maiakee on Nostr: ...

“สิ่งที่ทุกคนควรรู้เกี่ยวกับเงิน”
เงินเป็นสิ่งที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวัน แต่คำถามสำคัญคือ เงินมาจากไหน? ใครกำหนดว่าอะไรคือเงิน? และจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อรูปแบบของเงินเปลี่ยนไป?
บทความนี้นำเสนอกรอบความคิดใหม่ที่ช่วยให้เข้าใจการพัฒนาของเงินในประวัติศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในระบบการเงินปัจจุบัน โดยอ้างอิงแนวคิดจากหนังสือ “Layered Money” โดย Nik Bhatia ที่ใช้แนวคิด “ลำดับชั้นของเงิน (Layered Money)” เพื่ออธิบายวิวัฒนาการของเงินตั้งแต่อดีตจนถึงอนาคต
แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับเงิน
1. เงินไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดโดยกฎหมาย
ตามแนวคิดของ Carl Menger ผู้ก่อตั้งสำนักเศรษฐศาสตร์ออสเตรียในปี 1892 เงินเกิดขึ้นตามธรรมชาติในสังคม โดยสินค้าใดที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ง่ายและรวดเร็วที่สุดจะกลายเป็น “เงิน”
• มูลค่าของเงินไม่ใช่แบบ “มี” หรือ “ไม่มี” แต่เงินมีคุณสมบัติที่เรียกว่า “moneyness” หรือระดับความเหมาะสมในการทำหน้าที่เป็นเงิน
2. ระบบเงินมีลำดับชั้น (Hierarchy)
• เงินถูกจัดเรียงเป็นชั้น ๆ ตามคุณภาพและความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น เหรียญทองคำ ถือเป็นเงินชั้นที่ 1 เพราะไม่มีความเสี่ยงจากบุคคลอื่น ในขณะที่ ใบรับรองทองคำ ที่ออกโดยกระทรวงการคลังเป็นเงินชั้นที่ 2 เพราะมีความเสี่ยงเนื่องจากเป็นสัญญาว่าจะจ่ายทองคำ
วิวัฒนาการของเงินในประวัติศาสตร์
1. ยุคฟลอริน (Florin) และตระกูลเมดิชี (Medici)
• ในศตวรรษที่ 15 ที่ฟลอเรนซ์ เหรียญทองฟลอรินที่มีความบริสุทธิ์คงที่ถูกใช้เป็นเงินชั้นที่ 1 ตระกูลเมดิชีใช้ฟลอรินเพื่อออก ตั๋วแลกเงิน (Bill of Exchange) ซึ่งเป็นเงินชั้นที่ 2 เพื่ออำนวยความสะดวกในการโอนเงินระหว่างประเทศ
2. ตลาดแลกเปลี่ยนเงินในแอนต์เวิร์ป
• ในศตวรรษที่ 16 เมืองแอนต์เวิร์ปสร้างตลาดกลางสำหรับการแลกเปลี่ยนตั๋วแลกเงิน พร้อมสร้าง ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Notes) ซึ่งเป็นเงินชั้นที่ 2 ที่ไม่ระบุชื่อผู้ถือและสามารถแลกเปลี่ยนได้เหมือนเงินสด
3. กำเนิดธนาคารกลาง
• ธนาคารอัมสเตอร์ดัม (Bank of Amsterdam) ในปี 1609 เป็นตัวอย่างแรก ๆ ของธนาคารกลาง โดยรับฝากเหรียญทองคำและเงินตรา พร้อมสร้างระบบโอนเงินแบบไม่เสียค่าธรรมเนียม
• ธนาคารแห่งอังกฤษ (Bank of England) ในปี 1694 เป็นต้นแบบของธนาคารกลางยุคใหม่ โดยสร้างเงินชั้นที่ 2 และ 3 ผ่านการออกพันธบัตรและเงินฝาก
4. การเปลี่ยนผ่านสู่ดอลลาร์สหรัฐ
• ระบบเงินโลกเปลี่ยนจากปอนด์สเตอร์ลิงสู่ดอลลาร์สหรัฐในปี 1944 หลังการประชุม Bretton Woods
• อย่างไรก็ตาม ในปี 1971 สหรัฐฯ ยกเลิกการผูกดอลลาร์กับทองคำ ทำให้ระบบเงินปัจจุบันเป็น “ระบบเงินกระดาษ” ที่ใช้ความเชื่อมั่นเป็นฐาน
อนาคตของเงิน: บทบาทของคริปโตและ Bitcoin
1. เงินในรูปแบบซอฟต์แวร์
• เงินดิจิทัล เช่น Bitcoin หรือ Central Bank Digital Currencies (CBDCs) ไม่ได้อิงกับบัญชีในระบบปิด แต่เป็นสินทรัพย์ที่ใช้การเข้ารหัสและดำเนินงานบนเครือข่ายแบบเปิด
2. Bitcoin อาจเป็นเงินชั้นที่ 1
• หนังสือ Layered Money คาดการณ์ว่า Bitcoin จะกลายเป็นเงินชั้นที่ 1 ในอนาคต โดยธนาคารกลางจะออก CBDCs เป็นเงินชั้นที่ 2 และใช้ Bitcoin เป็นฐานสำหรับการชำระบัญชี
3. คำถามสำคัญ: Bitcoin จะครองตลาดเงินทั้งหมดได้หรือไม่?
• แม้ Bitcoin มีศักยภาพในการเป็น “ทองคำดิจิทัล” แต่การเป็นเงินสำรองหลักระดับโลกยังต้องเผชิญกับความท้าทาย เช่น การยอมรับจากรัฐบาลและการแข่งขันจากเงินดิจิทัลรูปแบบอื่น
สรุป
วิวัฒนาการของเงินสะท้อนถึงการปรับตัวของสังคมต่อสินค้าที่มีความสามารถในการแลกเปลี่ยนสูงสุด ตั้งแต่เหรียญทองคำในอดีตจนถึง Bitcoin ในปัจจุบัน กรอบแนวคิด Layered Money ช่วยให้เราเข้าใจโครงสร้างของเงินในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยชี้ให้เห็นว่า อนาคตของเงินอาจขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีดิจิทัล ที่สามารถสร้างระบบการเงินที่มีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น และเปิดกว้างสำหรับทุกคน
**เพิ่มเติม:
ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงของพีระมิดการเงิน: จากทองคำถึงบิทคอยน์
การพัฒนาเงินในระบบเศรษฐกิจโลกสะท้อนถึงวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีและการปรับตัวของสังคมต่อวิธีการจัดเก็บและแลกเปลี่ยนมูลค่า โครงสร้างแบบ “พีระมิดการเงิน” (Monetary Pyramid) อธิบายชั้นต่าง ๆ ของเงินในระบบ โดยชั้นที่ 1 (First Layer) เป็นเงินที่มีมูลค่าสูงสุดและเสี่ยงน้อยที่สุด ในขณะที่ชั้นอื่น ๆ แสดงถึงเงินที่มีความเสี่ยงและความน่าเชื่อถือลดหลั่นลงมา
1. ยุคแรก: การใช้ทองคำและเงินเป็นเงินชั้นที่ 1
ในยุคโบราณ ทองคำ และ เงิน เป็นเงินชั้นที่ 1 เพราะมีคุณสมบัติที่ดี เช่น ความหายาก ความทนทาน และการแบ่งย่อยได้ง่าย
• ทองคำแท่ง (Gold Bullion): ใช้เป็นเงินชั้นที่ 1 ไม่มีความเสี่ยงจากบุคคลอื่น
• เหรียญทองคำ: รัฐบาลมักลดความบริสุทธิ์ของเหรียญเพื่อลดต้นทุน เช่น การผสมโลหะอื่น ๆ
ตัวอย่างสำคัญ:
• เหรียญฟลอริน (Florin) ของฟลอเรนซ์ในศตวรรษที่ 15 มีความบริสุทธิ์คงที่ (3.5 กรัม) ตลอด 400 ปี ทำให้กลายเป็นมาตรฐานการเงินในยุโรป
• ตระกูลเมดิชี (Medici) ใช้เหรียญฟลอรินเป็นฐานทรัพย์สิน (ชั้นที่ 1) และออก “ตั๋วแลกเงิน” (ชั้นที่ 2) เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างประเทศ
2. การเพิ่มขึ้นของตลาดแลกเปลี่ยนตั๋วเงิน (16th Century)
ในศตวรรษที่ 16 เมืองแอนต์เวิร์ป (Antwerp) ได้สร้าง ตลาดแลกเปลี่ยนตั๋วเงิน ซึ่งเป็นการนำเงินชั้นที่ 2 มาซื้อขายได้อย่างเสรี
• ตั๋วแลกเงิน (Bills of Exchange): เป็นตั๋วที่ออกโดยธนาคาร โดยระบุว่าจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งในอนาคต
• ตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory Notes): มีความยืดหยุ่นมากขึ้น เพราะไม่ได้ระบุชื่อผู้รับ ทำให้ซื้อขายได้คล้ายเงินสด
ผลลัพธ์: การแลกเปลี่ยนตั๋วเงินช่วยลดข้อจำกัดของเงินชั้นที่ 1 และเปิดโอกาสให้มีสภาพคล่องทางการเงินสูงขึ้น
3. การเกิดขึ้นของธนาคารกลาง (17th Century)
ธนาคารกลางเริ่มก่อตั้งขึ้นเพื่อควบคุมระบบการเงินและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเงินชั้นที่ 2 และ 3
1. ธนาคารอัมสเตอร์ดัม (Bank of Amsterdam, 1609)
• กำหนดให้เหรียญทองและเงินทั้งหมดต้องถูกเก็บในธนาคาร
• สร้างระบบโอนเงินระหว่างบัญชี ทำให้เงินฝากกลายเป็นมาตรฐานใหม่
• ธนาคารยังปล่อยกู้ให้กับบริษัท Dutch East India Company โดยสร้างสินทรัพย์ใหม่ในชั้นที่ 1 ที่ไม่ใช่โลหะมีค่า
2. ธนาคารแห่งอังกฤษ (Bank of England, 1694)
• ออกธนบัตรที่มีมูลค่าตามมาตรฐานทองคำ
• กำหนดเงินชั้นที่ 3 เช่น เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ และตั๋วแลกเงินที่ผูกกับธนบัตร
4. การพัฒนาของระบบเงินสมัยใหม่ (19th-20th Century)
4.1 มาตรฐานทองคำ (Gold Standard)
ในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ระบบการเงินโลกใช้ทองคำเป็นเงินชั้นที่ 1
• ทองคำ เป็นฐานสำรองเงินตราของแต่ละประเทศ
• ธนาคารกลางออกธนบัตร (ชั้นที่ 2) ซึ่งผู้ถือสามารถแลกเป็นทองคำได้
4.2 ระบบ Bretton Woods (1944)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระบบ Bretton Woods กำหนดให้เงินดอลลาร์สหรัฐผูกกับทองคำในราคา $35 ต่อออนซ์ และประเทศอื่น ๆ ผูกค่าเงินของตนกับดอลลาร์
• ดอลลาร์กลายเป็นเงินชั้นที่ 1 ควบคู่กับทองคำ
• เงินตราสกุลอื่น เช่น ปอนด์ หรือเยน กลายเป็นเงินชั้นที่ 3
4.3 การสิ้นสุดมาตรฐานทองคำ (1971)
ในปี 1971 สหรัฐฯ ยกเลิกการผูกดอลลาร์กับทองคำ ทำให้เงินดอลลาร์กลายเป็นเงินชั้นที่ 1 โดยอิงกับความเชื่อมั่นในรัฐบาลและเศรษฐกิจ
5. การเกิดขึ้นของบิทคอยน์ (Bitcoin) และเงินดิจิทัล
ในปี 2009 บิทคอยน์ (Bitcoin) ถือกำเนิดขึ้นในฐานะ “เงินดิจิทัล” แบบกระจายศูนย์ที่ไม่มีตัวกลางและไม่มีความเสี่ยงจากบุคคลอื่น
• Bitcoin เป็นเงินชั้นที่ 1 เพราะไม่มีภาระผูกพัน (Non-Liability Asset)
• ธนาคารกลางสามารถออกเงินดิจิทัลของตนเอง (CBDCs) ในฐานะเงินชั้นที่ 2 และใช้ Bitcoin เป็นฐานสำรอง
ความแตกต่างจากระบบดั้งเดิม:
• บิทคอยน์ไม่ต้องพึ่งพาสถาบันหรือรัฐบาล
• การบันทึกธุรกรรมใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ทำให้โปร่งใสและปลอดภัย
6. อนาคตของพีระมิดการเงินในยุคดิจิทัล
Nik Bhatia ในหนังสือ Layered Money คาดการณ์ว่าในอนาคต บิทคอยน์อาจเป็นเงินชั้นที่ 1 ของโลก โดยระบบการเงินจะมีลักษณะดังนี้:
• ชั้นที่ 1: Bitcoin เป็นฐานสำรองเงิน
• ชั้นที่ 2: CBDCs (เงินดิจิทัลของธนาคารกลาง)
• ชั้นที่ 3: เงินฝากและสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์
ตัวอย่าง:
• หากรัฐบาลออก CBDCs เช่น “Digital Dollar” หรือ “Digital Baht” และใช้ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรอง จะสร้างระบบที่โปร่งใสและมีเสถียรภาพมากขึ้น
บทสรุป
จากเหรียญทองคำในยุคโบราณ สู่การเกิดขึ้นของธนาคารกลาง และการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเงินดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงพีระมิดการเงินสะท้อนถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
• บทเรียนสำคัญ: เงินไม่เคยหยุดวิวัฒนาการ และอนาคตของเงินอาจขึ้นอยู่กับศักยภาพของเทคโนโลยีบล็อกเชนและการยอมรับเงินดิจิทัล เช่น บิทคอยน์
ที่มา: https://andyjagoe.com/how-to-understand-money/
#Siamstr #bitcoin #nostr #BTC #finance #rightshift