lunchblock on Nostr: ...
quoting nevent1q…k6maชีวิตคนเราจะยอมแลกอนาคตกับความหลงไหลในบางอย่างได้มากแค่ไหนกัน?
เราถูกสอนให้รู้จักบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นอย่างดี.. เราค่อนข้างจะตัดสินใจกันแบบ Conservative เสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อถึงคราวต้อง Take risk กับอะไรบางอย่าง ไม่มีใครหรอกที่จะอยากเดินเข้าไปสู่หนทางอันมืดมิด
> แต่ผมกลับได้เจอกับ “**ผู้ชายคนหนึ่ง**” ที่กล้าจะยอมแลกทุกอย่างในชีวิตของเขา.. เพียงเพื่อบิตคอยน์
.
.
*“คนนี้เค้าชื่ออะไรเหรอตั๋ง? เขาเป็นใครน่ะ?”*
ผมถามเจ้าตั๋ง หลังจากที่ได้เห็นภาพถ่ายของชายคนนั้น..
ในมือถือแก้วเบียร์ สีหน้ามีความสุขล้น ผมจำแทบไม่ได้แล้วว่า.. ภาพนั้นเขาถ่ายกับใครหรือเป็นสถานที่ไหน มันก็นานมากแล้วเหมือนกัน แต่ใบหน้าของหมอนี่ค่อนข้างจะรบกวนจิตใจผมพอสมควร..
ผมเห็น “**เขา**” ผ่านตามาสักระยะนึงแล้ว..
เขามักจะโผล่มาโพสต์ในกลุ่ม [Siamese Bitcoiners](https://www.facebook.com/groups/siamesebitcoiners) อยู่เป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ผมยังรู้สึกว่าหมอนี่ทำไมมันถึงต้องเอาจริงเอาจังกับบิตคอยน์ขนาดนั้นเลยวะ?
เขามักจะอ่านบทความต่างประเทศ โดยเฉพาะบทความของ Bitcoin Magazine เขาจะไฮไลท์บางส่วนในบทความมาแชร์ต่อให้เพื่อนๆ ในกลุ่มเสมอ โดยไม่สนใจด้วยว่าใครจะอ่านหรือไม่อ่าน
ที่เล่ามาคุณอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยนี่นา..
สิ่งที่พิเศษคือ.. ไม่ว่าในกลุ่มจะกำลังถกเถียงเรื่องอะไรกันอยู่ก็ตาม หมอนี่จะทำราวกับว่าไม่ได้สนใจกระแสที่เกิดขึ้นเลย (เขาอาจจะแว๊บไปมีส่วนร่วมกับมันบ้างแหละ พวกการปะทะคารมกันในกลุ่มน่ะ) สิ่งที่เขาโพสต์นั้น เหมือนกำลังจะบอกทุกคนว่า..
*“เฮ้! พวกเรา! มาดูนี่สิ โคตรเจ๋งเลย บิตคอยน์ของพวกเราแม่งสุดยอดไปเลยว่ะ!”*
*“เฮ้ย! อ.พิริยะ แม่งโคตรคูล ผู้ชายคนนี้นี่สุดยอดไปเลยนะ!”*
ผมสัมผัสได้ถึงความหลงไหลในบิตคอยน์ ผมสัมผัสได้ถึงเทคนิคทางด้านภาษาและสไตล์การเขียน วิธีที่เขาใช้เขียนหรือแนวทางในการสื่อสารนั้น.. มีเอกลักษณ์บางอย่างที่ผมคงต้องใช้คำว่า.. “**ละเมียดละไม**”
การแสดงออกของเขานั้นค่อนข้างให้ความรู้สึกว่า.. หมอนี่มันช่างใสซื่อกับบิตคอยน์เสียจริง..
มึงเพิ่งรู้จักบิตคอยน์มาไม่นานสินะ? ..ผมแอบคิดในใจ ในตลาดนี้มันจะมีมุมร้ายๆ ที่รอวันชำแหละพวกมือใหม่อยู่นะ..
มึงจะโลกสวยขนาดนี้เลยเหรอวะ?
.
.
*“คนนี้เขาเป็น ……….. นะพี่ เขาชื่อ…… ครับ”*
..ไอ้ตั๋งสุดหล่อตอบผมมาแบบนั้น
## คนที่ใช่ในเวลาที่คู่ควร
*"พี่ยะมาแล้ววว…"*
คำก็ "พี่ยะ" สองคำก็ "พี่ยะ"
อืมมม.. ทำไมเรารู้สึกหมั่นไส้ไอ้นี่จังวะ?
ชาวบ้านเค้าเรียก อ.ตั๊ม ไม่ก็ อ.พิริยะ หรือ ปิรันย่า กัน มึงไปเอาคำว่า "**พี่ยะ**" มาจากไหนกันล่ะเนี่ย.. ก่อนที่ผมจะหมั่นไส้ใครไปมากกว่านี้ ผมดึงสติตัวเองกลับมาคิดว่า.. คนนี้ไม่ใช่หรอที่ควรจะมีอะไรน่าสนใจให้เราได้ค้นหา..
เออ.. นั่นสินะ
ผมวางอคติส่วนตัวลงชั่วขณะ.. ตัดสินใจหาคำตอบและค้นคว้าข้อมูลของผู้ใช้คนนี้อย่างจริงจัง.. จนกระทั่งไปเจอเข้ากับ [บล็อกส่วนตัว](https://ljungdurst.wordpress.com/) ของเขาเข้า ใน Word press
![image]( )
ในวันที่ใครๆ ก็เผยแพร่เรื่องราว บอกเล่าความคิดของตนลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย หมอนี่กลับเขียนบล็อกจำนวนมากได้เป็นวรรคเป็นเวรมาตั้งแต่ปี 2007!!
ผมมีความสามารถติดตัวที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ เมื่อผมได้อ่านอะไรแบบนี้ ผมจะสามารถเจาะลึกเข้าไปในความรู้สึกนึกคิดของคนเขียนได้ ถึงแม้ว่า “**ตัวหนังสือ**” จะเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ประดอยขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์กับความจริงในใจเลยก็ตาม.. แต่สำหรับบล็อกนี้ผมสัมผัสได้เลยว่า.. เขาเขียนมันออกมาจากตัวตนของเขาจริงๆ
แต่ละคนก็มักจะมีความน่าสนใจ มีความพิเศษในตัวเองไม่มากก็น้อย หมอนี่เองก็เช่นกัน ซึ่งนอกจากสิ่งที่เขาเขียนกว่า 40 เพจบนบล็อกนั่นแล้ว ก็คงไม่มีอะไรต้องสนใจมากนัก
แต่สำหรับผม.. ผมสังเหตุเห็นบางมุมที่น่าค้นหา
ถ้าสังเกตกันให้ดี บล็อกของเขาจะถูกเขียนอย่างต่อเนื่องออกมาเป็นระยะๆ นับตั้งแต่ปี 2007 แต่แล้วมันก็หยุดไปดื้อๆ ในปี 2013
เขากลับมาเขียนมันอีกครั้งในปี 2022
> มันเพราะบิตคอยน์ใช่ไหมที่ทำให้เขากลับมามีพลังพลุ่งพล่านกับงานเขียนได้อีกครั้ง?
ผมยังค้นพบต่อไปอีกว่า..
แม้ผู้ชายคนนี้จะมีชีวิตจริงที่ดูเหมือนจะโลดโผน ถูกรายล้อมไปด้วยผองเพื่อน แต่เขาไม่น่าจะมี “**เพื่อนแท้**” ที่พอหาได้เลยสักคน บทความมากมายในบล็อกของเขาแสดงให้ผมเห็นว่า เขามีบางอย่างในใจที่ไม่สามารถพูดกับใครได้.. มันอาจไม่มีคนรับฟังเขา หรือเป็นตัวเขาเองที่ไม่ต้องการเปิดเผยมัน..
คนๆ กำลังมองหา "**ที่ของตัวเอง**" โดยที่อาจไม่รู้ตัว
ช่วงเวลาแห่งการสืบค้นนั้น.. Right Shift กำลังริเริ่มความคิดที่จะสร้างแหล่งบทความบิตคอยน์ขึ้นมาบนเว็บไซต์ ผมอยากเปิดโอกาสให้กับชาวคอมมูนิตี้ได้เข้ามา “**ปล่อยของ**” กันที่นั่น ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการยอมรับและได้ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับ Bitcoin Lightning ไปในตัว เพราะเราจะเปิดให้มีการรับทิปสำหรับบทความเหล่านั้นได้โดยตรงผ่าน LN ด้วยนั่นเอง
เรากำลังหาเหาใส่หัว.. เราปฏิเสธเรื่องนั้นไม่ได้
เพราะทั้งหมดมันจะตามมาด้วยภาระความรับผิดชอบ ที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เราจะไม่ได้รับผลตอบแทน “**ทางตรง**” ใดๆ เลย แต่สำหรับผมแล้ว ผมอยากทำมันมากๆ เพราะผมเล็งเห็นถึงศักยภาพของคุณค่าที่เราจะได้รับกลับมาในอนาคต
ทุกคนถูกฝึกให้กลายเป็นนักแปลเกือบๆ จะเข้าใกล้คำว่ามืออาชีพ เราเริ่มกันอย่างกระท่อนกระแท่นจนกระทั่งเจอระบบการดำเนินการที่ลงตัวได้ในที่สุด
แต่อย่างไรก็ตาม.. ผมก็ยังรู้สึกว่าทีมของเรายังขาดอะไรอยู่บางอย่าง.. ผมพยายามหาคำตอบมาตลอดว่ามันคืออะไรกันแน่?
> สิ่งที่เรากำลังตามหา มันก็คือ.. ประสบการณ์อย่างมืออาชีพ
ปัญหา มักไม่เคยทำให้ผมรู้สึกกลัวหรือย่อท้อ ผมไม่เคยคิดว่าปัญหาคืออุปสรรค กลับกัน.. ปัญหาสำหรับผม มันเป็นแรงผลักดันชั้นดีให้เราได้ออกไปหาวิธีการจัดการกับมัน ปัญหาทำให้ผมรู้ว่าผมต้องการอะไรเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมาย มันคือบททดสอบว่าตัวเราจะไปได้ไกลแค่ไหนเมือเจอเข้ากับทางตัน..
มันคือชะตาฟ้าลิขิต..
วันหนึ่งหมอนั่นก็ส่งบทความแปลของตัวเองเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา
ด้วยสัญชาตญาณส่วนตัว.. ผมใช้เวลาไม่นานก็รู้ได้ทันทีว่า.. คนที่ผมแอบสนใจอยู่ คือ คนเดียวกันกับที่ผมกำลังพยายามควานหามานาน มันมีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่า.. หมอนี่แหละจะเป็นคนที่ใช่สำหรับเราในอนาคต
![image]( )
ผมใช้เวลาไม่นานมากนัก ในการทำความรู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัว หลังบทความของเขาเริ่มทะยอยถูกเผยแพร่ขึ้นบนเว็บไซต์ของเราอย่างต่อเนื่อง ผมเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและเอาจริงเอาจังของเขาในเรื่องที่ผมอาจจะยังรู้สึกแค่เพียง “**เรื่องสนุก**” เท่านั้น แต่สำหรับเขา มันยิ่งใหญ่และเป็นความภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน
ผมจะยังรออะไรอีกเล่า.. งั้นแกมาทำงานกับพี่เถอะ.. “**จิงโจ้**”
![image]( )
## มืออาชีพไม่เคยต้องอวดอ้างสรรพคุณของตัวเอง
การเข้ามาในทีมบทความของจิงโจ้ สร้างบรรยากาศแบบใหม่ขึ้นในทีมน้องๆ ของผมที่อยู่กันมาก่อนแล้ว ทุกคนรู้สึกถึงพลังบางอย่างในตัวเขา ความสนุกสนานหยอกล้อเหมือนพี่น้องในตอนแรกเริ่มค่อยๆ กลายเป็นความตึงๆ อย่างเสียมิได้
ผมไม่คิดจะโทษจิงโจ้ในเรื่องนี้..
เพราะตัวเขาเองก็คงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติเมื่อเราต้องเจอเข้ากับ “**ของจริง**” เราจะรู้สึกยำเกรงและไม่กล้าเล่นสนุกกันมากเกินไป จิงโจ้นำเอาความเป็นมืออาชีพในด้านงานเขียนเข้ามาสู่ทีม เขาเป็นคนเดียวที่ให้ความเคารพกับผมในลักษณะที่ยังเป็นเหมือน เจ้านาย-ลูกน้อง อยู่ในตอนนั้น (ซึ่งผมไม่เคยต้องการให้เป็นแบบนั้น)
เขาทำงานให้เราอย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับงานประจำที่ก็หนักหนาพอๆ กัน ไม่เคยคิดก้าวก่ายงานส่วนอื่นหากผมไม่ขอให้ช่วย ไม่ยุ่งเรื่องของใครมากนัก และดูจะตึงพอสมควรเท่าที่ผมสัมผัสได้ แต่มันก็เป็นความตึงที่มาจากความตั้งใจอันเปี่ยมล้นของเขา เป็นความตึงที่ไม่ได้มีเจตนาจะให้ใครตึงตามไปด้วย..
เขาแค่ไม่ได้ต้องการจะทำให้ผมรู้สึกผิดหวังเท่านั้นเอง
จิงโจ้ เก่งเกินกว่าที่ผมเคยคิดเอาไว้.. มันไม่แปลก เพราะนี่มันเป็นอาชีพของเขาเลยก็ว่าได้ เขาทำให้ผมรู้สึกว่า.. Right Shift จะไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ในด้านงานบทความและงานหนังสือ รวมไปถึงงานเขียนในด้านต่างๆ
> ตำแหน่ง บก. ที่เขาถูกเรียก ไม่ได้มาจากการที่ผมเป็นคนแต่งตั้งให้..
เด็กๆ ในทีม Right Shift ล้วนแต่เป็นเด็กที่ชาญฉลาด พวกเขาแยกแยะได้ว่าใครคือคนเก่ง ใครยังต้องพัฒนาต่อ พวกเขาเข้าใจดีว่าอะไรคืออะไร และสำหรับจิงโจ้ เด็กๆ ของเราก็เลือกเองที่จะให้เกียรติและเรียกเขาว่า "**บก. จิงโจ้**"
กับทีมงานนั้น.. จิงโจ้แสดงออกถึงมารยาทที่ดีและมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่เสมอ.. เขาไม่เคยยอมให้ความสามารถตัวเองไปกดดันเพื่อนร่วมทีมเลยสักครั้ง เขามีวิธีสื่อสารที่น่าฟัง เราใช้เวลาเกือบครึ่งปี ในการที่ผมจะหาทางละลายพฤติกรรมและความตึงเครียดของทุกคนให้ผ่อนคลายได้
ถ้าเรากำลังหงุดหงิดที่เพื่อนร่วมทีมของเราช่างไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย เราควรจะสอนหรือถ่ายทอดงานให้กับพวกเขา จริงอยู่ว่าวิชาของเราอาจจะไม่ได้มันมาง่ายๆ แต่มันจะดีกว่าไหม ถ้าเราไม่ต้องมาคอยแบกทีม หรือรับผิดชอบอะไรหนักๆ อยู่เพียงคนเดียวไปตลอด?
ผมแนะนำจิงโจ้ไปแบบนั้น ..หลังจากนั้นมันกลายเป็นวัฒนธรรมของเราที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับจิงโจ้ แต่มันเกิดกับทุกคน พวกเรารู้สึกดีกว่ามากที่เราได้แชร์ประสบการณ์ให้แก่กัน รู้สึกดีที่ถูกรายล้อมไปด้วยคนที่เราจะเชื่อมือพวกเขาได้ ..นั้นแหละคือคีย์สำคัญของคำว่า "**ทีมเวิร์ค**"
> ความเชื่อใจ ที่บิตคอยน์ไม่เคยสอนเรา แต่กับบางเรื่องในชีวิตจริง เราก็ยังต้องการมันมากอยู่ดี
วันนี้กับวันนั้น เราไม่เหมือนเดิม ที่ Right Shift เราทำงานกันอย่างมีความสุข สนุกสนานและรักใคร่กลมเกลียวกันดี
นักฟุตบอลที่ลงซ้อมด้วยกันบ่อยๆ วันหนึ่งก็จะเล่นเข้าขากันได้เองในที่สุด ถ้าคุณพยายามทำความเข้าใจและศึกษาสไตล์ของเพื่อนร่วมทีมคุณให้มากพอ พูดง่ายๆ ก็คือใส่ใจในทีมมากกว่าตัวเอง
เรื่องราวของจิงโจ้ตามที่ผมเล่ามาดูเหมือนจะงดงามไปหมดเสียทุกอย่าง
แต่โลกของเรามันไม่ได้มีแค่มุมที่สวยงามหรอกนะครับ.. มนุษย์คนหนึ่งก็เช่นกัน ทุกคนก็มักจะมีด้านมืดและด้านสว่างปะปนกันอยู่
จิงโจ้เองก็ไม่เว้น..
## ตกบันได ต้องตกให้ถึงพื้น
เวลาที่คนดวงตก เวลาที่ทำอะไรก็ไม่เคยได้ดั่งใจ มันก็เหมือนกับการที่เรากำลังตกลงมาจากบันไดทีละขั้นๆ ถ้าหากบันไดมีทั้งหมด 7 ขั้น ไม่ว่าอย่างไรคุณก็จำเป็นต้องตกลงไปให้ครบทั้ง 7 ขั้น จนกระทั่งไปกองอยู่ที่พื้นก่อนเสมอด้วยกฏแห่งแรงโน้มถ่วง คุณจึงจะสามารถลุกขึ้นมาเดินขึ้นบันไดได้ใหม่อีกครั้ง..
ถ้าวันนี้คุณรู้สึกว่าชีวิตกำลังแย่ มันอาจยังไม่ได้แย่ที่สุดก็ได้นะ.. ถ้าชีวิตของคุณพึ่งร่วงลงมาแค่ 5 ขั้น มันอาจยังเหลือเรื่องร้ายๆ ให้คุณต้องเจออีกตั้ง 2 ขั้นก็เป็นได้ นี่เป็นการเปรียบเปรยเพื่อให้คุณเห็นภาพได้ง่ายขึ้นเพียงเท่านั้น
เรื่องนี้เป็นสัจธรรมที่ผมได้ค่อยๆ เรียนรู้มาเองทั้งชีวิต
> การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
มันฟังดูค่อนข้างแย่.. แต่มันก็มักจะเป็นความจริง เรามักจะฝืนชะตาชีวิตในช่วงที่ทุกอย่างรอบตัวไม่เป็นดังหวัง ผมเลือกที่จะทำความเข้าใจและยอมรับในทุกความเป็นไป เลือกจะปล่อยตัวเองให้หล่นลงไปกองที่พื้น ผมรอให้ถึงเวลานั้นอย่างเข้าอกเข้าใจ
เพราะผมเชื่อในสังสารวัฏ ณ จุดที่ผมกองอยู่แนบพื้น ชีวิตของผมคงไม่อาจย่ำแย่ไปกว่านั้นได้อีกแล้ว จุดนั้นเองที่ผมจะลุกขึ้นมาทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ และก้าวเดินขึ้นบันไดไปอย่างมั่นคง ชีวิตหลังจากนั้นมันควรจะมีแค่ดีกับดี
มันจะแย่ไปกว่านั้นได้ยังไงล่ะ?
.
.
*"ผมอาจทำงานให้ Right Shift ไม่ได้แล้วครับ.."*
ผมหน้าชาเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำตัดพ้อของจิงโจ้.. มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อทุกอย่างกำลังดีเลยนะ? ทำไมจู่ๆ นายมาพูดกับพี่แบบนี้? หรือว่ามันเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นในงาน.. หรือในทีม?
อย่างที่บอก.. ผมมักไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องจมอยู่กับคำถามใดๆ นานเกินไป ทำอย่างนั้นคงไม่มีประโยชน์ ผมเลือกจะสืบสาวราวเรื่องด้วยการโทรหาจิงโจ้โดยตรง เราคุยกันอย่างบิตคอยเนอร์ ซึ่งกินเวลานานกว่า 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว..
ในชีวิตคนๆ หนึ่ง คุณอาจเคยทำผิดพลาดได้หลายครั้งในชีวิต คุณอาจทำให้ใครสักคนไม่พอใจ คุณอาจทำเรื่องร้ายๆ มาบ้าง หรือต่อให้คุณไม่เคยข้องแวะกับใครเลย มันก็คงจะมีสักเรื่องหรือสักคนที่อาจจะทำให้คุณจิตตกได้เหมือนกัน
ผมให้อภัยในสิ่งที่เกิดขึ้น ในทุกอย่างที่เขาพยายามปกปิดเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ และผมยังขอให้จิงโจ้ "**ให้อภัยตัวเอง**" อีกด้วย เพื่อที่เราจะยังเดินต่อไปได้ จิงโจ้รู้สึกผิดเพราะคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นตัวถ่วงของทีม.. สำหรับผม ผมไม่เคยคิดกับใครแบบนั้น
*"ผมขอเว้นวรรคไปฟื้นฟูความรู้สึกตัวเองสักพักละกันนะครับ.."*
จิงโจ้กล่าวลาผม เพื่อเดินทางไปพักผ่อนยังเวียดนาม.. เรารู้เรื่องนี้กันแค่ 2 คนในตอนนั้น ความเป็นมืออาชีพอย่างสุดลิ่มทำให้เขาเลือกที่จะไม่เอาปัญหาส่วนตัวมากระทบต่อขวัญกำลังใจของทีม..
(ขออนุญาตไม่เล่าเรื่องส่วนตัวของเขาในที่นี้นะครับ)
> ถ้าคุณต้องเลือกอนาคตของคุณ โดยต้องยอมแลก "ทุกอย่างที่เคยมีมา" กับ "บิตคอยน์" คุณจะเลือกอะไร?
## โลกใหม่ที่ไม่มีวันเหมือนเดิม
ผมไม่สามารถทำอย่างจิงโจ้ได้.. ผมยังคงต้องทำงานประจำเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตเส็งเคร็งนี้ต่อไปด้วยเงินเฟียต แล้วจึงค่อยเจียดเอาเวลาอันน้อยนิดมาทำกิจกรรมต่างๆ ในงานของ Right Shift
แต่ผู้ชายคนนี้เลือกที่จะทิ้งทุกอย่าง…
ผมต้องใช้คำว่า "**ทิ้งทุกอย่าง**" จริงๆ นะ สำหรับการตัดสินใจของเขา เพื่อจะเบนเข็มมาผลักดันการยอมรับบิตคอยน์อย่างเต็มตัว ในฐานะส่วนหนึ่งของ Right Shift เรา..
อย่าเข้าใจผมผิด.. ผมไม่เคยพยายามจะโน้มน้าวหรือชักชวนให้เขาทำแบบนั้น ผมพูดกับเขาอย่างลูกผู้ชายว่าผมพร้อมจะยอมรับทุกการตัดสินใจของเขาเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าผลของมันจะออกมาดีหรือแย่ต่อ Right Shift ก็ตาม
> มันเป็นการตัดสินใจอันยิ่งใหญ่และน่ายกย่องของเขาเอง
มันทำให้ผมรู้สึกได้ทันทีว่า.. เมื่อเราได้รับเกียรติมากขนาดนี้ เราก็คงต้องคืนเกียรตินั้นให้กับเขาด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกได้ทันทีว่าผมคงทำแค่เอาสนุกอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ผมต้องทำให้สมกับที่คนๆ หนึ่งยอมฝากอนาคตไว้กับมัน
จิงโจ้หันหลังให้กับงานประจำแบบเฟียตๆ แทบทั้งหมด ทั้งหมดจริงๆ คนๆ นี้สามารถเขียนอะไรแค่ย่อหน้าเดียวก็สร้างรายได้หลักพันบาทได้แล้ว แต่การมานั่งหลังขดหลังแข็งทำงานเบื้องหลังให้กับ Right Shift นั้น.. ผมไม่เคยมีอะไรให้เขา ที่จะสามารถเทียบเคียงกับสิ่งที่เขายอมเสียไปได้เลย
เขาไม่เคยเรียกร้องอะไรหรอก.. เขาห้ามไม่ให้ผมคิดเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ
ถ้าคุณอ่านทั้งหมดแล้วพยายามทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ วางอคติทุกอย่างลง และมองเข้าไปยังจิตใจของชายคนนี้ โดยไม่คิดว่าผมกำลังสรรหาคำมาอวยเค้ามากเกินไป
สิ่งเดียวที่คุณคงจะอยากทำคงเป็นการ Standing ovation ให้กับเขา
เขาบอกกับผมว่า เขาไม่เคยเสียใจที่ตัดสินใจลงไป เขาได้รับมิตรภาพ ความสุข ความหวัง และรอยยิ้ม ทุกครั้งที่จะมีการอัดรายการสภายาส้ม จิงโจ้จะออกไปซื้อเบียร์มาเตรียมไว้ก่อนเสมอ คุณสามารถเข้าใจได้เลยทันที ว่าเขานั้นมีความสุขกับมันมากขนาดไหน
จิงโจ้เปลี่ยนเป็นคนใหม่นับจากการตัดสินใจในครั้งนั้น จากคนที่เคยตึงๆ ซีเรียสกับทุกเรื่อง ดูจะหวั่นไหวง่าย เขาค่อยๆ เย็นลง ดำเนินชีวิตไปอย่างช้าๆ ยิ้มและหัวเราะได้กับทุกๆ เรื่อง เข็มแข็ง และกลายเป็นคนน่าคบในสายตาของใครหลายๆ คน
สิ่งหนึ่งที่ผมพอสังเกตุได้ว่าเขาแทบไม่เคยเปลี่ยนเลย คือ ความเอาจริงเอาจังกับบทบาทที่ได้รับมอบหมาย ความทุ่มเทที่เขามีให้กับบิตคอยน์และคอมมูนิตี้นั้นมากมายเหลือเกิน
แม้ไม่เคยไม่ใครได้รู้ ว่าการตรวจทานและพยายามให้คำแนะนำกับนักเขียนในแต่ละบทความนั้น มันต้องใช้ความอดทนและความอุตสาหะพยายามมากขนาดไหน ทั้งแรงกายและเวลาที่เสียไปแบบไม่เคยได้รับผลตอบแทนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน (เรายังไม่มีรายได้สำหรับส่วนนี้ในตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังไม่มีหรอก)
เมื่อคุณต้องทำงานอย่างมีมานะ เพื่อให้คนอื่นๆ ได้รับเครดิตอย่างที่เขาเหล่านั้นควรได้รับ คุณลองถามตัวเองดูสิว่า คุณต้องพกมายเซตแบบไหนใส่ลงไปในการทำงาน?
ใช่.. วันนี้เขาอาจเริ่มได้รับคุณค่าในแบบที่เขาควรได้ผ่านบทความสดุดีชิ้นนี้ของผม แต่ผมคงตอบไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าตัว ว่าเขาทำทุกอย่างไปเพราะอะไรกัน?
ทุกวันนี้จิงโจ้เลี้ยงชีพตัวเองด้วยการเลี้ยงไก่และรับงานเฟียตแบบขัดใจตัวเองบ้างในบางครั้ง.. และใช้บิตคอยน์หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของตนในทุกๆ วัน ..รวมทั้งเบียร์
**When Money Dies** คือ รางวัลแห่งความอุตสาหะที่ผมมอบหมายให้เจ้าตัวได้แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่
ผมไม่ก้าวก่ายใดๆ แม้แต่นิดเดียว นี่จะกลายเป็นผลงานของเขาอย่างเต็มภาคภูมิ ผมอยากจะรอเห็นวันที่หนังสือเล่มนี้ถูกเขาแปลจนเสร็จและได้รับการตีพิมพ์ ..คงไม่สามารถมอบอะไรให้เขาได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว
![image]( )
ผมมักจะเข้านอนเป็นคนสุดท้ายในทีม และตื่นเป็นคนแรกๆ อยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ไม่เคยตื่นได้ก่อนหมอนี่เลยสักครั้ง
คำว่า "**ทีมตรู่**" ก็มาจากมันนี่แหละ..
.
.
*"พี่กลัวว่าแกจะป่วยเป็นแอลกอฮอล์ลิซึ่มตายจังเลยว่ะ.. จิงโจ้"*
ผมแซวด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง..
.
.
"*อย่างน้อยผมก็คงได้ตายอย่างมีความสุขครับพี่..*"