Nameless- on Nostr: key takeaways ...
key takeaways ที่ได้จากการฟังสัมภาษณ์พี่ชิต
https://www.youtube.com/watch?v=-92v8-_LvKE&t=5751s
-----------------------------------------------------------------------------------------
1. Intelligence ของมนุษย์ ประกอบด้วย 2 อย่าง
1.1. recognize pattern: เห็นสิ่งที่เคยเกิดใน domain อื่น แล้วสามารถเอามา adapt / apply กับ domain ของตัวเองได้
1.2. predict (การดู timing): ของดีที่มาก่อนกาล ไม่มีประโยชน์
เพิ่มเติม: แล้วถ้าเรามาก่อนกาลจริงๆ ก็ต้องยืนระยะให้ได้จนกว่าจะเห็นการผลิดอกออกผล และในระหว่างนั้นก็ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมต่อไปให้มันเอื้อ เสมือนกับการที่เราต้องการให้ต้นไม้เติบโต เราก็ต้องรดน้ำ พรวนดิน (สร้างเหตุก่อน แล้วเดี๋ยวผลก็จะตามมาเอง)
2. A single truth is the bedrock foundation for diversification (ความจริงเพียงหนึ่งเดียวเป็นรากฐานสำหรับความหลากหลาย)
2.1. ในแต่ละ domain จะมีแค่ 1 foundation เท่านั้น โดยมันจะทำหน้าที่เป็นฐานของ layer อื่นๆ ที่สร้างต่อยอดมันขึ้นไป
2.2. layer / hierarchy คือการ leverage เพื่อขยาย “ความจริง” ของ foundation โดยเมื่อเทียบกับศาสนาพุทธ “พระธรรม” คือ foundation ของความจริงที่เป็นอกาลิโก (เป็นจริงเสมอ ไม่ขึ้นกับกาลเวลา) โดยมีวัดเป็น UX/UI และพระสงฆ์เป็น messenger ซึ่งผลลัพธ์สุดท้าย คือต้องการให้ผู้ที่สมาทานสามารถเข้าถึง “พระธรรม” / “ความจริง” ได้
2.3. ความจริงมีอยู่ 2 แบบ
2.3.1. Universal Truth: ความจริงสากล ความจริงที่ไม่ขึ้นกับกาลเวลา โดยผู้ที่สมาทานแล้ว จะไม่ต้องใช้ cognitive ตลอดเวลา เช่น การ “แดกก่อนเก็บ” ทำให้เราไม่ต้องกังวลอะไร เพราะมันสอดคล้องกับความจริงของจักรวาล
2.3.2. Political Truth: ความจริงที่ “ถูกทำให้เชื่อ” ว่าจริง ซึ่งหากมันไม่สอดคล้องกับ Universal Truth สุดท้ายแล้วผู้ที่เชื่อก็ต้องรับผลกรรม โดยที่ระหว่างนั้นก็จะเกิด Toxic เต็มไปหมด วิธีสังเกตคือ สังคมจะเต็มไปด้วย issues / noise เพราะ ความเห้ มันจะไปโผล่ที่ใดที่หนึ่งเสมอ
2.4. ความหลากหลายเกิดขึ้นหลังจากที่ Principle (a single truth) ถูกสถาปนา เช่น Internet Protocol ทุกวันนี้ใช้ TCP/IP เป็นรากฐาน แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง (ใน Internet) ก็จะ build around มัน (เช่น Facebook)
2.5. Bitcoin เป็น the SINGLE TRUTH (consensus) ที่เกิดจาก decentralized way
2.6. SINGLE TRUTH มัน Static มันมี Entropy ต่ำ เพราะอะไรก็ตามที่ Entropy สูงจะไม่สามารถสร้าง layer on top ได้
3. How to orange pill our loved ones? [คำถามจาก บก.จิงโจ้]
3.1. ชี้ให้เห็นถึง pain point ที่พวกเราเจอ เช่น ไม่มีที่เก็บเงิน (โดนบังคับให้ลงทุน)
3.2. Inflation คือ สิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพราะมันทำร้ายคนที่สร้าง productivity โดยที่มีคนกลุ่มหนึ่งสามารถมี free lunch ได้
3.3. Money is a unit of TRUST แต่ทุกวันนี้เงินแม่งดัน broken / corrupted ทำให้เกิดการส่งสัญญาณผิดเพี้ยนไปหมด ตอนนี้คือ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย, ใครมือยาว สาวได้สาวเอา สิ่งที่พวกเราเจอทุกวันนี้ทุกอย่างเป็นอาการ / symptom (ทุกข์) ทั้งหมด แทบจะไม่มีใครรู้เลยว่าจริงๆ แล้ว root cause (สมุทัย) คืออะไรกันแน่
4. การ “ตั้งคำถามเป็น” คือ สิ่งสำคัญ เพราะใครที่ไม่ตั้งคำถาม / ตั้งคำถามไม่เป็น จะใช้ชีวิตยาก เพราะจะยุ่งมาก แต่ว่าสิ่งที่พยายามไป optimized มันดันไม่สำคัญ
5. การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (paradigm shift) ต้องการ thought leader แค่ร้อย / พันกว่าคนก็พอแล้ว
6. วิธีการดูคนของพี่ชิตคือ ดูว่าคนนั้นมี consistency ไหม, ยืนหยัดไหม เพราะว่าการยืนหยัดในสมัยนี้มันยาก เนื่องจากพวกเราต้องพยายาม survive ให้ได้ก่อน
7. ทำไมคนบางคนต้องรอให้รัฐ “อนุญาต” ก่อน ถึงจะกล้าทำอะไร [คำถามจาก DJ ต้า]
7.1. เพราะมันเป็น bug ของความเชื่อของคนที่ต้องคอยให้รัฐเป็นผู้ชี้ทาง ทั้งๆที่สิ่งที่รัฐพูด / ทำ แม่งโคตรจะไม่จริงเลย
7.2. 2-way communication (ปุจฉา-วิสัชนา) เพิ่งได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดในการกระจาย “ความจริง”
8. Network Effect
8.1. Network Effect เปรียบได้กับ snowball (ยิ่งกลิ้งลงจากเนินเขา ลูกยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ)
8.2. ยิ่งคนมาเข้าร่วมมาก คนยิ่งสามารถสร้างประโยชน์ได้มาก
8.3. วิธีวัดการเติบโต Network Effect ของ Bitcoin ไม่ว่าจะวัดด้วย Hash Rate, address ที่ไม่เคย move, จำนวน address etc. ซึ่งไม่ว่าจะวัดด้วย KPI ไหน ก็สรุปได้เหมือนกันว่า Network Effect ของ Bitcoin กำลังเพิ่ม ทำให้ความเสี่ยงยิ่งต่ำลงเรื่อยๆ
8.4. ถึงพวกเรา (Bitcoiners) จะไม่ชอบ USD ขนาดไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้ (as of Dec 2023) Network Effect ของ USD มันยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะประเทศไหนก็ตามที่ไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการเงินของตัวเองได้ ก็จะโดน Dollarized
9. ในมุมมองพี่ชิต หลังจากที่ Bitcoin พ้นช่วงของ Appreciation ไปแล้ว (พี่ชิตคาดว่าปี 2035) Bitcoin ก็จะยังมี growth อยู่ดี เพราะว่ามันมาจาก productivity ที่เพิ่มขึ้นของทั้งสังคม
10. Bitcoin Monetization
10.1. การ Sucking ของ Bitcoin จะดูดจากทุก Asset โดยที่ฐานของมันจะเหลือแค่ Bitcoin ที่ยังมี liquidity อยู่บน Exchange เท่านั้น ฉะนั้นช่วงนี้ก็ Stack Sats ไปเท่าที่ทำให้ เพราะต่อไปอาจจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว เพราะเกมนี้เป็น zero-sum game (เช่น บ้านก็จะกลายเป็นที่อยู่อาศัยอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ที่เก็บเงินอีกต่อไป)
10.2. Bitcoin คือที่เก็บไขมัน (พลังงานส่วนเกิน) ของระบบเศรษฐกิจ
11. ทำไมต้อง Cycle นี้ [คำถามจาก พี่ตั้ม Jakk Goodday]
11.1. สถานการณ์ Macro ของโลก มีสงคราม และสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการสูญเสีย Productivity ของมนุษย์ แต่ไม่เกิดประโยชน์ ทำให้รัฐต้องไป dilute เงินของประชาชน ซึ่งประชาชนคนไหนที่ไหวตัวทันก็จะเข้ามาถือ Bitcoin
11.2. บาง Asset เช่น Negative Yield Bonds น่าจะเป็นพวกแรกๆ ที่ถูก sucking
11.3. วิธีการ Colonize ในยุคปัจจุบันคือ การทำให้เป็นหนี้ แล้วก็แดกหัวมันซะ!
12. Network War
12.1. ช่วงนี้เป็นช่วงของ Network War ซึ่งสุดท้ายแล้ว Winner takes all ฉะนั้น Bitcoin will end up being EVERYTHING or NOTHING.
13. มีจุดไหนไหมที่จะสามารถสรุปได้ว่าตอนนี้ Bitcoin เป็น Norm ของสังคมแล้ว [คำถามจาก บก.จิงโจ้]
13.1. นิสัย (สันดาน) มนุษย์คือ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ฉะนั้น พี่ชิตเชื่อว่ามันต้องเกิดโศกนาฏกรรมก่อน
13.2. สิ่งที่พวกเราทำได้คือ ทำให้ Community สามารถต้อนรับคนใหม่ที่เข้ามา แล้วให้ความรู้ที่ถูกต้องกับเค้าเหล่านั้นได้
14. คนที่เข้า Bitcoin ก่อน ก็รวยกว่าคนที่เข้าทีหลัง อย่างงี้นับว่าไม่ยุติธรรมใช่ไหม? [คำถามจาก DJ ต้า]
14.1. คนที่รวยได้เนี่ย เค้าเก็บออมไง (#แดกก่อนเก็บ) แล้วมันไม่ยุติธรรมตรงไหน ที่เค้าเหล่านั้นอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
14.2. เรือ Noah ไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน มันจุคนได้จำกัด
14.3. หากย้อนประวัติศาสตร์ (จากหนังสือ The Bitcoin Standard ของ Saifedean Ammous) จีน กับ อินเดียเคยเก็บความมั่งคั่งของชาติไว้ในรูปของ Silver (ซึ่งสุดท้ายแล้วแพ้ Gold) ทำให้สามารถสรุปได้ว่า ยิ่งเรา/ประเทศ convert to “ความจริง” ใหม่ช้าเท่าไหร่ ก็ยิ่งถูก sucking ถูกปล้นเท่านั้น
14.4. ต่อให้คุณไม่มี bitcoin ก็ไม่เป็นไร เพราะคุณก็สามารถทำงานเพื่อรับค่าจ้าง/ค่าแรงเป็น bitcoin ได้ ส่วนคนที่เข้าก่อนก็ถือว่าถูก lottery ไป
14.5. แล้วทำไมคนที่เข้าก่อนถึง “คู่ควร” -> ก็เพราะว่าพวกเราเป็นผู้ทำให้ระบบมัน established ถ้าไม่มีคนอย่างพวกเรา ระบบก็ไม่สามารถ established ขึ้นมาได้ ฉะนั้นพวกเราก็สมควรแล้วที่จะได้รับรางวัล
15. ฉันทามติที่เกิดขึ้นแบบ trustless (decentralized way) เพื่อให้พวกเรากลับมา “เชื่อ” กันได้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำให้โลกมี scalable trust
15.1. ทำไม trust ต้อง scalable -> ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกทุกวันนี้ต้องการความร่วมมือเป็นมวลขนาดใหญ่ ซึ่ง secret sauce ที่จะทำให้มนุษย์ร่วมมือกันได้คือ trust
16. Capital is Productive Asset
16.1. ทำงาน ทำงาน ทำงาน แดกให้น้อย เหลือเก็บ” การเก็บ surplus ของพวกเรา (saving) จะถูกนำไปสร้าง capital ในที่สุด
16.2. Capital คือ Productive Asset ไม่ใช่ goods ที่เอาไว้บริโภค แต่คือเครื่องมือทำมาหากิน (เช่น เครื่องสีข้าว, ถังหมักเบียร์) โดยเราจะนำมันไปใช้สร้าง productivity ซึ่งจะทำให้ท่อ cashflow ที่ไหลเข้ามาใหญ่ขึ้น
16.3. คนที่มี capital เยอะๆ ควรจะเป็นผู้ประกอบการ (create platform) เพราะการทำงานเป็น job เป็นการจำกัด time & space ของเรา
17. ทำไมถ้าเราดีแล้ว ต้องทำให้คนอื่นดีด้วย
17.1. ถ้าประเทศ / จังหวัด / พื้นที่ ที่เราอยู่มันดี แต่ว่าข้างๆ เป็นสลัม จะทำให้เรามี overhead ในการต้องดูแลรักษาความปลอดภัยของตัวเอง และทำให้ทุกๆ อย่างมัน costly ไปหมด ฉะนั้นเราต้องทำให้เพื่อนบ้านเราไม่หลงทาง และเราต้องเร่งพัฒนาตัวเองให้เป็น thought leader และคอยพาประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาไปด้วย
18. คุณค่าไม่ได้อยู่ที่ object แต่ว่าคุณค่ามันเป็น subjective (ขึ้นกับผู้รับว่าเค้า appreciated ไหม)
18.1. การสร้างคุณค่าต้องเป็น inside out แต่ว่าการที่ผู้รับจะให้ค่าหรือไม่นั้น มันเป็น outside in ฉะนั้นผู้สร้างคุณค่าเป็นแค่องค์ประกอบ 50% เท่านั้น
19. หนังสือแนะนำสำหรับผู้อ่านที่อยากเข้าใจ Universal Truth มากขึ้น
19.1. The Price of Tomorrow (Jeff Booth): Inflation คือ Hidden Tax คือ การขโมย
19.2. The Tipping Point (Malcolm Gladwell): แผนที่ / สูตร ที่ใช้ในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นคนตัวเล็ก หรือว่าตัวใหญ่
19.3. Black Swan (Nassim Nicholas Taleb)
19.4. *** Principles of Economics (Saifedean Ammous): Process ของการสร้าง Civilization
19.5. The Infinite Game (Simon Sinek): การสร้าง Civilization เป็นเกมที่ไม่มีจุดจบ เป็นเกมที่ไม่มีผู้แพ้ ผู้ชนะ
20. เกียรติ [ประธานซุปชงให้พี่ชิต]
20.1. เกียรติ คือ อิสระ, เกียรติ คือตัวตนของเรา โดยปราศจากอิทธิพลของคนอื่น
20.2. ถ้าทุกคนในสังคมมีเกียรติ การสร้าง consensus (เช่น การเลือกตั้ง) ในสังคม ถึงจะเรียกว่า ประชาธิปไตย หรือก็คือ ตราบใดก็ตามที่ยังไม่สามารถทำให้ทุกคนในสังคมมีเกียรติได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงประชาธิปไตย
20.3. คนเป็นหนี้ ก็มีเกียรติได้
-----------------------------------------------------------------------------------------
Note: เพิ่งจะได้ "ฟัง" จริงๆ จังๆ ก็รอบที่ 3 แล้วครับ เพราะว่า 2 รอบแรก เป็นการฟังระหว่างเดินทาง / ออกกำลังกาย / ก่อนนอน เลยฟังเพลิน ไม่ได้จด
ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้ว่าจะเป็นการฟังรอบที่ 3 ก็อาจจะยังมีประเด็นที่ผมตกหล่นไป อยากจะเชิญชวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ แนะนำสิ่งที่ผมตกหล่นไปให้หน่อยนะครับ
ขอบคุณครับ และสวัสดีปีใหม่ 2024 / 2567 ทุกท่านครับ
#siamstr #siamstrOG #siamesebitcoiners
https://www.youtube.com/watch?v=-92v8-_LvKE&t=5751s
-----------------------------------------------------------------------------------------
1. Intelligence ของมนุษย์ ประกอบด้วย 2 อย่าง
1.1. recognize pattern: เห็นสิ่งที่เคยเกิดใน domain อื่น แล้วสามารถเอามา adapt / apply กับ domain ของตัวเองได้
1.2. predict (การดู timing): ของดีที่มาก่อนกาล ไม่มีประโยชน์
เพิ่มเติม: แล้วถ้าเรามาก่อนกาลจริงๆ ก็ต้องยืนระยะให้ได้จนกว่าจะเห็นการผลิดอกออกผล และในระหว่างนั้นก็ต้องสร้างสิ่งแวดล้อมต่อไปให้มันเอื้อ เสมือนกับการที่เราต้องการให้ต้นไม้เติบโต เราก็ต้องรดน้ำ พรวนดิน (สร้างเหตุก่อน แล้วเดี๋ยวผลก็จะตามมาเอง)
2. A single truth is the bedrock foundation for diversification (ความจริงเพียงหนึ่งเดียวเป็นรากฐานสำหรับความหลากหลาย)
2.1. ในแต่ละ domain จะมีแค่ 1 foundation เท่านั้น โดยมันจะทำหน้าที่เป็นฐานของ layer อื่นๆ ที่สร้างต่อยอดมันขึ้นไป
2.2. layer / hierarchy คือการ leverage เพื่อขยาย “ความจริง” ของ foundation โดยเมื่อเทียบกับศาสนาพุทธ “พระธรรม” คือ foundation ของความจริงที่เป็นอกาลิโก (เป็นจริงเสมอ ไม่ขึ้นกับกาลเวลา) โดยมีวัดเป็น UX/UI และพระสงฆ์เป็น messenger ซึ่งผลลัพธ์สุดท้าย คือต้องการให้ผู้ที่สมาทานสามารถเข้าถึง “พระธรรม” / “ความจริง” ได้
2.3. ความจริงมีอยู่ 2 แบบ
2.3.1. Universal Truth: ความจริงสากล ความจริงที่ไม่ขึ้นกับกาลเวลา โดยผู้ที่สมาทานแล้ว จะไม่ต้องใช้ cognitive ตลอดเวลา เช่น การ “แดกก่อนเก็บ” ทำให้เราไม่ต้องกังวลอะไร เพราะมันสอดคล้องกับความจริงของจักรวาล
2.3.2. Political Truth: ความจริงที่ “ถูกทำให้เชื่อ” ว่าจริง ซึ่งหากมันไม่สอดคล้องกับ Universal Truth สุดท้ายแล้วผู้ที่เชื่อก็ต้องรับผลกรรม โดยที่ระหว่างนั้นก็จะเกิด Toxic เต็มไปหมด วิธีสังเกตคือ สังคมจะเต็มไปด้วย issues / noise เพราะ ความเห้ มันจะไปโผล่ที่ใดที่หนึ่งเสมอ
2.4. ความหลากหลายเกิดขึ้นหลังจากที่ Principle (a single truth) ถูกสถาปนา เช่น Internet Protocol ทุกวันนี้ใช้ TCP/IP เป็นรากฐาน แล้วทุกสิ่งทุกอย่าง (ใน Internet) ก็จะ build around มัน (เช่น Facebook)
2.5. Bitcoin เป็น the SINGLE TRUTH (consensus) ที่เกิดจาก decentralized way
2.6. SINGLE TRUTH มัน Static มันมี Entropy ต่ำ เพราะอะไรก็ตามที่ Entropy สูงจะไม่สามารถสร้าง layer on top ได้
3. How to orange pill our loved ones? [คำถามจาก บก.จิงโจ้]
3.1. ชี้ให้เห็นถึง pain point ที่พวกเราเจอ เช่น ไม่มีที่เก็บเงิน (โดนบังคับให้ลงทุน)
3.2. Inflation คือ สิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพราะมันทำร้ายคนที่สร้าง productivity โดยที่มีคนกลุ่มหนึ่งสามารถมี free lunch ได้
3.3. Money is a unit of TRUST แต่ทุกวันนี้เงินแม่งดัน broken / corrupted ทำให้เกิดการส่งสัญญาณผิดเพี้ยนไปหมด ตอนนี้คือ ตาดีได้ ตาร้ายเสีย, ใครมือยาว สาวได้สาวเอา สิ่งที่พวกเราเจอทุกวันนี้ทุกอย่างเป็นอาการ / symptom (ทุกข์) ทั้งหมด แทบจะไม่มีใครรู้เลยว่าจริงๆ แล้ว root cause (สมุทัย) คืออะไรกันแน่
4. การ “ตั้งคำถามเป็น” คือ สิ่งสำคัญ เพราะใครที่ไม่ตั้งคำถาม / ตั้งคำถามไม่เป็น จะใช้ชีวิตยาก เพราะจะยุ่งมาก แต่ว่าสิ่งที่พยายามไป optimized มันดันไม่สำคัญ
5. การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (paradigm shift) ต้องการ thought leader แค่ร้อย / พันกว่าคนก็พอแล้ว
6. วิธีการดูคนของพี่ชิตคือ ดูว่าคนนั้นมี consistency ไหม, ยืนหยัดไหม เพราะว่าการยืนหยัดในสมัยนี้มันยาก เนื่องจากพวกเราต้องพยายาม survive ให้ได้ก่อน
7. ทำไมคนบางคนต้องรอให้รัฐ “อนุญาต” ก่อน ถึงจะกล้าทำอะไร [คำถามจาก DJ ต้า]
7.1. เพราะมันเป็น bug ของความเชื่อของคนที่ต้องคอยให้รัฐเป็นผู้ชี้ทาง ทั้งๆที่สิ่งที่รัฐพูด / ทำ แม่งโคตรจะไม่จริงเลย
7.2. 2-way communication (ปุจฉา-วิสัชนา) เพิ่งได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งจะเป็นจุดในการกระจาย “ความจริง”
8. Network Effect
8.1. Network Effect เปรียบได้กับ snowball (ยิ่งกลิ้งลงจากเนินเขา ลูกยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ)
8.2. ยิ่งคนมาเข้าร่วมมาก คนยิ่งสามารถสร้างประโยชน์ได้มาก
8.3. วิธีวัดการเติบโต Network Effect ของ Bitcoin ไม่ว่าจะวัดด้วย Hash Rate, address ที่ไม่เคย move, จำนวน address etc. ซึ่งไม่ว่าจะวัดด้วย KPI ไหน ก็สรุปได้เหมือนกันว่า Network Effect ของ Bitcoin กำลังเพิ่ม ทำให้ความเสี่ยงยิ่งต่ำลงเรื่อยๆ
8.4. ถึงพวกเรา (Bitcoiners) จะไม่ชอบ USD ขนาดไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตอนนี้ (as of Dec 2023) Network Effect ของ USD มันยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะประเทศไหนก็ตามที่ไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการเงินของตัวเองได้ ก็จะโดน Dollarized
9. ในมุมมองพี่ชิต หลังจากที่ Bitcoin พ้นช่วงของ Appreciation ไปแล้ว (พี่ชิตคาดว่าปี 2035) Bitcoin ก็จะยังมี growth อยู่ดี เพราะว่ามันมาจาก productivity ที่เพิ่มขึ้นของทั้งสังคม
10. Bitcoin Monetization
10.1. การ Sucking ของ Bitcoin จะดูดจากทุก Asset โดยที่ฐานของมันจะเหลือแค่ Bitcoin ที่ยังมี liquidity อยู่บน Exchange เท่านั้น ฉะนั้นช่วงนี้ก็ Stack Sats ไปเท่าที่ทำให้ เพราะต่อไปอาจจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว เพราะเกมนี้เป็น zero-sum game (เช่น บ้านก็จะกลายเป็นที่อยู่อาศัยอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ที่เก็บเงินอีกต่อไป)
10.2. Bitcoin คือที่เก็บไขมัน (พลังงานส่วนเกิน) ของระบบเศรษฐกิจ
11. ทำไมต้อง Cycle นี้ [คำถามจาก พี่ตั้ม Jakk Goodday]
11.1. สถานการณ์ Macro ของโลก มีสงคราม และสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการสูญเสีย Productivity ของมนุษย์ แต่ไม่เกิดประโยชน์ ทำให้รัฐต้องไป dilute เงินของประชาชน ซึ่งประชาชนคนไหนที่ไหวตัวทันก็จะเข้ามาถือ Bitcoin
11.2. บาง Asset เช่น Negative Yield Bonds น่าจะเป็นพวกแรกๆ ที่ถูก sucking
11.3. วิธีการ Colonize ในยุคปัจจุบันคือ การทำให้เป็นหนี้ แล้วก็แดกหัวมันซะ!
12. Network War
12.1. ช่วงนี้เป็นช่วงของ Network War ซึ่งสุดท้ายแล้ว Winner takes all ฉะนั้น Bitcoin will end up being EVERYTHING or NOTHING.
13. มีจุดไหนไหมที่จะสามารถสรุปได้ว่าตอนนี้ Bitcoin เป็น Norm ของสังคมแล้ว [คำถามจาก บก.จิงโจ้]
13.1. นิสัย (สันดาน) มนุษย์คือ ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ฉะนั้น พี่ชิตเชื่อว่ามันต้องเกิดโศกนาฏกรรมก่อน
13.2. สิ่งที่พวกเราทำได้คือ ทำให้ Community สามารถต้อนรับคนใหม่ที่เข้ามา แล้วให้ความรู้ที่ถูกต้องกับเค้าเหล่านั้นได้
14. คนที่เข้า Bitcoin ก่อน ก็รวยกว่าคนที่เข้าทีหลัง อย่างงี้นับว่าไม่ยุติธรรมใช่ไหม? [คำถามจาก DJ ต้า]
14.1. คนที่รวยได้เนี่ย เค้าเก็บออมไง (#แดกก่อนเก็บ) แล้วมันไม่ยุติธรรมตรงไหน ที่เค้าเหล่านั้นอดเปรี้ยวไว้กินหวาน
14.2. เรือ Noah ไม่ได้มีไว้สำหรับทุกคน มันจุคนได้จำกัด
14.3. หากย้อนประวัติศาสตร์ (จากหนังสือ The Bitcoin Standard ของ Saifedean Ammous) จีน กับ อินเดียเคยเก็บความมั่งคั่งของชาติไว้ในรูปของ Silver (ซึ่งสุดท้ายแล้วแพ้ Gold) ทำให้สามารถสรุปได้ว่า ยิ่งเรา/ประเทศ convert to “ความจริง” ใหม่ช้าเท่าไหร่ ก็ยิ่งถูก sucking ถูกปล้นเท่านั้น
14.4. ต่อให้คุณไม่มี bitcoin ก็ไม่เป็นไร เพราะคุณก็สามารถทำงานเพื่อรับค่าจ้าง/ค่าแรงเป็น bitcoin ได้ ส่วนคนที่เข้าก่อนก็ถือว่าถูก lottery ไป
14.5. แล้วทำไมคนที่เข้าก่อนถึง “คู่ควร” -> ก็เพราะว่าพวกเราเป็นผู้ทำให้ระบบมัน established ถ้าไม่มีคนอย่างพวกเรา ระบบก็ไม่สามารถ established ขึ้นมาได้ ฉะนั้นพวกเราก็สมควรแล้วที่จะได้รับรางวัล
15. ฉันทามติที่เกิดขึ้นแบบ trustless (decentralized way) เพื่อให้พวกเรากลับมา “เชื่อ” กันได้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำให้โลกมี scalable trust
15.1. ทำไม trust ต้อง scalable -> ปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกทุกวันนี้ต้องการความร่วมมือเป็นมวลขนาดใหญ่ ซึ่ง secret sauce ที่จะทำให้มนุษย์ร่วมมือกันได้คือ trust
16. Capital is Productive Asset
16.1. ทำงาน ทำงาน ทำงาน แดกให้น้อย เหลือเก็บ” การเก็บ surplus ของพวกเรา (saving) จะถูกนำไปสร้าง capital ในที่สุด
16.2. Capital คือ Productive Asset ไม่ใช่ goods ที่เอาไว้บริโภค แต่คือเครื่องมือทำมาหากิน (เช่น เครื่องสีข้าว, ถังหมักเบียร์) โดยเราจะนำมันไปใช้สร้าง productivity ซึ่งจะทำให้ท่อ cashflow ที่ไหลเข้ามาใหญ่ขึ้น
16.3. คนที่มี capital เยอะๆ ควรจะเป็นผู้ประกอบการ (create platform) เพราะการทำงานเป็น job เป็นการจำกัด time & space ของเรา
17. ทำไมถ้าเราดีแล้ว ต้องทำให้คนอื่นดีด้วย
17.1. ถ้าประเทศ / จังหวัด / พื้นที่ ที่เราอยู่มันดี แต่ว่าข้างๆ เป็นสลัม จะทำให้เรามี overhead ในการต้องดูแลรักษาความปลอดภัยของตัวเอง และทำให้ทุกๆ อย่างมัน costly ไปหมด ฉะนั้นเราต้องทำให้เพื่อนบ้านเราไม่หลงทาง และเราต้องเร่งพัฒนาตัวเองให้เป็น thought leader และคอยพาประเทศเพื่อนบ้านพัฒนาไปด้วย
18. คุณค่าไม่ได้อยู่ที่ object แต่ว่าคุณค่ามันเป็น subjective (ขึ้นกับผู้รับว่าเค้า appreciated ไหม)
18.1. การสร้างคุณค่าต้องเป็น inside out แต่ว่าการที่ผู้รับจะให้ค่าหรือไม่นั้น มันเป็น outside in ฉะนั้นผู้สร้างคุณค่าเป็นแค่องค์ประกอบ 50% เท่านั้น
19. หนังสือแนะนำสำหรับผู้อ่านที่อยากเข้าใจ Universal Truth มากขึ้น
19.1. The Price of Tomorrow (Jeff Booth): Inflation คือ Hidden Tax คือ การขโมย
19.2. The Tipping Point (Malcolm Gladwell): แผนที่ / สูตร ที่ใช้ในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นคนตัวเล็ก หรือว่าตัวใหญ่
19.3. Black Swan (Nassim Nicholas Taleb)
19.4. *** Principles of Economics (Saifedean Ammous): Process ของการสร้าง Civilization
19.5. The Infinite Game (Simon Sinek): การสร้าง Civilization เป็นเกมที่ไม่มีจุดจบ เป็นเกมที่ไม่มีผู้แพ้ ผู้ชนะ
20. เกียรติ [ประธานซุปชงให้พี่ชิต]
20.1. เกียรติ คือ อิสระ, เกียรติ คือตัวตนของเรา โดยปราศจากอิทธิพลของคนอื่น
20.2. ถ้าทุกคนในสังคมมีเกียรติ การสร้าง consensus (เช่น การเลือกตั้ง) ในสังคม ถึงจะเรียกว่า ประชาธิปไตย หรือก็คือ ตราบใดก็ตามที่ยังไม่สามารถทำให้ทุกคนในสังคมมีเกียรติได้ ก็ไม่ต้องพูดถึงประชาธิปไตย
20.3. คนเป็นหนี้ ก็มีเกียรติได้
-----------------------------------------------------------------------------------------
Note: เพิ่งจะได้ "ฟัง" จริงๆ จังๆ ก็รอบที่ 3 แล้วครับ เพราะว่า 2 รอบแรก เป็นการฟังระหว่างเดินทาง / ออกกำลังกาย / ก่อนนอน เลยฟังเพลิน ไม่ได้จด
ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้ว่าจะเป็นการฟังรอบที่ 3 ก็อาจจะยังมีประเด็นที่ผมตกหล่นไป อยากจะเชิญชวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ แนะนำสิ่งที่ผมตกหล่นไปให้หน่อยนะครับ
ขอบคุณครับ และสวัสดีปีใหม่ 2024 / 2567 ทุกท่านครับ
#siamstr #siamstrOG #siamesebitcoiners