save on Nostr: --เฮลคิทเช่น ครัวไทยในต่างแดน-- ...
--เฮลคิทเช่น ครัวไทยในต่างแดน--
สวัสดีชาวนอส นี่เป็นบันทึกครบรอบสัปดาห์นรกกับการทดลองใช้ชีวิต(เท่ปะ555)แบบเริ่มจากศูนย์แบบจริงๆเลยในอเมริกา
--
ผมไม่รู้จะเริ่มไง เอาเป็นว่าถูกหวยได้กรีนการ์ด จบ. เอ้าา ยังงง
ผมมีวีซ่าที่บังคับให้บินภายใน 6 เดือน ใกล้จะหมดมันเป็นเร่งให้ผม ต้องไปเหยียบ us เพื่อรับกรีนการ์ด การผจญภัยนี่จึงเกิดขึ้นมา เอาวะในชีวิต อยากเห็นแบงค์กงเต็กล่มต่อหน้า 5555
--
“เกิดมาไม่เคยเดินทางออกไปตปท. มันจะเอาตังรอดไหม?“ ”ไม่ออกไปไหน อยู่แต่บ้าน“ นี่ล้วนเป็นเสียงที่คนใกล้ตัวพูดถึงกับผมตลอด รวมถึง กับความสัมพันธ์ที่ต้องจบลง ก็อาจจะด้วยนิสัยนี้ด้วย 😓🤔
--
ตัดภาพมาที่เครื่องบินกำลังแล่นลงจอดที่สนามบินโลแกนสนามบินหลักของบอสตัน ผมกำลังเริ่ม chapter ใหม่ในชีวิตด้วยการทำงานร้านอาหารของคนไทย ที่เขาลือกันว่ากดขี่ sus ๆ
--
ก่อนมาผมได้พยายามหางาน entry level linkend และindeed ก็แล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก และด้วยความที่ไม่รู้จักใครเลยในเมกา บวกกับไม่มีตังจ่ายค่าเช่าบ้านในระยะ2-3เดือน กลายเป็นว่าได้มาลงทำงานร้านอาหาร เพื่อรอเอกสารต่างๆ บวกกับที่ซุกหัวนอนที่ราคาถูก แต่นั่นแปลว่าเราต้องทำงานกับร้านเพื่อหาค่าใช้จ่าย
--
รูหนู... ใช่ครับ หลังจากผมเดินทางถึงที่พัก ห้องของผมมีขนาดแคบ แคบจนขนาดคนสูงราว 165 ยื่นสองมืออกไปและติดกำแพง นอกจากนี้ที่พักยังมีการวาดไม้กางเขนทิ้งไว้ที่หน้าประตู นี่ก็ไม่รู้ว่าวันดีคืนดี ที่พักมันจะมีเหตุการณ์ conjuring หรือไม่ และไหนจะความหนาวเกือบ 0 องศา ในห้องที่ไม่มี heater ผมรู้สึกเหมือน เอาตัวเองมาอยู่ในวงจร rat race จริงๆๆ
--
คุณภาษาดีใช่ไหม?...ผมตอบกลับอ้ำๆอึ้งๆ ว่าน่าจะดีครับ...โอเค งั้นทำเสริฟ
ผมเริ่มทำเสริฟ วันแรกเจอคนที่มีบุคคลที่มีออร่า “เจ้าที่“ คือคนเทรน และด่ากราดดทุกการกระทำ 2-4วันแรก ผมพลาดหมดเลย เสริฟผิดถูก โดนลูกค้าตีกลับ และเราต้องควักจ่ายเอง
ไหนจะที่เราต้องทำทุกอย่างล้างจาน ถูพื้น ชงเหล้า ทำชาไข่มุก ทำไอติม คือทำแทบทุกอย่าง ถ้ามันให้วิ่งเข้าครัวไปผัดก็คือครบเครื่อง
--
วัฒนธรรมการกิน?
หมอยมดแบบผมชอบสังเกต และเห็นว่าไอ้กันมันมีวัฒนธรรมการกินที่เป็น step ซึ่งเด็กเสริฟเอเชียแบบผมก็ต้องคอยอ่านอุณหภูมิลูกค้า step ง่ายๆคือ ลูกค้าจะนั่งก่อนและคุยเม้ากับเพื่อนสัก 5นาที อะ ทรงพี่เขาคอแห้งแล้ว ไอ้เราก็ต้องไปถาม อยากดื่มอะไร จากนั้นเขาอาจจะสั่งอาหารเรียกน้ำย่อย และอาหารน้ำย่อยก็ควรมาก่อนอาหารหลัก คือถ้าเข้าพรวดไปถาม ไปวางบิล หรือไปเก็บแก้วน้ำ จะโดนมองเสียมารยาท และทิปเราจะน้อย(เสริฟส่วนมากอยู่ได้ด้วยทิปจริงๆๆเลย)
--
โดดร่ม วีซ่าขาด ใช้ชีวิตให้คุ้ม?
คนที่ทำงานร้านอาหารไทย95% คือคนโดดวีซ่า และเจ้าของร้านก็ชอบ เพราะพวกนี้ส่วนใหญ่ยอมอยู่ผิดกฎหมาย ไม่สนแคร์จะโกยให้มากที่สุดก่อนกลับไทย และการจ่ายเงินของร้าน จะเน้นที่การเลือกจ่ายเงินสด ที่ไม่ได้อยู่ในระบบ เพื่อเลี่ยงภาษี
--
ค่าแรง?
ผมได้ $2.75 + tip ซึ่งร้านเปิด 6 วัน วันละ 9-10 ชม. สำหรับคนเมกายุคนี้ มันได้น้อยมาก ยิ่งถ้าอยู่ในระบบก็แทบไม่เหลือหลังหักภาษี ไหนจะไม่มีการจ่าย ot ถ้าทำเกิน 40 ชม. รวมถึงไม่มีประกันต่างๆให้ลูกจ้าง
--
สรุปสัปดาห์แรก
ก็นั่นแหละครับ ชีวิตในเมกาสัปดาห์แรก เหนื่อยชิบหอย ก็มาเล่าสู่กันฟัง ตอนนี่ผมยังขยับไปไหนไม่ได้มาก เพราะผม broke และมีแต่หำจริงๆ ก็จะรอจนกว่าการ์ดจะมาส่งนี่แหละครับ ถึงตอนนั้นผมจะหนีออกจาก masshole นี้ละ
ปล. ตอนนี้ทดสอบร่างกายตัวเองด้วยการทำ if 20:4 มาหนึ่งสัปดาห์ ยังปกติทุกอย่างครับ หัวใจยังไม่วาย...
#siamstr
สวัสดีชาวนอส นี่เป็นบันทึกครบรอบสัปดาห์นรกกับการทดลองใช้ชีวิต(เท่ปะ555)แบบเริ่มจากศูนย์แบบจริงๆเลยในอเมริกา
--
ผมไม่รู้จะเริ่มไง เอาเป็นว่าถูกหวยได้กรีนการ์ด จบ. เอ้าา ยังงง
ผมมีวีซ่าที่บังคับให้บินภายใน 6 เดือน ใกล้จะหมดมันเป็นเร่งให้ผม ต้องไปเหยียบ us เพื่อรับกรีนการ์ด การผจญภัยนี่จึงเกิดขึ้นมา เอาวะในชีวิต อยากเห็นแบงค์กงเต็กล่มต่อหน้า 5555
--
“เกิดมาไม่เคยเดินทางออกไปตปท. มันจะเอาตังรอดไหม?“ ”ไม่ออกไปไหน อยู่แต่บ้าน“ นี่ล้วนเป็นเสียงที่คนใกล้ตัวพูดถึงกับผมตลอด รวมถึง กับความสัมพันธ์ที่ต้องจบลง ก็อาจจะด้วยนิสัยนี้ด้วย 😓🤔
--
ตัดภาพมาที่เครื่องบินกำลังแล่นลงจอดที่สนามบินโลแกนสนามบินหลักของบอสตัน ผมกำลังเริ่ม chapter ใหม่ในชีวิตด้วยการทำงานร้านอาหารของคนไทย ที่เขาลือกันว่ากดขี่ sus ๆ
--
ก่อนมาผมได้พยายามหางาน entry level linkend และindeed ก็แล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก และด้วยความที่ไม่รู้จักใครเลยในเมกา บวกกับไม่มีตังจ่ายค่าเช่าบ้านในระยะ2-3เดือน กลายเป็นว่าได้มาลงทำงานร้านอาหาร เพื่อรอเอกสารต่างๆ บวกกับที่ซุกหัวนอนที่ราคาถูก แต่นั่นแปลว่าเราต้องทำงานกับร้านเพื่อหาค่าใช้จ่าย
--
รูหนู... ใช่ครับ หลังจากผมเดินทางถึงที่พัก ห้องของผมมีขนาดแคบ แคบจนขนาดคนสูงราว 165 ยื่นสองมืออกไปและติดกำแพง นอกจากนี้ที่พักยังมีการวาดไม้กางเขนทิ้งไว้ที่หน้าประตู นี่ก็ไม่รู้ว่าวันดีคืนดี ที่พักมันจะมีเหตุการณ์ conjuring หรือไม่ และไหนจะความหนาวเกือบ 0 องศา ในห้องที่ไม่มี heater ผมรู้สึกเหมือน เอาตัวเองมาอยู่ในวงจร rat race จริงๆๆ
--
คุณภาษาดีใช่ไหม?...ผมตอบกลับอ้ำๆอึ้งๆ ว่าน่าจะดีครับ...โอเค งั้นทำเสริฟ
ผมเริ่มทำเสริฟ วันแรกเจอคนที่มีบุคคลที่มีออร่า “เจ้าที่“ คือคนเทรน และด่ากราดดทุกการกระทำ 2-4วันแรก ผมพลาดหมดเลย เสริฟผิดถูก โดนลูกค้าตีกลับ และเราต้องควักจ่ายเอง
ไหนจะที่เราต้องทำทุกอย่างล้างจาน ถูพื้น ชงเหล้า ทำชาไข่มุก ทำไอติม คือทำแทบทุกอย่าง ถ้ามันให้วิ่งเข้าครัวไปผัดก็คือครบเครื่อง
--
วัฒนธรรมการกิน?
หมอยมดแบบผมชอบสังเกต และเห็นว่าไอ้กันมันมีวัฒนธรรมการกินที่เป็น step ซึ่งเด็กเสริฟเอเชียแบบผมก็ต้องคอยอ่านอุณหภูมิลูกค้า step ง่ายๆคือ ลูกค้าจะนั่งก่อนและคุยเม้ากับเพื่อนสัก 5นาที อะ ทรงพี่เขาคอแห้งแล้ว ไอ้เราก็ต้องไปถาม อยากดื่มอะไร จากนั้นเขาอาจจะสั่งอาหารเรียกน้ำย่อย และอาหารน้ำย่อยก็ควรมาก่อนอาหารหลัก คือถ้าเข้าพรวดไปถาม ไปวางบิล หรือไปเก็บแก้วน้ำ จะโดนมองเสียมารยาท และทิปเราจะน้อย(เสริฟส่วนมากอยู่ได้ด้วยทิปจริงๆๆเลย)
--
โดดร่ม วีซ่าขาด ใช้ชีวิตให้คุ้ม?
คนที่ทำงานร้านอาหารไทย95% คือคนโดดวีซ่า และเจ้าของร้านก็ชอบ เพราะพวกนี้ส่วนใหญ่ยอมอยู่ผิดกฎหมาย ไม่สนแคร์จะโกยให้มากที่สุดก่อนกลับไทย และการจ่ายเงินของร้าน จะเน้นที่การเลือกจ่ายเงินสด ที่ไม่ได้อยู่ในระบบ เพื่อเลี่ยงภาษี
--
ค่าแรง?
ผมได้ $2.75 + tip ซึ่งร้านเปิด 6 วัน วันละ 9-10 ชม. สำหรับคนเมกายุคนี้ มันได้น้อยมาก ยิ่งถ้าอยู่ในระบบก็แทบไม่เหลือหลังหักภาษี ไหนจะไม่มีการจ่าย ot ถ้าทำเกิน 40 ชม. รวมถึงไม่มีประกันต่างๆให้ลูกจ้าง
--
สรุปสัปดาห์แรก
ก็นั่นแหละครับ ชีวิตในเมกาสัปดาห์แรก เหนื่อยชิบหอย ก็มาเล่าสู่กันฟัง ตอนนี่ผมยังขยับไปไหนไม่ได้มาก เพราะผม broke และมีแต่หำจริงๆ ก็จะรอจนกว่าการ์ดจะมาส่งนี่แหละครับ ถึงตอนนั้นผมจะหนีออกจาก masshole นี้ละ
ปล. ตอนนี้ทดสอบร่างกายตัวเองด้วยการทำ if 20:4 มาหนึ่งสัปดาห์ ยังปกติทุกอย่างครับ หัวใจยังไม่วาย...
#siamstr