maiakee on Nostr: ...

🪷การเชื่อมโยงแนวคิดของ Morphic Fields, Implicate Order, และ Waddington’s Epigenetic Landscape กับพุทธศาสนา: มุมมองจากธรรมชาติและการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์
การเชื่อมโยงแนวคิดทางวิทยาศาสตร์กับหลักปรัชญาและศาสนาเป็นการศึกษาอย่างลึกซึ้งที่ช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ของชีวิตและจักรวาลมากขึ้น แนวคิดจากวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เช่น Morphic Fields ของ Rupert Sheldrake, Implicate Order ของ David Bohm, และ Waddington’s Epigenetic Landscape ของ C.H. Waddington มีความเชื่อมโยงกับหลักพุทธศาสนาในหลายแง่มุม โดยเฉพาะในเรื่องของธรรมชาติ การเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ และกฎแห่งเหตุและผล (ปฏิจจสมุปบาท)
1. Morphic Fields กับพุทธศาสนา
Morphic Fields ของ Rupert Sheldrake กล่าวถึง “สนามข้อมูล” ที่เชื่อมโยงทุกสิ่งในจักรวาลและมีอิทธิพลต่อการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติ สนามเหล่านี้สามารถมองเป็นเสมือนพลังงานที่สะสมในรูปแบบต่างๆ และส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสภาพแวดล้อม แนวคิดนี้คล้ายคลึงกับ กรรม ในพุทธศาสนา ที่เป็นพลังงานที่สะสมจากการกระทำและส่งผลต่อพฤติกรรมและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยพุทธศาสนามองว่า “กรรม” คือการกระทำที่สร้างผลที่เกิดขึ้นในชีวิต ซึ่งสามารถมองเป็นคล้าย “สนาม” ที่เก็บข้อมูลและส่งผลกระทบต่อการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ต่างๆ
คำพูดที่สอดคล้องกับแนวคิดนี้คือ “ผลของกรรมเกิดจากการกระทำที่เราทำไป และจะกลับมาในรูปแบบที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้” ซึ่งเน้นการเชื่อมโยงเหตุและผลที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ในวิถีชีวิต
2. Implicate Order กับพุทธศาสนา
Implicate Order ของ David Bohm กล่าวถึง “ระเบียบที่ซ่อนอยู่” ซึ่งทุกสิ่งในจักรวาลมีความเชื่อมโยงกันในลักษณะของความเป็นหนึ่งเดียว โดยที่ทุกสิ่งมีการพึ่งพาอาศัยกันและไม่สามารถแยกออกจากกันได้แน่นอน แนวคิดนี้สามารถเปรียบเทียบกับ อนัตตา (ความไม่มีตัวตน) และ สุญญตา (ความว่าง) ในพุทธศาสนา ที่เน้นว่าไม่มีสิ่งใดที่มีตัวตนที่แท้จริงและทุกสิ่งเกิดขึ้นและดับไปตามเงื่อนไขต่างๆ
แนวคิดนี้ยังสะท้อนถึง ปฏิจจสมุปบาท (Dependent Origination) ซึ่งอธิบายว่าเหตุปัจจัยทั้งหลายเป็นสิ่งที่ทำให้ปรากฏการณ์เกิดขึ้นและดับไปตามกระบวนการที่เชื่อมโยงกัน โดยที่ทุกสิ่งไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยลำพัง
คำพูดที่เชื่อมโยงได้คือ “ทุกสิ่งเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยที่พึ่งพากัน” ซึ่งเป็นคำที่สอนให้เราเข้าใจถึงการพึ่งพาอาศัยและไม่มีสิ่งใดที่แยกออกจากกันในจักรวาลนี้
3. Waddington’s Epigenetic Landscape กับพุทธศาสนา
Waddington’s Epigenetic Landscape อธิบายถึงการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตที่ถูกกำหนดโดยทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม โดยโมเดลภูมิทัศน์ทางพันธุกรรมนี้แสดงให้เห็นถึงเส้นทางการพัฒนาที่ต่างกันที่อาจเกิดขึ้นได้ตามเงื่อนไขของสิ่งแวดล้อมและปัจจัยภายใน ซึ่งคล้ายคลึงกับ อิทัปปัจจยตา (ความเป็นเหตุปัจจัยกัน) ในพุทธศาสนา ที่สอนว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยลำพัง แต่เป็นผลมาจากเงื่อนไขและเหตุปัจจัยต่างๆ ที่เชื่อมโยงกัน
การเลือกเส้นทางการพัฒนาที่แตกต่างกันในโมเดลของ Waddington สามารถเปรียบได้กับผลกระทบของกรรมที่สะสมและนำพาสิ่งมีชีวิตไปสู่เส้นทางที่แตกต่างกัน
คำพูดที่สอดคล้องกับแนวคิดนี้คือ “ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ทุกสิ่งมีเหตุผลและสาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น”
4. Lagrangian Mechanics กับพุทธศาสนา
Lagrangian Mechanics คือหลักการทางฟิสิกส์ที่หาค่าเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในการเคลื่อนที่ของวัตถุ โดยเลือกเส้นทางที่ทำให้ระบบมีพลังงานต่ำที่สุด ซึ่งในทางพุทธสามารถเปรียบได้กับ มรรค 8 (The Eightfold Path) ที่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตเพื่อพ้นทุกข์ โดยการเลือกเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดในชีวิตจะนำไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์
“เส้นทางที่เหมาะสมในชีวิตคือการเลือกเดินตามมรรค 8 เพื่อไปสู่การหลุดพ้น” แนวคิดนี้สะท้อนถึงการเลือกทางที่ถูกต้องในชีวิตเหมือนกับการใช้หลักการ Lagrangian ในการหาทางเดินที่ดีที่สุด
🪷การเชื่อมโยงแนวคิดจาก Morphic Fields, Implicate Order, และ Waddington’s Epigenetic Landscape กับหลักพุทธศาสนาไม่เพียงแค่ช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติและกระบวนการต่างๆ ในจักรวาล แต่ยังเน้นถึงความสำคัญของเหตุและผลในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงความเชื่อมโยงและการพึ่งพากันของทุกองค์ประกอบในจักรวาล การศึกษาความสัมพันธ์นี้ทำให้เราเห็นความสมดุลระหว่างวิทยาศาสตร์และอภิปรัชญา ซึ่งไม่เพียงแต่เสริมสร้างความเข้าใจในเรื่องธรรมชาติของการเกิดและการเปลี่ยนแปลง แต่ยังทำให้เราเข้าใจชีวิตในแง่มุมที่ลึกซึ้งและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
#Siamstr #science #quantum #ธรรมะ #พุทธศาสนา