maiakee on Nostr: ...

🪐กำเนิดจักรวาล: จากอนุภาคฮิกส์ถึงวัฏจักรแห่งสรรพสิ่ง
“The first gulp from the glass of natural sciences will turn you into an atheist, but at the bottom of the glass, God is waiting for you.”
—Werner Heisenberg
จักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นผลลัพธ์ของปฏิสัมพันธ์ระหว่างพลังงาน มวล และกฎทางฟิสิกส์ซึ่งซับซ้อนเกินกว่าที่จิตมนุษย์จะหยั่งถึงได้อย่างสมบูรณ์ ความเข้าใจเกี่ยวกับกำเนิดของจักรวาลเริ่มต้นจากการค้นพบของฟิสิกส์สมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฮิกส์โบซอน (Higgs Boson) หรือที่รู้จักกันในชื่อ God Particle ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ไขปริศนาว่าทำไมสสารถึงมีมวล และเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตัวของจักรวาลที่สัมผัสได้
1. การถือกำเนิดของสสาร: บทบาทของ Higgs Boson
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 13.8 พันล้านปีก่อน จักรวาลเริ่มต้นขึ้นจากเหตุการณ์ Big Bang ซึ่งเป็นการระเบิดของพลังงานความหนาแน่นสูงระดับอนันต์ จุดนี้ไม่มีมิติของเวลา ไม่มีมิติของอวกาศ มีเพียงความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยพลังงานอันมหาศาล
แต่พลังงานเพียงอย่างเดียวไม่สามารถสร้างสรรพสิ่งที่มีมวลขึ้นมาได้ จึงต้องมีสนามที่ทำหน้าที่ให้มวลกับอนุภาคพื้นฐาน ซึ่งก็คือ Higgs Field—สนามพลังที่แผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล อนุภาคที่เดินทางผ่านสนามนี้จะได้รับมวลตามระดับที่ต่างกัน เช่น
• ควาร์ก (Quarks) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของโปรตอนและนิวตรอน
• อิเล็กตรอน (Electrons) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของอะตอม
หากไม่มีฮิกส์โบซอน อนุภาคทั้งหมดจะเป็นเพียงพลังงานบริสุทธิ์และไม่สามารถจับตัวกันเป็นสสารได้ จึงกล่าวได้ว่า Higgs Boson เป็นสิ่งที่ทำให้จักรวาลของเรามีรูปร่างที่จับต้องได้
“Higgs boson is the smoking gun of the Standard Model, proving that the universe gives mass to everything.”
—Peter Higgs
สสารที่เกิดขึ้นในช่วงแรกสุดของจักรวาลประกอบไปด้วยอนุภาค Fermions เช่น ควาร์กและอิเล็กตรอน ซึ่งรวมตัวกันเป็นอะตอม และสุดท้ายวิวัฒนาการไปเป็นดวงดาว กาแล็กซี และสิ่งมีชีวิต
“We are made of the same stardust that composes galaxies, yet we are able to contemplate their existence.”
—Carl Sagan
2. String Theory: จักรวาลเป็นคลื่นของสตริง
ทฤษฎีสตริง (String Theory) เสนอว่าหน่วยพื้นฐานของจักรวาลไม่ได้เป็นอนุภาคจุด (point particles) แต่เป็น สตริงที่สั่นไหวในมิติสูงกว่าที่เรารับรู้
คลื่นของสตริง: โครงสร้างลึกของสสาร
• อนุภาคทุกชนิด เช่น ควาร์ก อิเล็กตรอน โฟตอน ไม่ใช่ “จุด” แต่เป็น สายสตริงที่สั่นด้วยความถี่เฉพาะ
• ความแตกต่างของอนุภาคเกิดจากการสั่นของสตริง เปรียบเสมือนเสียงดนตรีที่เกิดจากการสั่นของสายกีตาร์
“The fundamental nature of reality is not particles, but vibrating strings in a higher-dimensional space.”
—Michio Kaku
ตามมุมมองของพุทธศาสนา “สรรพสิ่งล้วนเป็นคลื่นที่ไม่มีแก่นแท้” ซึ่งคล้ายกับทฤษฎีสตริงที่มองว่าทุกสิ่งเป็นเพียงการสั่นของสนามพลังที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
“จิตมีการเกิดดับเป็นขณะ ๆ เหมือนแสงเทียนที่ริบหรี่”
—พระพุทธเจ้า
3. Orch OR และจิตสำนึก: จิตเป็นคลื่นที่เกิดดับ
หนึ่งในคำถามที่สำคัญคือ จิตสำนึกเกิดขึ้นจากอะไร? ทฤษฎี Orchestrated Objective Reduction (Orch OR) ที่พัฒนาโดย Roger Penrose และ Stuart Hameroff เสนอว่า
• จิตสำนึกไม่ได้เป็นเพียงผลของเครือข่ายประสาท (neurons) ในสมอง แต่เกิดจากการประมวลผลเชิงควอนตัมใน microtubules (โครงสร้างโปรตีนภายในเซลล์สมอง)
• การเกิดและดับของจิตเป็นผลจากการพัวพันควอนตัม (Quantum Entanglement) ของอนุภาคภายในเซลล์
“Consciousness is not a computation; it arises from deeper quantum processes at the Planck scale.”
—Roger Penrose
มุมมองนี้สอดคล้องกับพุทธปรัชญาที่มองว่า จิตสำนึกไม่ใช่สิ่งถาวร แต่เป็นการเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
“จิตไม่มีตัวตนที่แท้จริง มันเกิดขึ้นและดับไปเป็นขณะ ๆ เหมือนกระแสน้ำที่ไหลผ่าน”
—พุทธปรัชญาเถรวาท
4. จากอนุภาคพื้นฐานสู่ดวงดาวและชีวิต
เมื่อจักรวาลเย็นลงจากการขยายตัวของ Cosmic Inflation อนุภาคพื้นฐานรวมตัวกันเป็นอะตอมแรก คือ ไฮโดรเจนและฮีเลียม แรงโน้มถ่วงทำให้แก๊สเหล่านี้รวมตัวกันเป็นกลุ่มเมฆที่ก่อให้เกิด ดาวฤกษ์และกาแล็กซี
ในแกนกลางของดาวฤกษ์ กระบวนการ นิวเคลียร์ฟิวชัน หลอมไฮโดรเจนเป็นธาตุที่หนักขึ้น เช่น คาร์บอน ออกซิเจน เหล็ก ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต
“The nitrogen in our DNA, the calcium in our teeth, the iron in our blood were made in the interiors of collapsing stars. We are made of starstuff.”
—Carl Sagan
เมื่อดาวฤกษ์ขนาดใหญ่มอดดับไปในซูเปอร์โนวา ธาตุเหล่านี้ก็ถูกโปรยไปทั่วจักรวาล กลายเป็นวัตถุดิบของดาวเคราะห์ รวมถึงโลกของเรา และสุดท้ายวิวัฒนาการของสสารทำให้เกิดเซลล์ สิ่งมีชีวิต และมนุษย์
แนวคิดนี้ใกล้เคียงกับ แนวคิดจักรวาลว่างเปล่าในพุทธศาสนา ที่มองว่าทุกสิ่งมีวัฏจักรของการเกิดและการดับโดยไม่มีจุดจบที่แท้จริง
“สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อถึงเวลาก็ต้องเสื่อมสลาย”
—พระพุทธเจ้า
5. สสารเป็นเพียงภาพมายา? มุมมองควอนตัมและพุทธปรัชญา
แม้ว่าเราจะรู้สึกว่าสสารมีความแข็งแกร่งและจับต้องได้ แต่ฟิสิกส์ควอนตัมบ่งชี้ว่าสสารแท้จริงแล้วเป็น เพียงการสั่นสะเทือนของสนามพลังงาน
ทฤษฎี Quantum Field Theory (QFT) อธิบายว่าอนุภาคทุกชนิดเป็นเพียงคลื่นในสนามพลังงานที่ซ้อนทับกัน และความเป็นจริงที่เราเห็นคือ Illusion ที่เกิดจากการแปรปรวนของสนามควอนตัม
ในพุทธปรัชญา แนวคิดเรื่อง “สุญญตา” (Śūnyatā) ของนาคารชุนะ สอดคล้องกับแนวคิดนี้ โดยอธิบายว่าสรรพสิ่งไร้ตัวตนที่แท้จริง (Non-self) ทุกสิ่งล้วนเป็น “สมมุติบัญญัติ” และไม่มีแก่นแท้ที่คงอยู่
“สรรพสิ่งล้วนเกิดจากปัจจัย ไม่อาจดำรงอยู่โดยตัวเอง”
—พระพุทธเจ้า
ฟิสิกส์ควอนตัมแสดงให้เห็นว่าสสารเป็นเพียง “สนามพลังที่สั่นไหว” และไม่มีตัวตนที่แท้จริง เช่นเดียวกับแนวคิด “สุญญตา” (Śūnyatā) ในพุทธปรัชญา
• Heisenberg Uncertainty Principle ชี้ให้เห็นว่าเราไม่สามารถกำหนดสถานะที่แน่นอนของอนุภาคได้
• Implicate Order ของ David Bohm เสนอว่าโลกที่เรามองเห็นเป็นเพียง ระดับผิวเผินของความเป็นจริงที่ซับซ้อนกว่า
• Holographic Principle เสนอว่าเอกภพทั้งหมดอาจเป็นเพียงข้อมูลที่ฉายบนขอบเขตของมิติเวลา
“รูปคือความว่าง ความว่างคือรูป”
—พระพุทธเจ้า
6. วัฏจักรของจักรวาล: Big Bang, Black Holes และการเกิดใหม่
จักรวาลไม่เพียงแต่ขยายตัว แต่มันยังมีวัฏจักรของการเกิดและการดับ
1. Big Bang & Expansion: จักรวาลเริ่มต้นจากเอกภาวะ แล้วขยายตัวด้วยอัตราเร่ง
2. Star Formation & Death: ดวงดาวเกิดขึ้นและดับลง วัตถุถูกดูดเข้าไปในหลุมดำ
3. Black Hole & Heat Death: เมื่อเอกภพขยายไปถึงจุดที่พลังงานหมดลง จะเข้าสู่ภาวะความร้อนตาย
4. Big Bounce / New Big Bang: หากจักรวาลหดตัวกลับไปสู่ภาวะเอกภาวะ อาจเกิด Big Bang ใหม่
“Perhaps the universe recycles itself endlessly in an infinite loop of creation and destruction.”
—Roger Penrose
จักรวาลไม่ได้เป็นสิ่งที่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบแบบตายตัว แต่มันอาจมี วัฏจักรของการเกิดและการดับ ตามแนวคิดของ Big Bounce และ Penrose’s Conformal Cyclic Cosmology (CCC)
1. Big Bang: เอกภพขยายตัวจากสภาวะเอกภาวะ (Singularity)
2. Expansion & Star Formation: กาแล็กซีและดวงดาวก่อตัวขึ้น
3. Black Hole Dominance: หลุมดำเริ่มกลืนกินสสาร
4. Heat Death & Contraction: เอกภพอาจหดตัวกลับไปเป็นเอกภาวะและเกิด Big Bang ใหม่
“The end of one universe could be the beginning of another.”
—Roger Penrose
7. การมีอยู่ของพระเจ้า: มุมมองของ Leoteotoy และฟิสิกส์
Leoteotoy (Jean-François Lyotard) ไม่เชื่อในพระเจ้า เพราะเชื่อว่าความจริงเป็นเพียงโครงสร้างทางภาษาที่มนุษย์สร้างขึ้น โลกไม่ได้มีความหมายโดยตัวมันเอง แต่มนุษย์เป็นผู้ให้ความหมายแก่จักรวาล
“The postmodern condition is a skepticism towards metanarratives.”
—Jean-François Lyotard
มุมมองนี้คล้ายกับทฤษฎี Implicate Order ของ David Bohm ซึ่งเสนอว่า ความจริงไม่ได้เป็นสิ่งสัมบูรณ์ แต่เป็นการเคลื่อนไหว (Holomovement) ที่ต่อเนื่องกัน
“The universe is an undivided whole in perpetual movement.”
—David Bohm
Leoteotoy ปฏิเสธแนวคิดของพระเจ้าและมองว่าความจริงเป็นเพียงโครงสร้างทางสังคมและภาษา ทฤษฎีฟิสิกส์เองก็ไม่จำเป็นต้องมี “พระเจ้า” เพื่ออธิบายการเกิดขึ้นของจักรวาล
“The universe is self-contained and does not require an external creator.”
—Stephen Hawking
ในพุทธศาสนา แนวคิดเรื่อง อนัตตา (Non-Self) และ สุญญตา ชี้ให้เห็นว่า การมีอยู่ของพระเจ้าไม่ใช่สิ่งจำเป็นในการอธิบายความจริง
“หากมีพระเจ้า เขาจะต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมหรือไม่?”
—นาคารชุนะ
สรุปได้ว่า การมีอยู่ของจักรวาลไม่ต้องการ “ผู้สร้าง” มันเป็นผลลัพธ์ของกลไกฟิสิกส์ และสรรพสิ่งล้วนเป็นเพียงเงาของคลื่นพลังงานที่ไร้ตัวตน
🪐บทส่งท้าย: เราคืออะไร?
“Reality is merely an illusion, albeit a very persistent one.”
—Albert Einstein
จักรวาลอาจเป็นเพียงการแสดงออกของคลื่นพลังงานที่ไม่หยุดนิ่ง และมนุษย์เป็นแค่เศษเสี้ยวของพลังงานที่ตระหนักถึงการมีอยู่ของตนเอง
สุดท้ายแล้ว ความเข้าใจเรื่องจักรวาลไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ แต่มันคือการเปิดรับความจริงที่ว่า ทุกสิ่งล้วนเป็นความว่างเปล่า และมนุษย์คือจักรวาลที่ตระหนักรู้ตัวเอง
🪐บทสรุป: เราคือใครในจักรวาลที่ไร้ขอบเขต?
จักรวาลของเรามิได้มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดที่แท้จริง มันเป็นเพียงกระแสของพลังงานที่ไหลเวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สสารที่เราจับต้องได้นั้นเป็นเพียง คลื่นที่สั่นในสนามควอนตัม และจิตสำนึกของเราก็เป็นเพียงผลของการพัวพันควอนตัมที่เกิดขึ้นและดับไปในเสี้ยววินาที
“We are not observers of the universe; we are the universe observing itself.”
—Niels Bohr
สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าฟิสิกส์ควอนตัมหรือพุทธปรัชญา ทั้งสองต่างก็ชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า “ทุกสิ่งเป็นมายา” และเราเป็นเพียงเศษเสี้ยวของพลังงานที่เต้นระบำอยู่ในจักรวาลที่ไม่มีจุดจบ
#Siamstr #พุทธวจนะ #พุทธวจน #nostr #science #quantum #cosmos #astrology