layman_economics on Nostr: เหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดขึ้นใน ...
เหตุการณ์ไฟไหม้ที่เกิดขึ้นใน California สร้างความเสียหายให้กับคนจำนวนมาก
และที่สำคัญก็คือ หลายคนไม่ได้ทำประกันอัคคีภัยไว้เสียด้วย T-T
คำถามคือ…ทำไมหลายคนถึงไม่ได้ทำประกันอัคคีภัยเอาไว้?
มันเป็นเพราะว่าบริษัทประกันเหล่านี้ “หน้าเลือด” และ “ขูดรีด” ประชาชนด้วยการขายประกันราคาแพงจนคน “เอื้อมไม่ถึง” หรือเปล่า?
คำตอบคือ…ไม่ครับ
อันที่จริง หน่วยงานภาครัฐของ California ได้ออกกฎหมายเพื่อกดราคาเบี้ยประกันให้มีราคาถูกมาเป็นระยะเวลานานหลายปีแล้วด้วยซ้ำ
มันชวนให้น่าสงสัยเหมือนกันนะครับว่า ในเมื่อมีกฎหมายควบคุมราคาประกันภัยให้มีราคาถูก ให้มีราคาที่คน “เอื้อมถึง” แบบนี้ แล้วทำไมผู้ประสบภัยจำนวนมากถึงยังไม่มีประกันอัคคีภัยอยู่อีก?
คำตอบคือ…พอหน่วยงานภาครัฐกดราคาเบี้ยประกันจนถูกมากๆ มันทำให้บริษัทหลายเจ้าตัดสินใจว่า การขายประกันในย่านที่ “เสี่ยงไฟไหม้” สูงไม่ใช่สิ่งที่ “คุ้มค่า” อีกต่อไป
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของนโยบายภาครัฐที่ “หวังดี” (หวังอยากให้คนได้ซื้อประกันราคาถูก) แต่ “สร้างผลเสีย” (บริษัทไม่อยากขายประกันภัย ทำให้ประชาชน “ซวย” ในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้)
ในทางกลับกัน หากภาครัฐไม่เข้ามา “จุ้น” กับราคาประกันภัย แน่นอนครับว่าบริษัทประกันก็คงคิดราคาเบี้ยประกันแพงๆแหละครับ (โดยเฉพาะในพื้นที่ “ความเสี่ยงไฟไหม้” สูง)
แต่อย่างน้อย ประชาชนบางส่วนที่สามารถ “จ่ายไหว” ก็จะไม่ต้อง “ซวย” แบบไม่มีประกันอัคคีภัย
ส่วนประชาชนที่จ่ายไม่ได้นั้น เขาก็อาจจะต้องเปลี่ยนไปอยู่อาศัยในบริเวณที่มี “ความเสี่ยงไฟไหม้” ต่ำกว่านี้
ซึ่งนี่ก็คือเรื่องดีนะครับ เพราะมันหมายความว่า ราคาเบี้ยประกันที่แพงมันกำลัง “สื่อสาร” ให้ประชาชนรู้ว่า พวกเขาควรไปพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ “ความเสี่ยงไฟไหม้” ต่ำมากกว่าพื้นที่ที่ "ความเสี่ยงไฟไหม้" สูง
ฉะนั้น หากเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ที่จะได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ก็จะกลายเป็นประชาชนที่มีกะตังค์สักหน่อย (เพราะพวกเขาจ่ายค่าประกันอัคคีภัยราคาแพงได้)
ซึ่งจำนวนประชาชนที่มีกะตังค์ก็จะมีจำนวนไม่เยอะนัก ทำให้การเดินทางหนีไฟไหม้ก็จะคล่องตัว ไม่แออัดอีกด้วย
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลบางส่วนที่ทำให้ผมมองว่า ความเดือดร้อนของผู้คนที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ของ California ส่วนหนึ่งมันเกิดจากการที่ภาครัฐเข้าไป “จุ้น” กับราคาเบี้ยประกันภัยนี่แหละครับ!
#siamstr
และที่สำคัญก็คือ หลายคนไม่ได้ทำประกันอัคคีภัยไว้เสียด้วย T-T
คำถามคือ…ทำไมหลายคนถึงไม่ได้ทำประกันอัคคีภัยเอาไว้?
มันเป็นเพราะว่าบริษัทประกันเหล่านี้ “หน้าเลือด” และ “ขูดรีด” ประชาชนด้วยการขายประกันราคาแพงจนคน “เอื้อมไม่ถึง” หรือเปล่า?
คำตอบคือ…ไม่ครับ
อันที่จริง หน่วยงานภาครัฐของ California ได้ออกกฎหมายเพื่อกดราคาเบี้ยประกันให้มีราคาถูกมาเป็นระยะเวลานานหลายปีแล้วด้วยซ้ำ
มันชวนให้น่าสงสัยเหมือนกันนะครับว่า ในเมื่อมีกฎหมายควบคุมราคาประกันภัยให้มีราคาถูก ให้มีราคาที่คน “เอื้อมถึง” แบบนี้ แล้วทำไมผู้ประสบภัยจำนวนมากถึงยังไม่มีประกันอัคคีภัยอยู่อีก?
คำตอบคือ…พอหน่วยงานภาครัฐกดราคาเบี้ยประกันจนถูกมากๆ มันทำให้บริษัทหลายเจ้าตัดสินใจว่า การขายประกันในย่านที่ “เสี่ยงไฟไหม้” สูงไม่ใช่สิ่งที่ “คุ้มค่า” อีกต่อไป
นี่ถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของนโยบายภาครัฐที่ “หวังดี” (หวังอยากให้คนได้ซื้อประกันราคาถูก) แต่ “สร้างผลเสีย” (บริษัทไม่อยากขายประกันภัย ทำให้ประชาชน “ซวย” ในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้)
ในทางกลับกัน หากภาครัฐไม่เข้ามา “จุ้น” กับราคาประกันภัย แน่นอนครับว่าบริษัทประกันก็คงคิดราคาเบี้ยประกันแพงๆแหละครับ (โดยเฉพาะในพื้นที่ “ความเสี่ยงไฟไหม้” สูง)
แต่อย่างน้อย ประชาชนบางส่วนที่สามารถ “จ่ายไหว” ก็จะไม่ต้อง “ซวย” แบบไม่มีประกันอัคคีภัย
ส่วนประชาชนที่จ่ายไม่ได้นั้น เขาก็อาจจะต้องเปลี่ยนไปอยู่อาศัยในบริเวณที่มี “ความเสี่ยงไฟไหม้” ต่ำกว่านี้
ซึ่งนี่ก็คือเรื่องดีนะครับ เพราะมันหมายความว่า ราคาเบี้ยประกันที่แพงมันกำลัง “สื่อสาร” ให้ประชาชนรู้ว่า พวกเขาควรไปพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ “ความเสี่ยงไฟไหม้” ต่ำมากกว่าพื้นที่ที่ "ความเสี่ยงไฟไหม้" สูง
ฉะนั้น หากเกิดเหตุไฟไหม้ขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ที่จะได้รับผลกระทบจากไฟไหม้ก็จะกลายเป็นประชาชนที่มีกะตังค์สักหน่อย (เพราะพวกเขาจ่ายค่าประกันอัคคีภัยราคาแพงได้)
ซึ่งจำนวนประชาชนที่มีกะตังค์ก็จะมีจำนวนไม่เยอะนัก ทำให้การเดินทางหนีไฟไหม้ก็จะคล่องตัว ไม่แออัดอีกด้วย
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลบางส่วนที่ทำให้ผมมองว่า ความเดือดร้อนของผู้คนที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ของ California ส่วนหนึ่งมันเกิดจากการที่ภาครัฐเข้าไป “จุ้น” กับราคาเบี้ยประกันภัยนี่แหละครับ!
#siamstr