maiakee on Nostr: ...

🪷อินทรีย์ 5: อินทรีย์ภาวนาชั้นเลิศและวิราคะในพุทธพจน์
อินทรีย์ 5 ประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา เมื่อบุคคลฝึกฝนอินทรีย์เหล่านี้จนถึงระดับสูงสุด จะนำไปสู่วิราคะ (ความคลายกำหนัด) และความหลุดพ้นจากกิเลสอย่างสมบูรณ์
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ว่า:
“ภิกษุทั้งหลาย! อินทรีย์ห้าเป็นไปเพื่อวิราคะ ไม่ใช่เพื่อความกำหนัด เป็นไปเพื่อการละ ไม่ใช่เพื่อการยึดมั่น เป็นไปเพื่อความดับ ไม่ใช่เพื่อความเกิดขึ้น เป็นไปเพื่อความสงบ ไม่ใช่เพื่อความเร่าร้อน เป็นไปเพื่อความตรัสรู้ ไม่ใช่เพื่อความหลงใหล”
(อังคุตตรนิกาย 5.14)
คำตรัสนี้แสดงให้เห็นว่าอินทรีย์ 5 เป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การละกิเลสโดยสิ้นเชิง ต่อไปนี้คือบทสนทนาและพุทธพจน์ที่เกี่ยวข้องกับการนำอินทรีย์ภาวนาไปสู่วิราคะ
1. ศรัทธา: การเห็นแจ้งในอริยสัจ 4
พุทธพจน์:
พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอัญญาโกณฑัญญะว่า:
“สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นดับไปเป็นธรรมดา”
(วินัยปิฎก มหาวรรค)
บทสนทนา:
อัญญาโกณฑัญญะ: ข้าแต่พระองค์ ความทุกข์นี้มีแต่ไม่เที่ยง ทุกอย่างที่ข้าพเจ้าเคยยึดถือ ล้วนแตกสลายหมดแล้ว
พระพุทธเจ้า: ดูก่อนโกณฑัญญะ เธอเห็นแจ้งในธรรมแล้ว ศรัทธาของเธอไม่ใช่เพียงความเชื่อ แต่เป็นศรัทธาที่ตั้งอยู่บนปัญญา
⮞ การตีความ: ศรัทธาที่แท้จริงต้องประกอบด้วยปัญญา มิใช่ความเชื่อแบบงมงาย การเห็นอริยสัจ 4 อย่างแจ่มแจ้งทำให้เกิดวิราคะ
2. วิริยะ: ความเพียรเพื่อนำไปสู่การละกิเลส
พุทธพจน์:
“ภิกษุทั้งหลาย! ความเพียรมีรากฐานอยู่ที่ศรัทธา และสัมฤทธิ์ผลด้วยปัญญา”
(องฺ. จตุกฺก. 4.6)
บทสนทนา:
พระสารีบุตร: ข้าแต่พระองค์ บางครั้งข้าพเจ้าเหนื่อยล้า ความเพียรที่ข้าพเจ้าตั้งมั่น คล้ายถูกเผาผลาญด้วยกิเลส
พระพุทธเจ้า: ดูก่อนสารีบุตร วิริยะนั้นเหมือนการดีดพิณ ถ้าหย่อนเกินไป เสียงไม่ดัง ถ้าตึงเกินไป สายขาด จงเพียรพยายามโดยทางสายกลาง
⮞ การตีความ: ความเพียรต้องสมดุล ไม่เคร่งครัดจนเกิดอัตตา และไม่เกียจคร้านจนจิตเสื่อม
3. สติ: เครื่องมือที่ทำให้เห็นไตรลักษณ์
พุทธพจน์:
“ภิกษุทั้งหลาย! เธอจงมีสติในกาย เวทนา จิต และธรรมอยู่ทุกเมื่อ”
(มหาสติปัฏฐานสูตร)
บทสนทนา:
ภิกษุรูปหนึ่ง: ข้าแต่พระองค์ ข้าพเจ้าถูกกิเลสครอบงำจิต คิดถึงอดีตและกังวลอนาคต
พระพุทธเจ้า: ดูก่อนภิกษุ เธอจงอยู่กับปัจจุบัน รู้เท่าทันลมหายใจของเธอ เมื่อนั้นเธอจะเห็นว่าอดีตเป็นเพียงความคิด อนาคตเป็นเพียงจินตนา จิตเธอจักสงบ
⮞ การตีความ: สติเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เห็นว่าทุกสิ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเข้าใจแจ่มแจ้ง ย่อมเกิดวิราคะ
4. สมาธิ: ความตั้งมั่นที่ทำให้ไม่หวั่นไหวในกิเลส
พุทธพจน์:
“ภิกษุผู้มีจิตตั้งมั่น ดุจเปลวเทียนที่ไม่มีลม ย่อมไม่หวั่นไหวด้วยอารมณ์”
(สมาธิสูตร, อังคุตตรนิกาย)
บทสนทนา:
พระอานนท์: ข้าแต่พระองค์ เมื่อข้าพเจ้าพบสตรีงาม จิตยังหวั่นไหวอยู่
พระพุทธเจ้า: อานนท์ จงกำหนดรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นเพียงรูป ไม่ใช่ของเธอ ไม่ใช่ของเขา เมื่อเห็นชัดเช่นนี้ จิตจักไม่หวั่นไหว
⮞ การตีความ: สมาธิช่วยให้จิตไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลส ทำให้เห็นตามจริงและเกิดวิราคะ
5. ปัญญา: ความเข้าใจแจ่มแจ้งนำไปสู่การปล่อยวาง
พุทธพจน์:
“บุคคลใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต”
(สังยุตตนิกาย 22.87)
บทสนทนา:
พระมหากัสสปะ: ข้าแต่พระองค์ อะไรคือการเห็นตถาคตโดยแท้จริง?
พระพุทธเจ้า: กัสสปะ มิใช่เห็นด้วยตา แต่คือการเห็นไตรลักษณ์ เมื่อเธอเห็นว่าไม่มีตัวตน เธอจักหลุดพ้นจากทุกข์
⮞ การตีความ: ปัญญาทำให้เกิดวิราคะ เพราะรู้ว่าทุกสิ่งเป็นของว่างเปล่า ไม่มีตัวตนให้ยึดถือ
6. ศรัทธากับปัญญาต้องไปด้วยกัน
พุทธพจน์:
“ศรัทธาที่ไม่มีปัญญา ย่อมนำไปสู่ความหลง ศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา ย่อมเป็นทางสว่าง”
(องฺ. ทสก. 10.58)
⮞ การตีความ: ศรัทธาที่ปราศจากปัญญาทำให้ตกอยู่ในอวิชชา ศรัทธาที่มีปัญญาทำให้เกิดวิราคะ
7. วิริยะที่สมดุลนำไปสู่ทางสายกลาง
พุทธพจน์:
“บุคคลใดเดินสายกลาง บุคคลนั้นย่อมเข้าถึงนิพพาน”
(มหาวรรค, วินัยปิฎก)
⮞ การตีความ: วิริยะที่สมดุลทำให้ไม่ตกไปในกามสุขหรือการทรมานตน
สรุป
อินทรีย์ 5 เป็นปัจจัยนำไปสู่วิราคะและความหลุดพ้น บทสนทนาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการฝึกฝนที่แท้จริงซึ่งพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้ปฏิบัติจนบรรลุธรรม
🪷อริยวัฑฒิ 5: คุณสมบัติแห่งอริยบุคคลและการนำไปสู่วิราคะในพุทธพจน์
อริยวัฑฒิ 5 (ariya-vaḍḍhi) คือคุณสมบัติห้าประการที่ทำให้บุคคลเจริญก้าวหน้าในธรรม เป็นปัจจัยแห่งความเป็นอริยบุคคล และเป็นหนทางสู่การดับกิเลสโดยสิ้นเชิง อริยวัฑฒิ 5 ได้แก่
1. ศรัทธา (saddhā) เชื่อมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และกฎแห่งกรรม
2. ศีล (sīla) ความประพฤติดีงาม รักษาศีลบริสุทธิ์
3. สุตะ (suta) การศึกษาและฟังธรรมมาก
4. จาคะ (cāga) การเสียสละ ละความตระหนี่
5. ปัญญา (paññā) การเห็นแจ้งในอริยสัจ 4
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต ว่า:
“ภิกษุทั้งหลาย! บุคคลผู้มีศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญา ย่อมเจริญในธรรม ย่อมก้าวหน้าสู่มรรคผล ย่อมบรรลุความหลุดพ้นจากทุกข์”
(อังคุตตรนิกาย 5.50)
อริยวัฑฒิ 5 และหนทางสู่วิราคะในพระพุทธพจน์
1. ศรัทธา: รากฐานของอริยวัฑฒิและการคลายกำหนัด
พุทธพจน์:
“ศรัทธาเป็นทรัพย์ของสัตบุรุษ ศรัทธานำบุคคลไปสู่สุขอันประเสริฐ”
(ขุททกนิกาย ธรรมบท 303)
บทสนทนา:
พระสารีบุตร: ข้าแต่พระองค์ ศรัทธาของข้าพเจ้าจะช่วยให้พ้นจากราคะได้อย่างไร?
พระพุทธเจ้า: สารีบุตร เมื่อศรัทธาของเธอตั้งมั่นในอริยสัจ 4 เธอจักเห็นว่าโลกนี้เป็นของไม่เที่ยง ความยึดติดในกามเป็นเพียงมายา เมื่อเห็นแจ่มแจ้งเช่นนี้ จิตจักคลายกำหนัด
⮞ การตีความ: ศรัทธาที่ตั้งมั่นในสัจธรรม ทำให้บุคคลละคลายจากความยึดมั่นในกามสุข และเข้าสู่เส้นทางวิราคะ
2. ศีล: ความประพฤติบริสุทธิ์นำไปสู่ความสงบและวิราคะ
พุทธพจน์:
“ศีลเป็นเครื่องชำระจิต ศีลทำให้จิตสงบ ไม่ฟุ้งซ่านในกิเลส”
(อังคุตตรนิกาย 3.14)
บทสนทนา:
พระอานนท์: ข้าแต่พระองค์ ศีลมีอานิสงส์อย่างไรต่อจิตของผู้ปฏิบัติ?
พระพุทธเจ้า: อานนท์ ผู้รักษาศีลย่อมมีจิตสงบ ไม่เดือดร้อนด้วยวิบากกรรม ไม่ฟุ้งซ่านด้วยความเร่าร้อน เมื่อจิตสงบ ย่อมเห็นสัจธรรม และละราคะได้
⮞ การตีความ: การรักษาศีลเป็นพื้นฐานของสมาธิและปัญญา เมื่อไม่มีการล่วงศีล จิตย่อมไม่ฟุ้งซ่าน และเกิดวิราคะโดยธรรมชาติ
3. สุตะ: การศึกษาธรรมทำให้เกิดปัญญาและการปล่อยวาง
พุทธพจน์:
“บุคคลผู้สดับมาก ย่อมมีปัญญา เห็นธรรมตามความเป็นจริง”
(ขุททกนิกาย ชาดก 1.312)
บทสนทนา:
ภิกษุรูปหนึ่ง: ข้าแต่พระองค์ ข้าพเจ้าฟังธรรมมากแล้ว แต่ยังไม่สามารถปล่อยวางกิเลสได้
พระพุทธเจ้า: ดูก่อนภิกษุ การฟังธรรมมาก แต่ไม่ใคร่ครวญ ย่อมเป็นเพียงถุงที่บรรจุความรู้ เธอต้องปฏิบัติตามสิ่งที่ได้ฟัง เมื่อเห็นความจริงแล้ว กิเลสย่อมจางคลาย
⮞ การตีความ: การศึกษาธรรมเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แต่การปฏิบัติตามคำสอนทำให้เกิดปัญญาแท้จริง และนำไปสู่การละวาง
4. จาคะ: การเสียสละทำให้จิตปล่อยวางและคลายความยึดติด
พุทธพจน์:
“ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้สละย่อมเป็นสุข ผู้สละความยึดมั่น ย่อมบรรลุนิพพาน”
(ขุททกนิกาย อิติวิตกะ 1.25)
บทสนทนา:
เศรษฐีอนาถบิณฑิกะ: ข้าแต่พระองค์ ข้าพเจ้าสละทรัพย์มากมายเพื่อพระศาสนา แต่จิตยังไม่สงบ
พระพุทธเจ้า: ดูก่อนอนาถบิณฑิกะ เธอให้ด้วยจิตที่ยังยึดติดหรือไม่? ถ้าสละโดยหวังสิ่งตอบแทน นั่นยังเป็นเครื่องผูกพัน หากสละด้วยจิตที่ไร้อัตตา นั่นคือทางแห่งวิราคะ
⮞ การตีความ: การให้ที่แท้จริงคือการสละอัตตา ไม่ใช่เพียงวัตถุ เมื่อไม่มีความยึดติด ก็ไม่มีสิ่งใดผูกพัน
5. ปัญญา: ความรู้แจ้งในไตรลักษณ์นำไปสู่ความสิ้นราคะ
พุทธพจน์:
“ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์สมบัติ ผู้มีปัญญาย่อมเห็นธรรม และละวางความยึดถือได้”
(อังคุตตรนิกาย 4.23)
บทสนทนา:
พระมหากัสสปะ: ข้าแต่พระองค์ สิ่งใดทำให้บุคคลละกิเลสโดยสิ้นเชิง?
พระพุทธเจ้า: กัสสปะ เมื่อบุคคลเห็นไตรลักษณ์โดยแจ่มแจ้ง ย่อมรู้ว่าไม่มีสิ่งใดควรยึดถือ เมื่อจิตไร้สิ่งยึด กิเลสทั้งปวงย่อมดับไป
⮞ การตีความ: ปัญญาที่เห็นความจริงของสรรพสิ่งนำไปสู่การคลายกำหนัด เพราะรู้ว่าไม่มีอะไรเป็นของเราโดยแท้จริง
สรุป
อริยวัฑฒิ 5 เป็นคุณสมบัติที่ทำให้บุคคลเจริญก้าวหน้าสู่ความเป็นอริยบุคคล และเป็นปัจจัยที่นำไปสู่วิราคะอย่างแท้จริง ศรัทธาสร้างพื้นฐาน ศีลทำให้จิตสงบ สุตะช่วยเพิ่มปัญญา จาคะลดความยึดมั่น และปัญญาทำให้เกิดการปล่อยวาง เมื่อฝึกฝนอย่างสมบูรณ์แล้ว กิเลสทั้งปวงย่อมดับไป และบรรลุถึงความหลุดพ้น
#Siamstr #พุทธวจนะ #พุทธวจน #ธรรมะ #nostr