยเป็นหนึ่งในคนที่ "เห่อ" เล่น FB ระดับที่นั่งจ้องรอคนมาตอบคอมเม้น ดูว่าใครจะกดไลค์ให้เราบ้าง ก็เคยมาหมดแล้ว แต่มันมีคุณค่า ก็มันคือคนที่เราอยากเสวนาด้วยทั้งนั้น ไม่มีคนอื่น

ใช่! ...ไม่มีคนอื่น

ผมคือคนกลุ่มแรกๆ ที่มีพฤติกรรมเสพช่องทางออนไลน์ผ่านอุปกรณ์พกพามากกว่าใครๆ ในที่ทำงาน (ที่ปัจจุบัน) มากซะจน "โดนเขม่น" ว่าเป็นพวก "สังคมก้มหน้า" ไม่สนใจสิ่งรอบตัว ไม่สนใจใคร.. มันเป็นแบบนั้นจริงๆ

สังคมรอบตัวที่เรายี้ให้มันอยู่แล้ว เมื่อมีสังคมออนไลน์ที่เราอยากให้มี มันผสมโรงออกมาทำให้ผมกลายเป็นแบบนั้น

ในบริบทของผมเอง ผมกลายเป็นพวกที่ "มาก่อนกาล" ผมศรัทธาในพลังของเทคโนโลยีเหล่านี้ และจินตนาการถึงอนาคตของมันได้ (ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ) ในตอนที่ใครๆ ยังเสียค่าโทรเป็นรายนาทีกันอยู่เลย..

วันนี้พวกเราไปพูดเรื่อง Bitcoin หรือ Nostr กับคนอื่นแล้วได้รับปฏิกิริยากันยังไง ผมก็เป็นแบบนั้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน

ผมเป็นคนบ้าเพ้อเจ้อที่เห่อของเล่นเก๊ๆ ไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆ ที่จะจับต้องได้ (พวกเขาแค่ยังไม่เคยสัมผัสมัน)

ตัดภาพกลับมาในวันนี้.. คนที่ "เคยหาว่าผมบ้า" กลับกลายเป็นคนบ้าตามคำนิยามของพวกเขาเองมากกว่าผมไปแล้วเสียอีก ในขณะที่ผมใช้งานมือถือน้อยลงไป 50-60% เทียบกับอดีต

ตลกดีชะมัด

พวกเขาพึ่งเห่อทำในสิ่งที่ผมเคยทำมาก่อนตั้งสิบกว่าปีจนเบื่อสะอิดสะเอียนไปแล้ว..

ก็เมื่อคุณเคยผ่านเรื่องแบบนี้มาก่อนแล้ว มันจึงไม่ยากที่จะทำความเข้าใจกับเส้นทางของการ Adoption ของบิตคอยน์ ที่อาจจะต่างไปเล็กน้อยตรงที่มันเกิดขึ้นมาพร้อมศัตรูรอบตัว แถมยังกระจายศูนย์อีกต่างหาก

ใช่... ก็เพราะบิตคอยน์มันไม่มีการตลาด

YouTube, Line, Facebook ฯลฯ แพลตฟอร์มเหล่านี้ได้กลายเป็น "แอปสูบวิญญาณ" ของใครต่อใครที่ทรงพลังมากๆ ไม่เว้นแม้แต่กับตัวผมเอง

รู้ไหมทำไมใครหลายคนเลือกจะชาร์จมือถือไว้ใกล้ตัวก่อนเข้านอน?

เพราะพวกเขาต้องการจะหยิบมันขึ้นมาเช็คความเคลื่อนไหวได้ทันทีที่ลืมตา ในขณะที่ยังนอนเลื้อยอยู่บนที่นอนยังไงล่ะ

เราก็รู้สึกว่ามัน "เป็นหน้าที่" ที่ต้องคอยปรากฏตัวหรือเคลื่อนไหวบนโลกออนไลน์อยู่ตลอดเวลา เราพยายามเปลี่ยน "ตัวตน" ของเราให้กลายเป็นมีมูลค่าเพิ่ม (แบบปลอมๆ) เราเริ่มรู้จักกับ Influencer, Online Marketing บลา บลา บลา

ธุรกิจน้อยใหญ่เริ่มคลืบคลานเข้าหาแพลตฟอร์มออนไลน์ในวันที่ไร้ทางเลือกอื่น ทุกคนล้วนอยากเป็น "Citicenz" ของ "ประเทศออนไลน์" ด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนเริ่มสูญเสียสัมผัสฟิสิคัลในชีวิตจริงไปเรื่อยๆ ๆ ๆ

จนลืมกันไปหมดแล้วว่าคุณค่าของมันคืออะไร...

### Back to basic
ขอบคุณบิตคอยน์และ Nostr ที่เป็นเสมือน Time Machine พาผมย้อนเวลากลับไปยังอดีต วันวานที่ลึกๆ แล้วเราเองก็ยังถวิลหามันอยู่.. (ผมไม่อยากสาธยายเรื่องโลกออนไลน์มากไปกว่านี้อีกแล้ว)

สังคมบน Nostr มัน "พอดี" สำหรับผม มันคือ "ประเทศออนไลน์" ที่มีระบอบการปกครองแบบเสรี มีเงินสร้างยากเป็นเงิน Legal tender

ถ้าเราเคยจินตนาการกันไม่ออกว่าประเทศที่ใช้บิตคอยน์เป็นเงิน ประเทศที่ไม่มีรัฐบาลจะดำเนินไปอย่างไร?

ก็บน Nostr นี่แหละ คือ ประเทศเสรีในแบบที่ว่า คุณสามารถจดจำทุกพัฒนาการของมันแล้วเอาไปเขียนตำราใหม่ได้เลย

---

ประเด็นที่จะเขียนก็คือ.. ผมเริ่ม "ตื่นรู้" มาสักพักแล้ว..

โดยเฉพาะเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งผมเสียน้องชาย (ลูกพี่ลูกน้อง) ในวัยเบญจเพศไปอย่างกระทันหัน โดยที่ผมเองยังรู้จักตัวตนเขาน้อยยิ่งกว่าที่รู้จัก อ.ตั๊ม เสียอีก

ทั้งที่เขสเป็นน้องคลานตามเรามาแท้ๆ

ผมให้เวลากับคนรอบตัวน้อยไป.. และเคสนี้ผมไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอะไรเลย.. ถึงมันไม่ใช่ความผิดของผมแต่ผมก็ยังรู้สึกผิดมากอยู่ดี ผมยังเก็บแชทสุดท้ายที่น้องพิมพ์หาผมเอาไว้เพื่อคอยเตือนสติตัวเอง.. แชทที่ผมพึ่งรับแอดไลน์น้องก่อนวันจะจากไปเพียงเดือนเดียว

เมื่อไหร่ที่ผมถลำลึกกับอะไรมากเกินไปจนลืมทุกอย่างรอบๆ ตัว มันจะคอยดึงผมไม่ให้ดำดิ่งไปมากกว่านั้นเอาไว้เสมอ

ด้วยเหตุนี้..

เมื่อการลาพักผ่อนต้องประสบกับอาการป่วยของลูกชายและแม่ยาย มันทำให้ผมดึงสติตัวเองว่าเราควรจะใช้เวลาอันมีค่านี้ไปกับเรื่องอะไร?

เราไม่ได้ถูกใครบังคับว่าต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ คนแบบผมไม่เคยมีอะไรที่เป็น "กฏ" สำหรับตัวเอง ผมอธิบายความหมายคำว่า "อิสรชน" ไม่ได้ แต่ผมคิดว่าผมนี่แหละคือ "อิสรชน" ตัวจริงเสียงจริง

Facebook เราก็ลาขาดมาแล้วดื้อๆ เรามาลองลาขาดจากมือถือดูสัก 9 วันจะเป็นไรไป ลองย้อนอดีตไปเมื่อ 16 ปีก่อนกันดูสักตั้ง..

จริงๆ แล้วมันก็ไม่ถูกต้อง ที่เราเลือกเเาความปรารถนาของตัวเองอยู่เหนือความรับผิดชอบส่วนรวมที่ยังพอมีอยู่บ้าง ผมหมายถึงงานกับ RS ที่ผมควรจะทำบางอย่างให้จบสิ้นไปในตอนนี้ แต่ผมเลือกแล้ว... ผมเลือกจะพอกเอาไว้แบบนั้นก่อน

มันไม่ยากอะไรเลย กับการไม่ต้องบังคับตัวเองก็บอกลามือถือได้ตลอดทั้ง 9 วัน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ผ่านมาผมใช้งานมือถือลดลงไป -90% เลยทีเดียว

เชี่ย!! ไม่เห็นจะตายเลยนี่หว่า!?

โลกฟิสิคัลจริงๆ แล้วไม่ได้น่าเบื่อแบบที่เราคิด เมือเหรียญยังมีหัว-ก้อย ดังนั้น ทุกอย่างก็มี "ด้านอื่น" อยู่เสมอเช่นกัน

"มันบาปไหมพี่ ถ้าผมจะตัดสินใจเรียนจบช้าไปสัก 1 ปี"

น้องคนหนึ่งทักหลังไมค์มาถามผม..

ผมบอกไปว่า.. บาปเกิดขึ้นที่ใจเรา "บาป" ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงเว้นแต่เราจะสร้างมันขึ้นมาเอง

ดังนั้นมันจะบาปหรือไม่บาปก็ขึ้นกับว่าเรารู้สึกกับมันยังไง และมันจะบาปแน่ๆ ถ้าเราเลือกไม่เรียนต่อและเว้นวรรคไป 1 ปี แต่เรากลับไม่ได้ประโยชน์อะไรจาก 365 วันนั้นเลย

เลือกสิ่งใดก็ควรมีแผนรองรับ.. ผมไม่ได้ให้คำแนะนำใดที่เป็นประโยชน์ต่อคำถามของน้องมากนัก นอกจากแง่คิดประมาณนี้

ผมไม่รู้สึก "บาป" ที่เว้นวรรคตัวเองไปแค่ 2.5% ของ 1 ปี

แต่ผมกลับรู้สึก "ได้บุญ" และค้นพบความรู้ใหม่ๆ หลายอย่างในเวลาสั้นๆ นี้ ..มันคุ้มค่าต่ออนาคตที่เราจะก้าวเดินต่อไป มันพบคำตอบของย่อหน้าแรก ว่าแท้ที่จริงแล้ว..

เรานี่แหละที่โหยหาสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเราเอง..

---------

ผมนึกสนุกลองเปิดแอป FB ขึ้นมาดูอีกครั้ง...

"ผมไม่ได้เป็นคนทิ้งเขาครับ"

สิ่งแรกที่ FB ยัดเยียดมาให้ผม คือประโยคจากการให้สัมภาษณ์ของ "แน็ค แฟนฉัน" ที่พึ่งเลิกรากับ "เก๋ไก๋ไฉไลเด้อ" อะไรนั่นไปหมาดๆ

"ไอ่สัส!!?"

"กูต้องรู้เรื่องพวกมึงด้วยเหรอวะ?"

....

#Siamstr
Author Public Key
npub1mqcwu7muxz3kfvfyfdme47a579t8x0lm3jrjx5yxuf4sknnpe43q7rnz85