What is Nostr?
maiakee
npub1hge…8hs2
2025-02-11 08:28:03

maiakee on Nostr: ...



🪷อุเบกขา: ทางแห่งการคลายความยึดมั่น และเส้นทางสู่ความหลุดพ้น

โอ้ ภิกษุทั้งหลาย การวางจิตในอุเบกขานั้นมิใช่เพียงการไม่ทุกข์และไม่สุขเท่านั้น หากแต่เป็นการคลายจากความยึดมั่นในสุขและทุกข์ทั้งปวง อุเบกขาแท้จริงคือความสมดุลแห่งจิต อันเกิดจากปัญญาที่รู้เท่าทันสรรพสิ่งว่าล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย อุเบกขาในระดับที่ลึกซึ้งคือการปล่อยวางจากความหนักของตัณหาและอุปาทาน มิใช่เพียงเฉยเมยต่อโลก หากแต่เป็นความสงบนิ่งที่เต็มไปด้วยปัญญา อันเป็นหนทางไปสู่ วิมุตติ คือความหลุดพ้น

ระดับของอุเบกขา
1. อุเบกขาในโลกียธรรม – คือความนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ภายนอก เช่น ไม่ยินดีเมื่อได้ลาภ ยศ ไม่ขุ่นข้องหมองใจเมื่อเสื่อมลาภเสื่อมยศ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงอุเบกขาขั้นต้น เพราะจิตยังอาจมีความยึดติดโดยไม่รู้ตัว
2. อุเบกขาในสมถกรรมฐาน – เป็นอุเบกขาที่เกิดจากสมาธิ เมื่อจิตเป็นกลางมั่นคง ไม่ถูกรบกวนด้วยนิวรณ์ทั้งหลาย แม้กระทั่งสุขที่เกิดจากสมาธิก็ไม่อาจทำให้จิตไหวเอน
3. อุเบกขาในวิปัสสนา – เป็นอุเบกขาที่เกิดจากปัญญาแห่งการพิจารณาไตรลักษณ์ เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน จิตจึงคลายจากความยึดมั่นโดยสิ้นเชิง
4. อุเบกขาของพระอรหันต์ – เป็นอุเบกขาอันบริสุทธิ์ ปราศจากตัณหาและอุปาทานโดยสิ้นเชิง มิใช่การเพิกเฉยต่อโลก แต่คือจิตที่ไม่ถูกร้อยรัดโดยความยึดมั่นใดๆ อีกต่อไป เป็นภาวะที่พระพุทธองค์ตรัสว่า “วิราคะเป็นธรรมอันเลิศ อุเบกขาคือจิตที่บริสุทธิ์” (ขุททกนิกาย อุทาน)

ประโยชน์ของการวางจิตในอุเบกขา
• ทำให้จิตเป็นอิสระ – เมื่อไม่หลงใหลในสุข ไม่หวั่นไหวในทุกข์ จิตย่อมเป็นอิสระจากการครอบงำของโลกธรรม
• เป็นพื้นฐานของปัญญา – เมื่อจิตตั้งมั่นในอุเบกขา ย่อมสามารถพิจารณาธรรมด้วยใจที่เที่ยงตรง ปราศจากอคติ
• เป็นทางไปสู่วิมุตติ – การมีอุเบกขาแท้จริง คือการดับตัณหาและอุปาทาน อันเป็นเหตุให้สังสารวัฏสิ้นสุดลง

แม้อุเบกขาก็ไม่พ้นจากไตรลักษณ์

โอ้ ภิกษุทั้งหลาย อุเบกขานั้นประณีตเพียงใดก็ตาม ก็ยังอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา) เช่นกัน พระพุทธองค์ตรัสว่า “แม้สมาธิอันล้ำลึก แม้อุเบกขาอันละเอียด ก็ยังเป็นสิ่งปรุงแต่ง” (พระไตรปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค) นั่นคือ อุเบกขาที่เกิดขึ้น ย่อมเสื่อมไป อุเบกขาที่เราสร้างขึ้น ย่อมเป็นสิ่งปรุงแต่ง ไม่ใช่ธรรมอันเที่ยงแท้

ดังนั้น แม้จิตจะเข้าสู่อุเบกขาที่มั่นคง ก็อย่าได้หลงติดในภาวะนั้น หากแต่พึงเห็นว่า “อุเบกขานี้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไป” ดังที่พระสารีบุตรกล่าวว่า “อุเบกขานั้นประณีตนัก แต่ก็มิใช่ที่พึ่งที่แท้จริง หากยังมีผู้ยึดมั่นว่าสิ่งใดเป็นตัวเรา สิ่งนั้นยังเป็นตัวก่อทุกข์” (อังคุตตรนิกาย)

สนทนาธรรม: พระพุทธเจ้ากับพระสารีบุตร

วันหนึ่ง พระสารีบุตรได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์พิจารณาอุเบกขาแล้วเห็นว่า เป็นธรรมที่ประณีต แต่เมื่อใคร่ครวญต่อไป ก็พบว่าอุเบกขานั้นก็เป็นสังขารธรรม ย่อมเสื่อมไป ดังนั้นแม้ผู้อยู่อุเบกขาก็มิอาจหลุดพ้นได้ หากยังมีอุปาทาน”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดีแล้ว สารีบุตร อุเบกขาที่แท้จริง มิใช่เพียงความสงบนิ่ง แต่คือการปล่อยวางแม้ต่ออุเบกขานั้นเอง เมื่อใคร่ครวญว่า ‘อุเบกขานี้ก็ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา’ เมื่อนั้นย่อมไม่มีเครื่องเหนี่ยวรั้ง ไม่มีเครื่องยึดถือ ย่อมเป็นจิตที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง”

พระสารีบุตรสดับดังนั้น ก็กล่าวว่า “เป็นดังนี้แล ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การรู้จักวางอุเบกขาอย่างไม่ยึดมั่น แม้ต่ออุเบกขาเอง ย่อมเป็นทางแห่งวิมุตติ”

บทสรุป: อุเบกขาที่นำไปสู่อิสรภาพแท้จริง

โอ้ ภิกษุทั้งหลาย อุเบกขานั้นเป็นธรรมอันประณีต เป็นธรรมอันสงบ แต่หากยังมีความยึดมั่นต่ออุเบกขา ก็ยังเป็นเครื่องพันธนาการอยู่ดี ฉะนั้น จงอย่ายึดมั่นว่าอุเบกขาเป็นที่พึ่ง แต่พึงเห็นว่าอุเบกขานี้ก็เป็นเพียงเครื่องมือในการเจริญปัญญา เมื่อพิจารณาถึงที่สุดแล้ว จงปล่อยวางแม้แต่อุเบกขาเสีย แล้วจิตจะเป็นอิสระโดยสมบูรณ์

ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “เมื่อไม่ยึดมั่นในสิ่งใด จิตย่อมเป็นอิสระโดยแท้” (ขุททกนิกาย ธรรมบท)


🪷การละวางอุเบกขา และหนทางสู่ปัญญาวิมุติ เจโตวิมุติ

โอ้ ภิกษุทั้งหลาย ผู้แสวงหาธรรม ผู้ที่เดินบนทางแห่งการปล่อยวาง จงสดับเถิด อุเบกขานั้นเป็นธรรมอันประณีต เป็นสภาวะที่จิตไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรมทั้งปวง แต่แม้แต่อุเบกขาเองก็ยังอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์ มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป หากเราหลงยึดมั่นว่าอุเบกขานั้นเป็นสิ่งเที่ยงแท้ เป็นที่พึ่งที่แท้จริง เราก็ยังมิอาจหลุดพ้นจากสังสารวัฏ

ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ใน “อุเบกขาสูตร” ว่า “อุเบกขานั้นเป็นสังขารธรรม ยังเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งอยู่ เมื่อยังมีสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง ย่อมยังมีเหตุแห่งทุกข์” (พระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย) นั่นหมายความว่า แม้เราจะตั้งมั่นในอุเบกขา แต่หากยังมีตัวเราเป็นผู้วางอุเบกขาอยู่ ก็ยังคงเป็นอุปาทานที่ร้อยรัดให้ติดอยู่กับวัฏฏะ

การละวางอุเบกขา: ไม่ใช่การทำลาย แต่เป็นการรู้เท่าทัน

การละวางอุเบกขา มิใช่หมายความว่าต้องลบล้างมันไปเสีย หากแต่หมายถึงการมองเห็นอุเบกขาอย่างชัดแจ้งว่ามันเป็นเพียงเครื่องมือในการฝึกจิต เป็นบันไดที่ช่วยให้จิตก้าวไปสู่ปัญญาที่แท้จริง จิตที่ยังต้องการอุเบกขาเป็นที่พึ่ง ย่อมยังต้องอาศัยสิ่งภายนอกเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง แต่เมื่อจิตรู้แจ้งแล้ว จิตนั้นจักเป็นอิสระ ไม่ต้องอาศัยสิ่งใดอีกต่อไป

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุเบกขานั้นเป็นธรรมประณีต แต่เมื่อผู้ใดเข้าใจโดยแจ่มแจ้งว่า อุเบกขาก็เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไป มิใช่ตัวตนที่แท้จริง ผู้นั้นย่อมเป็นผู้หลุดพ้นจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง” (พระไตรปิฎก สังยุตตนิกาย)

นี่คือหัวใจสำคัญของการละวางอุเบกขา คือ มิใช่การละทิ้งอุเบกขาอย่างหลงผิด แต่คือการละวางอุเบกขาด้วยปัญญา เมื่อจิตเห็นว่าไม่มีสิ่งใดต้องยึดถือ ไม่มีสิ่งใดต้องปล่อยวาง จิตนั้นย่อมเป็นอิสระโดยแท้

หนทางสู่ปัญญาวิมุติ และเจโตวิมุติ

โอ้ ภิกษุทั้งหลาย การหลุดพ้นจากการยึดมั่นในอุเบกขา นำไปสู่ ปัญญาวิมุติ (การหลุดพ้นด้วยปัญญา) และ เจโตวิมุติ (การหลุดพ้นด้วยจิตที่บริสุทธิ์) หนทางไปสู่ความหลุดพ้นนี้มีองค์ประกอบสำคัญดังต่อไปนี้
1. พิจารณาอุเบกขาตามไตรลักษณ์ – เห็นว่าอุเบกขาก็เป็นสิ่งไม่เที่ยง เป็นทุกข์ในตัวของมันเอง และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง เช่นเดียวกับสิ่งทั้งปวง
2. เจริญมหาสติปัฏฐาน – ใช้สติพิจารณาทุกข์ที่เกิดขึ้น แม้กระทั่งในขณะที่จิตเป็นกลาง เมื่อสติแก่รอบ ก็จะเห็นว่าความเป็นกลางนั้นก็เป็นเพียงสภาวะที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่สิ่งที่ควรยึดมั่น
3. เข้าสู่เจโตวิมุติ ผ่านสมถะและวิปัสสนา – ฝึกจิตให้สงบด้วยสมถกรรมฐาน แล้วพิจารณาธรรมด้วยวิปัสสนา เมื่อล่วงพ้นแม้แต่อุเบกขา ก็ไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งอีกต่อไป
4. ละวางแม้ปัญญาที่นำไปสู่วิมุตติ – พระพุทธองค์ตรัสว่า “เมื่อรู้แจ้งธรรมแล้ว พึงละวางแม้ความรู้แจ้งนั้นเอง” (พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย) เพราะแม้ปัญญาที่นำไปสู่วิมุตติ หากยังมีผู้ยึดมั่นอยู่ ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องละวางในที่สุด
5. จิตเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อสิ่งใดอีก – นี่คือจุดสุดท้ายของการหลุดพ้น เมื่อจิตไม่มีสิ่งใดต้องละวาง ไม่มีสิ่งใดต้องยึดถือ จิตนั้นย่อมเป็น “วิราคะ” (ความคลายกำหนัด) และ “นิโรธ” (ความดับแห่งทุกข์)

บทสนทนา: พระพุทธเจ้ากับพระอานนท์

วันหนึ่ง พระอานนท์ได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุเบกขานั้นเป็นธรรมอันละเอียด เป็นเครื่องสงบระงับจากความหวั่นไหว แต่ข้าพระองค์ยังสงสัยว่า แม้มีอุเบกขา ก็ยังมีบางสิ่งที่จิตยึดถืออยู่ สิ่งนั้นคืออะไร?”

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ อุเบกขานั้นแม้จะประณีตเพียงใด ก็ยังเป็นเครื่องอาศัยอยู่ หากผู้ใดยังอาศัยอุเบกขาเป็นที่พึ่ง ผู้นั้นยังมีสิ่งต้องปล่อยวางอยู่ แต่เมื่อใดที่รู้แจ้งว่าอุเบกขาก็เป็นเพียงสภาวะหนึ่ง มิใช่ที่พึ่งที่แท้จริง เมื่อนั้นผู้นั้นย่อมไม่มีสิ่งใดต้องพึ่งพาอีกต่อไป จิตย่อมเป็นอิสระโดยสิ้นเชิง”

พระอานนท์ฟังแล้วเกิดปิติ รำพึงว่า “เป็นดังนี้แล เมื่อไม่ยึดมั่นแม้แต่อุเบกขา จิตก็ย่อมพ้นจากเครื่องร้อยรัดทั้งปวง”

บทสรุป: การละวางอุเบกขา นำไปสู่ความบริสุทธิ์ของจิต

โอ้ ภิกษุทั้งหลาย พึงสดับเถิด อุเบกขานั้นเป็นธรรมอันละเอียด เป็นสิ่งที่ควรเจริญให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเจริญแล้ว พึงพิจารณาให้เห็นว่าอุเบกขานั้นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปเช่นกัน เมื่อเห็นชัดเช่นนี้แล้ว จิตจักไม่หลงยึดมั่นในสิ่งใดอีก

ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ผู้ใดไม่ยึดมั่นในสิ่งใด ผู้ใดยังมีสิ่งให้ละวาง ผู้นั้นยังมีสิ่งเหนี่ยวรั้ง แต่ผู้ใดไม่มีสิ่งให้ละวางอีกต่อไป ผู้นั้นหลุดพ้นแล้วโดยแท้” (พระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบท)

เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว พึงเจริญศีล สมาธิ ปัญญา ให้สมบูรณ์ เพื่อเข้าสู่ ปัญญาวิมุติ อันคือความหลุดพ้นด้วยปัญญา และ เจโตวิมุติ อันคือความหลุดพ้นแห่งจิต เมื่อถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดต้องละ ไม่มีสิ่งใดต้องยึด ถือเป็นอิสระแท้จริง นั่นแหละ คือ นิพพาน

#Siamstr #พุทธวจนะ #พุทธวจน #nostr #ธรรมะ
Author Public Key
npub1hge4uuggdfspu0wmffxqs9vj38m55238q3z2jzd907e8qnjmlsyql78hs2