What is Nostr?
SiamstrUpdate / Siamstr Update
npub1y5s…ghv6
2024-06-10 10:32:24

SiamstrUpdate on Nostr: 📚 สรุปหนังสือ When Money Dies โดย Adam Fergusson ...

📚 สรุปหนังสือ When Money Dies โดย Adam Fergusson
(ยาวมาก แนะนำให้แชร์ไว้ก่อน อ่านไปเพลินๆ จะได้ไม่หาย)
หนังสือเล่มนี้จะพาผู้อ่านย้อนกลับไปเมื่อกว่าศตวรรษที่แล้ว
ในช่วงที่โลกได้เผชิญกับภาวะเงินเฟ้อครั้งใหญ่ที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อชีวิตของผู้คน
Adam Fergusson ผู้เขียนหนังสือพบว่า
บันทึกทางประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นงานวิเคราะห์เชิงเศรษฐกิจ บันทึกเหตุการณ์ทางการเมือง หรือแม้แต่บันทึกส่วนตัว
ต่างมุ่งเน้นไปที่ "ผลกระทบ" ของภาวะเงินเฟ้อ แต่กลับละเลย
"ความรู้สึก" ของผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับเงินที่ไร้ค่า
เขาจึงเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น เพื่อต้องการพาเราย้อนกลับไปสัมผัส
"ความรู้สึก" ของผู้คนในยุคนั้น
.
✍️*หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเก่าที่ถูกเผยแพร่ในปี 1975
การใช้ภาษาจึงเป็นการใช้ภาษาเก่าทำให้อ่านค่อนข้างยาก
ต้องขอบคุณ AI ที่ทำให้การแปลและทำความเข้าใจหนังสือเล่มนี้ทำได้ง่ายขึ้น หากใครสนใจอ่านหนังสือเล่มนี้ ตอนนี้มีจำหน่ายเฉพาะในรูปแบบของภาษาอังกฤษ เนื้อหาของหนังสือมีรายละเอียดที่น่าสนใจอย่างมาก
และดูเหมือนว่ากำลังมีการแปลเป็นภาษาไทยอยู่
ถือว่าบทความนี้เป็นบทความเกริ่นนำ ให้เพื่อนๆได้สัมผัสความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ เพื่อเตรียมตัวสัมผัสความเจ็บปวดในรูปแบบภาษาไทยกันต่อไปนะ 😊
-----------------------------------------
💸 อารัมภบท
When Money Dies ย้อนรอยหายนะ เมื่อเงินไร้ค่า
จะเป็นอย่างไร ถ้าเงินที่เราถืออยู่ในมือ ค่อย ๆ สูญเสียค่าไปทุกวัน ทุกชั่วโมง หรือแม้กระทั่งทุกนาที
ข้าวของที่เคยซื้อได้ กลับกลายเป็นสิ่งที่เราเอื้อมไม่ถึง ชีวิตที่เคยมั่นคง พังทลายลงต่อหน้าต่อตา ความหวาดกลัว ความสิ้นหวัง และความโกลาหลแผ่ซ่านไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
นี่คือภาพสะท้อนของเยอรมนีภายใต้สาธารณรัฐไวมาร์
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 1923
.
Adam Fergusson ไม่ได้ต้องการเล่าแค่เรื่องราวของเงินเฟ้อในเชิงเศรษฐกิจ เขาต้องการพาเราเข้าไปสัมผัสกับ "บาดแผล" ในใจของผู้คน
ที่ต้องทนทุกข์กับภาวะเงินเฟ้อรุนแรง
บันทึกทางประวัติศาสตร์มักจะมองข้าม "เสียง" ของพวกเขา มุ่งเน้นไปที่ตัวเลข เหตุการณ์ หรือผลกระทบในภาพรวม
.
เขาจึงเลือกที่จะบอกเล่าเรื่องราวผ่านมุมมองของ "มนุษย์"
โดยชี้ให้เห็นว่า เงินเฟ้อ ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้น แต่เป็นความรู้สึกที่ดำดิ่งลงสู่ห้วงลึกของความสิ้นหวัง ความสัมพันธ์พังทลายลง สังคมแตกแยก ความเกลียดชังที่บ่มเพาะอยู่ในใจผู้คน
.
เขาพาเราย้อนไปดูจุดเริ่มต้นของหายนะ จากการที่รัฐบาลเยอรมันใช้นโยบายการเงินที่ผิดพลาด การพิมพ์ธนบัตรอย่างไร้การควบคุม เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายมหาศาลจากสงคราม และภาระหนี้สินจากสนธิสัญญาแวร์ซาย
.
เราจะได้เห็นการทำงานของ เงินเฟ้อ ว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนไปอย่างไร
ชนชั้นกลางที่เคยมั่นคง ต้องสูญเสียเงินออมทั้งหมด ต้องขายทรัพย์สิน เพื่อแลกกับอาหารเพียงเล็กน้อย ในขณะที่พ่อค้าฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า เก็งกำไรค่าเงิน ความเหลื่อมล้ำทางสังคมขยายตัวอย่างรวดเร็ว
.
ความอดอยาก ความยากจน ความรุนแรง บีบบังคับให้ผู้คนละทิ้งคุณธรรม พวกเขาเห็นแก่ตัว โทษคนอื่น และมองหาผู้นำที่แข็งกร้าวที่จะมาแก้ไขปัญหา
.
การเดินทางผ่านหน้าประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ เป็นการชี้ให้เห็นถึง
"บทเรียนอันล้ำค่า" ที่เราต้องเรียนรู้จากอดีต เพื่อที่จะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย และเพื่อปกป้องสังคมของเราจากความอันตรายของภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรง
-----------------------------------------
💸 จากทองคำ สู่ ธนบัตรไร้ค่า จุดเริ่มต้นของหายนะในไวมาร์
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 จะเริ่มขึ้น
ค่าเงินมาร์กเยอรมันแข็งแกร่ง ใกล้เคียงกับเงินปอนด์อังกฤษ ฟรังก์ฝรั่งเศส และลีราอิตาลี
แต่ใครจะคาดคิดว่า ภายในเวลาไม่ถึงสิบปี เงินมาร์กจะกลายเป็นเศษกระดาษ ที่มีแลกเปลี่ยน 1 ล้านล้านมาร์ก ต่อ 1 ปอนด์
.
ผู้เขียนได้พาเราย้อนกลับดู จุดเริ่มต้นของหายนะ
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914-1918) รัฐบาลเยอรมันภายใต้การนำของคาร์ล เฮ็ลฟเฟร็ค เลือกใช้นโยบายการเงินที่สุ่มเสี่ยง
พวกเขาตัดสินใจพิมพ์ธนบัตรเพื่อระดมทุนสำหรับสงคราม แทนการขึ้นอัตราภาษี
ผ่านกลไกที่เรียกว่า "ธนาคารเงินกู้" ที่สามารถกู้เงินได้อย่างไม่จำกัด เพียงแค่สั่งพิมพ์ธนบัตรออกมา
.
แนวคิดนี้เหมือนกับการสร้าง "บ่อน้ำ" ที่ไม่มีวันเหือดแห้ง
รัฐบาลสามารถนำเงินไปใช้ได้ตามใจชอบ ทั้งสนับสนุนภาคธุรกิจ รัฐบาลท้องถิ่น และ กองทัพ
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่กำลังซื้อกลับลดลง ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น กลายเป็นภาวะเงินเฟ้อ
.
และเมื่อสงครามสิ้นสุดลง รัฐบาลไวมาร์ ที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่ กลับสานต่อนโยบายการเงินที่ผิดพลาดนี้ พวกเขามองว่า เงินเฟ้อ เป็นเพียง "ผลข้างเคียง" จากความเสียหายของสงคราม และภาระหนี้สินจากสนธิสัญญาแวร์ซาย
พวกเขาไม่เข้าใจ หรือ อาจจะไม่ยอมรับว่าแท้จริงแล้ว
การพิมพ์ธนบัตรอย่างไร้การควบคุม นั้นคือ "ต้นตอ" ที่แท้จริงของปัญหา
ยิ่งพิมพ์มากเท่าไหร่ ค่าเงินก็ยิ่งลดลงมากเท่านั้น
-----------------------------------------
💔 ภาพอันเจ็บปวดบนท้องถนนแห่งความสิ้นหวัง
สงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่เพียงแค่ทำลายล้างบ้านเมืองและคร่าชีวิตผู้คน
แต่ยังทิ้งบาดแผลลึกในจิตใจของผู้รอดชีวิต โดยเฉพาะในออสเตรีย
ประเทศที่เคยยิ่งใหญ่ในฐานะจักรวรรดิฮับส์บูร์ก ตอนนี้เหลือเพียงแค่เศษซากของความเจริญรุ่งเรือง
.
กรุงเวียนนา เมืองหลวงที่เคยเต็มไปด้วยความหวัง
ตอนนี้มันถูกอาบไปด้วยความสิ้นหวัง ผู้คนอดอยาก สินค้าขาดแคลน เงินที่ถืออยู่ในมือ แทบจะซื้ออะไรไม่ได้อีกแล้ว
ภาพยนตร์เรื่อง "The Joyless Street" ที่นำแสดงโดย Greta Garbo สะท้อนภาพชีวิตอันโหดร้ายในยุคนั้นได้อย่างชัดเจน
ฉากการต่อแถวซื้ออาหาร การกักตุนสินค้า การใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยของคนรวย ความยากจนข้นแค้นของคนจน
.
Anna Eisenmenger หญิงม่ายชนชั้นกลาง ได้บันทึกเรื่องราวลงในสมุดบันทึก เผยให้เห็นความเจ็บปวดของเธอ ที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เธอต้องขายทรัพย์สมบัติ ต้องแลกเปลี่ยนสิ่งของ เพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร
.
"ฉันต้องพยายามเชื่อว่า... ฉันยังโชคดีกว่าผู้หญิงอีกหลายแสนคน อย่างน้อย ฉันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน และยังสามารถช่วยเหลือลูก ๆ ได้ เพราะฉันมีเงินเก็บ ที่ลงทุนไว้อย่างปลอดภัยในพันธบัตรรัฐบาล ขอบคุณพระเจ้า!"
.
แต่แล้วความหวังของเธอก็พังทลายลง เมื่อค่าเงินครอนของออสเตรีย
เสื่อมค่าลงอย่างรุนแรง เงินออมของเธอแทบจะไร้ค่า ความมั่นคงในชีวิตที่เธอเคยมี มันได้อันตรธานหายไปเสียแล้ว
.
บันทึกของ Anna ได้สะท้อนให้เห็นถึงความทุกข์ยาก ความหวาดกลัว และความไม่แน่นอน ที่ผู้คนในยุคนั้นต้องเผชิญ
พวกเขาไม่รู้ว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่า จะทำอย่างไร เพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้
-----------------------------------------
🧾ใบเรียกเก็บจากสงคราม ที่เยอรมนีต้องชดใช้
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง เยอรมนีต้องเผชิญกับ ค่าใช้จ่ายอันหนักหน่วงจากสนธิสัญญาแวร์ซาย ไม่เพียงแค่การสูญเสียดินแดนและกำลังทหาร
แต่ยังรวมถึง "ค่าปฏิกรรมสงคราม" ที่มากมายมหาศาลจนสร้างความบอบช้ำให้กับเศรษฐกิจของประเทศ
.
เยอรมนีต้องแบกรับภาระค่าปฏิกรรมสงคราม ที่คิดเป็นมูลค่ามหาศาลถึง 132,000 ล้านมาร์กทองคำ หรือราว 6,600 ล้านปอนด์
เมื่อรวมกับปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงสงคราม
เศรษฐกิจเยอรมันจึงเข้าสู่ภาวะวิกฤต ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ค่าเงินมาร์กอ่อนค่าลงเรื่อยๆ
.
ในขณะที่ชนชั้นแรงงานพอจะประท้วงเรียกร้องค่าแรงเพิ่มได้
แต่ชนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อย ต่างต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างแสนสาหัส เงินออมที่พวกเขาเก็บสะสมมาทั้งชีวิต กลับกลายเป็นเศษกระดาษไร้ค่า
.
บันทึกของกงสุลอังกฤษในเมือง Leipzig เผยให้เห็นภาพความแตกต่าง "คนงานได้รับค่าแรงเพิ่มขึ้น 8-10 เท่า เมื่อเทียบกับก่อนสงคราม
ในขณะที่เงินเดือนของข้าราชการ เพิ่มขึ้นเพียง 2-4 เท่า ทั้งๆ ที่ค่าครองชีพสูงขึ้นถึง 10 เท่า"
.
เรื่องราวในบทนี้เป็นเหมือน "สัญญาณเตือน" ถึงหายนะ
เมื่อรัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และประชาชนต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง จาก "ใบเรียกเก็บ" ที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนก่อ
-----------------------------------------
🌪️ วังวนแห่งตัวเลขพันล้าน เงินเฟ้อที่กำลังกลืนกินเยอรมนี
ในปี ค.ศ. 1921 วิกฤตเงินเฟ้อในเยอรมนีรุนแรงขึ้นทุกขณะ
ค่าเงินมาร์กดิ่งลงเหวอย่างไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดลง
ผู้คนเริ่มพูดถึงตัวเลข "พันล้าน" กันจนติดปาก
Walter Rathenau รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ถึงกับอุทานว่า นี่คือ "Delirium of Milliards" ภาวะเพ้อคลั่งตัวเลขพันล้าน!
.
เขาเปรียบเทียบว่า พันล้านมันเยอะขนาดไหน? ใบไม้ในป่ามีพันล้านใบไหม? ต้นข้าวสาลีในสวน Tiergarten มีพันล้านต้นหรือเปล่า?
ตัวเลขเหล่านี้มันไกลเกินกว่าจินตนาการของคนทั่วไป
.
แต่สำหรับนักการเมืองและนายธนาคาร พวกเขากลับคุ้นเคยกับตัวเลขพันล้านมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามันเป็นแค่ตัวเลขบนกระดาษ ไม่ใช่เงินที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คน
.
เงินเฟ้อ กลายเป็น "โรคระบาด" ที่กัดกินสังคมเยอรมัน ชนชั้นกลาง ข้าราชการ และผู้มีรายได้น้อย ต้องทนทุกข์กับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น
เงินออมที่พวกเขาเก็บสะสมมา ตอนนี้มันไร้ค่าลงเสียแล้ว
.
ในขณะที่คนรวย นักเก็งกำไร ฉวยโอกาส กอบโกยผลประโยชน์จากวิกฤต พวกเขาซื้อสินทรัพย์ เก็งกำไรค่าเงิน สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง
ขณะที่คนจน ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
.
ในมิวนิค ชาวเมืองเดือดร้อนอย่างหนัก ราคาอาหารพุ่งสูง
เกษตรกรกักตุนสินค้า หวังขายในราคาแพง
มันผลักดันความโกรธแค้นของประชาชน ให้พุ่งเป้าไปที่รัฐบาล ที่ถูกมองว่า เข้าข้างกลุ่มทุน
ความไม่พอใจ นำไปสู่การลอบสังหาร Erzberger รัฐมนตรีคลัง
ที่ถูกมองว่า เป็น "คนทรยศ" เพราะยอมลงนามในสนธิสัญญาแวร์ซาย
.
รัฐบาลพยายามแก้ปัญหาด้วยการขึ้นภาษี พิมพ์ธนบัตรเพิ่ม
และออกกฎหมายควบคุมราคา แต่ทุกมาตรการ กลับยิ่งตอกย้ำทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก
.
ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นว่า วิกฤตในครั้งนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของเศรษฐศาสตร์
แต่เป็นเรื่องราว "ความรู้สึก" ของผู้คนที่ถูกความสิ้นหวัง กลืนกิน จนมองไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
-----------------------------------------
🎢 ดิ่งเหวสู่หายนะ เมื่อเงินเฟ้อเกินควบคุม
ปี ค.ศ. 1922 เยอรมนีเหมือนคนป่วยที่อาการทรุดหนักลงทุกวัน
"เงินเฟ้อ" ที่เคยเป็นแค่ปัญหาเล็กๆ
บัดนี้ลุกลามกลายเป็น "มะเร็งร้าย" ที่กัดกินเศรษฐกิจและสังคม จนยากจะเยียวยา
.
รัฐบาลพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการออกกฎหมายควบคุมราคา ปราบปรามพ่อค้าที่ฉวยโอกาส ขึ้นราคาสินค้า แต่มันเหมือนการเอาผ้าปิดแผลที่เน่าเฟะเอาไว้ไม่ให้คนเห็นความเละเทะนั้น
.
นักการเมือง นายธนาคาร และแม้กระทั่งประชาชน ต่างก็ "หลงทาง" ในวังวนของเงินเฟ้อ
พวกเขามัวแต่โทษปัจจัยภายนอก เช่น ค่าปฏิกรรมสงคราม การเก็งกำไรของต่างชาติ โดยไม่ยอมรับว่า การพิมพ์ธนบัตรอย่างไร้การควบคุม คือต้นตอที่แท้จริงของปัญหา
.
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1920 ค่าเงินมาร์ก ดิ่งลงเหวจาก 1 มาร์ก ต่อ 240 ปอนด์ กลายเป็น 1 มาร์ก ต่อ 1,040 ปอนด์ ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1921 และร่วงลงไปอีก จนแตะระดับ 1 มาร์ก ต่อ 1,300 ปอนด์ ในปลายเดือนเดียวกัน
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึง "ความวิกลจริต" ของระบบเศรษฐกิจ
ที่เงิน ไม่สามารถทำหน้าที่เป็น "มาตรวัด" มูลค่าของสินค้าและบริการได้อีกต่อไป
.
แอปเปิ้ล 1 ผล ที่เคยซื้อได้ในราคา 1 มาร์ก กลับกลายเป็นว่า ต้องใช้เงินถึง 1,300 มาร์ก มันจะเกิดอะไรขึ้น?
แน่นอนว่ามันสร้างความทุกข์ยาก ความอดอยาก และความสิ้นหวัง แผ่ซ่านไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
.
ในขณะที่คนงานยังพอที่จะต่อรองค่าแรงเพิ่มได้
แต่ชนชั้นกลาง ข้าราชการ และผู้มีรายได้น้อย กลัยต้องกัดฟัน ทนทุกข์กับเงินเดือน ที่แทบจะซื้ออะไรไม่ได้เลย
เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังอังกฤษได้ บันทึกไว้ว่า
เงินบำนาญของข้าราชการเยอรมัน ที่เคยมีมูลค่าเทียบเท่า 500 ปอนด์
ก่อนสงคราม บัดนี้เหลือเพียง 10 ปอนด์ หรือซื้อของได้จริงไม่ถึง 30 ปอนด์
.
ส่วนหนึ่งในบันทึกความสิ้นหวังของ Anna Eisenmenger เขียนไว้ว่า
"รัฐบาล ถูกบังคับให้พิมพ์ธนบัตร 10,000 ครอน ออกมาใช้ ซึ่งเท่ากับรายได้ 2 ปี จากเงินลงทุนของฉัน ชุดสูทราคาแพงขึ้น 6 เท่า แต่ราคาอาหาร บางอย่างแพงขึ้นถึง 100-200 เท่า ฉันไม่เคยคิดเลยว่า เงิน 10,000 ครอน จะซื้ออะไรได้น้อยขนาดนี้"
-----------------------------------------
☀️ Summer of '22 ฤดูร้อนที่เดือดพล่าน
ฤดูร้อนปี 1922 ของเยอรมนี ไม่ได้อบอุ่นสดใสเหมือนเคย
แต่กลับร้อนระอุไปด้วยความสิ้นหวัง ความโกรธแค้น และความรุนแรง
ที่เกิดจากภาวะเงินเฟ้อ มหันตภัยที่คุกคามชีวิตของผู้คนทุกหย่อมหญ้า
.
จุดเปลี่ยนสำคัญ เกิดขึ้นเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ผู้สนับสนุนการชำระหนี้ค่าปฏิกรรมสงคราม ถูกลอบสังหารอย่างโหดเหี้ยม เหตุการณ์นี้ สะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกทางการเมือง และความรุนแรง ที่กำลังก่อตัวขึ้นในสังคมเยอรมัน
.
ค่าเงินมาร์ก ที่อ่อนแออยู่แล้ว ดิ่งลงเหวอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
ราคาสินค้าก็พุ่งสูงขึ้น ตามค่าเงินที่ร่วงลง สิ่งของที่เคยซื้อได้ในราคาไม่กี่มาร์ก บัดนี้ ต้องใช้เงิน "หลายพัน" "หลายหมื่น" หรือแม้กระทั่ง "หลายแสน" มาร์ก
.
ความทุกข์ยาก ความอดอยาก และความสิ้นหวัง ย่อมแผ่ซ่านไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ชนชั้นกลาง ข้าราชการ และผู้มีรายได้น้อย ต้องดิ้นรน เพื่อความอยู่รอด
พวกเขาต้องขายทรัพย์สมบัติ ต้องกู้หนี้ยืมสิน เพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัย
ในขณะที่คนรวย นักเก็งกำไร และ นักอุตสาหกรรม กลับฉวยโอกาส กอบโกยผลประโยชน์จากวิกฤต
.
ในชนบท เกษตรกรกักตุนผลผลิต และปฏิเสธที่จะรับ "เงินมาร์ก" ที่ไร้ค่า พวกเขาต้องการแลกเปลี่ยนกับ "สินค้า" หรือ "เงินตราต่างประเทศ" เท่านั้น
.
Fergusson พาเราไปสัมผัสกับความรู้สึกของ Erna von Pustau หญิงสาวชาวเยอรมัน ที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก ในช่วงฤดูร้อนปี 1922
"ค่าแรงของฉันทั้งหมด ไม่พอซื้อกาแฟ 1 แก้ว
พ่อของเธอ ที่เคยเป็นนักธุรกิจที่มั่นคง ตอนนี้ต้องขายบ้าน ขายเฟอร์นิเจอร์ เพื่อนำเงินมาใช้จ่าย แต่สุดท้ายเงินที่ได้มาก็ถูกเงินเฟ้อกลืนกินไปอย่างรวดเร็ว
มันเหมือน 'ความบ้าคลั่ง' และมันทำให้ผู้คน 'บ้าคลั่ง' ตามไปด้วย" เธอเล่า
-----------------------------------------
💔 มรดกแห่งความสิ้นหวัง เมื่อออสเตรียล่มสลาย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ที่เคยยิ่งใหญ่ล่มสลายลง เหลือไว้เพียงเศษซากที่เรียกว่า
สาธารณรัฐออสเตรีย ประเทศเล็กๆ ที่ไร้ซึ่งอำนาจ ทรัพยากร และความหวัง
.
เงินเฟ้อ ที่เคยเป็นปัญหาในช่วงสงคราม บัดนี้ ลุกลามกลายเป็นหายนะ
ค่าเงินครอน ดิ่งลงเหว ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นทุกวัน ทุกชั่วโมง
ผู้คนต่างพากันตื่นตระหนก
.
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1921
1 ปอนด์ ยังแลกได้ 2,000 ครอน แต่เพียงหนึ่งปีต่อมา
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1922
1 ปอนด์ กลับมีค่าเพียงแค่ 35,000 ครอน
.
เลขานุการฝ่ายการพาณิชย์ ประจำสถานทูตอังกฤษในกรุงเวียนนา
เปรียบเทียบว่าชาวออสเตรีย เป็นเหมือน 'ลูกเรือ' บนเรือไม้ที่กำลังจะจม พวกเขาส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ
แต่ในขณะเดียวกันต่างก็แอบตัดไม้ออกจากเรือ มาทำแพเพื่อเอาตัวรอด
.
ความเห็นแก่ตัว ความหวาดกลัว และความสิ้นหวัง กัดกินสังคมออสเตรีย ผู้คนไม่เชื่อมั่นในรัฐบาล ไม่เชื่อมั่นในกันและกัน
ชนชั้นกลาง ที่เคยมั่นคง ต้องสูญเสียเงินออมทั้งหมด พวกเขาต้องขายทรัพย์สมบัติ ต้องแลกเปลี่ยนสิ่งของ เพื่อให้ได้มาซึ่งอาหาร
.
Anna บันทึกความทุกข์ยากไว้ในสมุดบันทึกว่า
"ราคาชุดสูท แพงขึ้น 6 เท่า แต่ราคาอาหารบางอย่าง แพงขึ้นถึง 100-200 เท่า ธนบัตร 10,000 ครอน แทบจะซื้ออะไรไม่ได้เลย"
.
เธอต้องขายเปียโนแลกกับแป้งสาลี 1 กระสอบ
ต้องขายนาฬิกาทองคำของสามี แลกกับมันฝรั่ง 4 กระสอบ
ชาวเวียนนา ยื่นธนบัตรครอน เป็นปึก ๆ ให้กับพ่อค้า
แต่พวกเขากลับคิดว่าตัวเองรวยขึ้น โดยไม่รู้เลยว่า ค่าของเงินมันลดลงทุกวัน
.
ในที่สุดรัฐบาลออสเตรีย ก็ยอมจำนนต่อความสิ้นหวัง
พวกเขาขอความช่วยเหลือจากชาติมหาอำนาจ
ยอมแลกเอกราช เพื่อแลกกับเงินกู้และความอยู่รอดของประเทศ
-----------------------------------------
🍂 ฤดูใบไม้ร่วงแห่งความอลหม่าน เงินกระดาษที่กำลังไร้ค่า
ฤดูใบไม้ร่วงปี 1922 ของเยอรมนี นั้นราวกับฉากในภาพยนตร์สยองขวัญ ผู้คนวิ่งไล่คว้าเศษกระดาษที่เรียกว่าเงินที่กำลังสูญสิ้นมูลค่าในตัวเอง
.
ค่าเงินมาร์ก ยังดิ่งลงเหวอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น จนยากจะติดตามได้
รัฐบาล พิมพ์ธนบัตรออกมาอย่างท่วมท้น แต่ยิ่งพิมพ์มากเท่าไหร่ ค่าเงินก็ยิ่งลดลง กลายเป็นวงจรอุบาทว์ ที่ไม่มีวันสิ้นสุด
.
เกษตรกรกลายเป็นผู้ชนะ ในเกมแห่งเงินเฟ้อ
พวกเขากักตุนผลผลิต ปฏิเสธที่จะรับเงินมาร์ก และรอแลกเปลี่ยนกับสินค้า หรือเงินตราต่างประเทศที่มีมูลค่าคงที่มากกว่า
.
ขุนนางชาวเยอรมัน เล่าว่า เขาซื้อที่ดินผืนใหม่ ด้วยเงิน 4 ล้านมาร์ก ซึ่งตอนนั้นเทียบเท่ากับเงิน 4,500 ปอนด์
แต่เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง เขาขายมันฝรั่งเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของไร่ แต่กลับได้เงินมากถึง 8 ล้านมาร์ก
นี่คือความวิกลจริตของเงินเฟ้อ ที่ทำให้มูลค่าสิ่งของเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและคาดเดาไม่ได้
.
ชนชั้นกลางและผู้มีรายได้น้อย ต่างต้องทนทุกข์ กับค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้น เงินออมที่พวกเขาเก็บสะสมมา กลับกลายเป็น "เศษกระดาษ"
แต่นักอุตสาหกรรมและเกษตรกลับเฟื่องฟู พวกเขากู้ยืมเงินมาร์กจำนวนมหาศาล ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อขยายโรงงาน ซื้อเครื่องจักร และ กักตุนวัตถุดิบ
.
หลายคนสงสัยว่า ทำไมพวกเขาถึงกล้าลงทุนในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลัง พังทลาย?
คำตอบคือ เพราะพวกเขารู้ว่า "เงินเฟ้อ" จะช่วยล้างหนี้สินที่พวกเขากู้ยืมมา
และทำให้ราคาสินทรัพย์ ที่พวกเขาถือครองมีราคาสูงขึ้นในอนาคต
-----------------------------------------
🔥 การต่อสู้แห่งศักดิ์ศรี เพลิงสงครามทางเศรษฐกิจ
ปี 1923 เยอรมนีกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของหายนะ ค่าเงินมาร์กไร้ค่า ประชาชนอดอยาก รัฐบาลสิ้นหนทาง
.
แต่แล้วประกายไฟแห่งความหวัง ก็ลุกโชนขึ้น
เมื่อฝรั่งเศสและเบลเยียม ตัดสินใจบุกยึดแคว้นรูห์ (Ruhr)
ศูนย์กลางอุตสาหกรรม ที่เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจเยอรมัน
.
การกระทำอันยโสโอหังนี้ ปลุกจิตวิญญาณแห่งความรักชาติ
ให้ลุกโชนขึ้นในใจชาวเยอรมัน ทุกคนสามัคคีกัน เพื่อต่อต้านศัตรู
รัฐบาลประกาศนโยบายการต่อต้านแบบไม่รุนแรง หรือ Ruhrkampf
โดยยุยงให้คนงานหยุดงานประท้วง และก่อวินาศกรรมต่อระบบสาธารณูปโภค ที่ฝรั่งเศสเข้าควบคุม
.
สะพานทางรถไฟ และคลองส่งน้ำ ถูกระเบิดเป็นระยะ ทำให้ขบวนรถไฟของฝรั่งเศสตกราง โรงงานปิดตัวลง เหมืองถ่านหินหยุดผลิต เศรษฐกิจหยุดชะงัก
แต่หัวใจของชาวเยอรมันกลับแข็งแกร่ง พวกเขาพร้อมเสียสละเพื่อปกป้อง ศักดิ์ศรีของชาติ
.
แน่นอนว่า Ruhrkampf ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจของเยอรมัน
รัฐบาล สูญเสียรายได้มหาศาลจากภาษีและการส่งออก
คนงาน ตกงาน ประชาชนอดอยาก แต่พวกเขาก็ยังยืนหยัดต่อสู้
เพราะเชื่อว่านี่คือสงครามเพื่อศักดิ์ศรีของชาติ
.
ฝรั่งเศสก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน พวกเขาตอบโต้ด้วยการจับกุม เนรเทศ และ ใช้กำลังกับผู้ต่อต้าน
"Ruhrkampf" กลายเป็นเพลิงสงครามทางเศรษฐกิจ ที่เผาผลาญทั้งเยอรมนีและฝรั่งเศส
.
รัฐบาลเยอรมันที่หมดหนทาง พวกเขาพิมพ์ธนบัตรออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เพื่อสนับสนุนคนงานในแคว้นรูห์ ให้หยุดงานต่อไป
ผลลัพธ์ของการกระทำนี้ ทำให้เงินเฟ้อรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ในวันคริสต์มาส ปี 1922
1 ปอนด์ มีค่าเท่ากับ 35,000 มาร์ก
แต่เพียง 3 สัปดาห์ต่อมา ในวันที่ 15 มกราคม ค.ศ. 1923
1 ปอนด์ กลับมีค่าเท่ากับ 140,000 มาร์ก
-----------------------------------------
🔥 ฤดูร้อนสุดระทึก ก่อนทุกอย่างจะพังทลาย
ฤดูร้อนปี 1923 ของเยอรมนี ร้อนระอุ ยิ่งกว่าเปลวเพลิงที่เผาผลาญแคว้นรูห์
ค่าเงินมาร์กนั้นไร้ค่า ดิ่งลงเหว ชนิดที่ว่า "เช้า" ราคาหนึ่ง "บ่าย" อีกราคา
คนงานต้องถือตะกร้าไปรับค่าแรง แล้วรีบวิ่งไปซื้อของก่อนที่เงินในมือจะไร้ค่า
.
ในเดือนพฤษภาคม เงิน 1 ปอนด์ มีค่าเท่ากับ 220,000 มาร์ก
แต่เพียง 1 เดือนต่อมา ในเดือนมิถุนายน
เงิน 1 ปอนด์ กลับมีค่าเท่ากับ 320,000 มาร์ก
.
ชีวิตของผู้คนพังทลายลงต่อหน้าต่อตา
ชนชั้นกลางที่เคยมั่นคงกลายเป็นคนยากจน
ข้าราชการต้องขายทรัพย์สมบัติเพื่อประทังชีวิต
แม้แต่คนงานที่เคยเอาตัวรอดได้ ก็เริ่มเดือดร้อน
เพราะค่าแรงที่ได้รับมันไม่ทันกับราคาสินค้าที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
.
พวกเขาโกรธแค้นรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ โกรธแค้นนายทุนที่ฉวยโอกาส กอบโกยผลประโยชน์ และโกรธแค้นฝรั่งเศสที่ ยึดครองแคว้นรูห์
Reichsbank ธนาคารกลางของเยอรมนีสูญเสียทุนสำรองทองคำไปจนเกือบหมด พวกเขาหมดหนทางที่จะพยุงค่าเงินมาร์กอีกต่อไปแล้ว
ผู้คนแห่ไปแลกเงินมาร์ก เป็นเงินตราต่างประเทศหรือสินค้าที่มีมูลค่าคงที่ เช่น ทองคำ อัญมณี หรือ งานศิลปะ
.
Ernest Hemingway นักเขียนชาวอเมริกัน ที่เดินทางไปเยอรมนี ในช่วงเวลานั้น บรรยายว่า
"ผู้คนกลัวว่าเงินในมือจะไร้ค่า พวกเขารีบใช้มันก่อนที่จะสายเกินไป"
-----------------------------------------
🤵‍♂️ Havenstein
ในฤดูร้อนปี 1923 มีชายคนหนึ่ง ที่ถูกจารึกชื่อไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ ในฐานะบุคคลสำคัญ ที่อยู่เบื้องหลังหายนะครั้งนี้
เขาคือ Dr. Havenstein ประธาน Reichsbank
ธนาคารกลางเยอรมัน ผู้นำนโยบายพิมพ์เงินอย่างไม่หยุดยั้ง จนนำไปสู่จุดจบของค่าเงินมาร์ก
.
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1923
เขาประกาศอย่างภาคภูมิใจว่า Reichsbank จะเพิ่มปริมาณการพิมพ์ธนบัตรเป็น 46,000 ล้านล้านมาร์กต่อวัน
ตัวเลขนี้คิดเป็น "สองในสาม" ของปริมาณเงินทั้งหมด ที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ ณ ขณะนั้น
.
นักเศรษฐศาสตร์ นักการเมือง ต่างก็ตื่นตระหนก
พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ Havenstein อย่างรุนแรงว่า
เป็นคนโง่เขลาที่ไม่เข้าใจหลักการทางเศรษฐศาสตร์
.
Havenstein ไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เขายังคงเชื่อมั่นในนโยบายของตัวเอง ว่าการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนเงินสด และกระตุ้นเศรษฐกิจ
แต่ความจริงที่โหดร้าย ก็คือ ยิ่งพิมพ์มากเท่าไหร่ ค่าเงินก็ยิ่งลดลงมากเท่านั้น
.
ในวันแรกของเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1923
1 ปอนด์ มีค่าเท่ากับ 800,000 มาร์ก
แต่เพียง 1 เดือนต่อมา ในเดือนสิงหาคม
1 ปอนด์ กลับมีค่าเท่ากับ 5,200,000 มาร์ก
ชีวิตของชาวเยอรมัน ตกอยู่ในความโกลาหล
ผู้คนแตกตื่นกักตุนสินค้า แลกเปลี่ยนสิ่งของ ปล้นสะดมร้านค้า
และ ทำร้ายกันเอง
รัฐบาลหมดหนทาง พวกเขาไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อีกต่อไป
-----------------------------------------
🕳️ ก้นบึ้งแห่งหายนะ
เดือนกันยายน 1923 เยอรมนีดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของหายนะ ราคาเพิ่มขึ้นแบบนาทีต่อนาที
.
ในวันที่ 11 กันยายน เงิน 1 ปอนด์ ยังแลกได้ 315 ล้านมาร์ก
แต่เพียง 3 สัปดาห์ต่อมา ในวันที่ 2 ตุลาคม เงิน 1 ปอนด์ กลับมีค่าเท่ากับ 1,500 ล้านมาร์ก!
.
เยอรมนีสิ้นหวัง พวกเขาหมดศรัทธา ในรัฐบาล ในระบบเศรษฐกิจ และในอนาคตของตัวเอง
ชนชั้นกลางล่มสลาย ข้าราชการอดอยาก คนงานตกงาน
เศรษฐกิจหยุดชะงัก สังคมแตกแยก
ความรุนแรงปะทุขึ้นทั่วประเทศ การประท้วง การปล้นสะดม และการจลาจล เกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า
.
Stresemann นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ตัดสินใจประกาศภาวะฉุกเฉิน
และมอบอำนาจ ให้กับกองทัพเข้าควบคุมประเทศ
เยอรมนีตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหาร
และยังประกาศยุตินโยบายการต่อต้านแบบไม่รุนแรงในแคว้นรูห์
ยอมจำนนต่อฝรั่งเศส เพื่อยุติสงครามเศรษฐกิจ ที่บั่นทอนประเทศชาติ
การตัดสินใจนี้ สร้างความผิดหวังให้กับชาวเยอรมันจำนวนมาก
ที่ต่อสู้มาอย่างยาวนาน พวกเขารู้สึกว่ารัฐบาลทรยศต่อศักดิ์ศรีของชาติ
.
ผู้เขียนบรรยายภาพ "ความโกลาหล" ในช่วงปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 1923 ได้อย่างน่าสะพรึงกลัว
คนงานอดอยาก เงินที่ไร้ค่า พวกเขาขาดแคลนอาหาร
แม่บ้าน ต่อแถวยาวเหยียดเพื่อซื้อไส้กรอก ในราคาที่แพงขึ้นทุกนาที
พ่อค้าขึ้นราคาสินค้าชนิดที่ว่า ลูกค้าสั่งกาแฟแก้วหนึ่ง
ที่ราคา 5,000 มาร์ก แต่พอดื่มเสร็จกลับต้องจ่ายที่ราคาใหม่ 8,000 มาร์ก
-----------------------------------------
🧙‍♂️ ผู้ปลุกชีพเงินมาร์ก จากเศษกระดาษไร้ค่า สู่ความหวังครั้งใหม่
เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1923 Dr. Schacht นายธนาคารผู้ชาญฉลาด
ได้รับการแต่งตั้งเป็น "ผู้ดูแลค่าเงินแห่งชาติ"
เขาได้รับภารกิจสำคัญ ในการปลุกชีพเงินมาร์กจากเศษกระดาษไร้ค่า
.
Schacht เข้าใจหัวใจของปัญหา เขารู้ว่าการพิมพ์ธนบัตรอย่างไร้การควบคุมคือ ต้นตอของหายนะ
เขาสั่งหยุด การพิมพ์ธนบัตรทันที และ ประกาศนโยบายปฏิรูปค่าเงินครั้งใหญ่
แผนการของเขา คือการสร้างเงินใหม่ ที่เรียกว่า "Rentenmark"
โดยมี "ทองคำ" และ "สินทรัพย์" ของรัฐบาล เป็นหลักประกัน
.
Rentenmark ไม่ได้ถูกพิมพ์ออกมาโดย Reichsbank
แต่ถูกออกโดย Rentenbank ธนาคารใหม่ ที่ Schacht ก่อตั้งขึ้น
เพื่อควบคุมปริมาณเงิน และ สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน
.
ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1923
Schacht ประกาศกำหนดค่าเงินมาร์กใหม่ โดย 1 Rentenmark มีค่าเท่ากับ 1 ล้านล้านมาร์กเดิม!
นี่คือการล้างกระดานหนี้ครั้งใหญ่ ที่ทำให้หนี้สินของรัฐบาล และเงินออมของประชาชน แทบจะหายวับไปในพริบตา
มาตรการนี้สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้คนจำนวนมาก
.
แต่ Schacht เชื่อว่า นี่คือความเจ็บปวดที่จำเป็นเพื่อรักษาประเทศชาติและ ผลของมันทำให้ค่าเงินมาร์กมีเสถียรภาพมากขึ้น ราคาสินค้าหยุดพุ่งสูงแบบนาทีต่อนาที
สินค้ากลับมาวางขายในท้องตลาด ผู้คนไม่ต้องต่อแถวยาวเหยียด เ
พื่อซื้ออาหารอีกต่อไป
.
Lord D’Abernon เอกอัครราชทูตอังกฤษ ประจำกรุงเบอร์ลิน บรรยายว่า "Rentenmark คือ 'ไม้กายสิทธิ์' ที่ Schacht ใช้ 'ปลุกชีพ' เศรษฐกิจเยอรมัน"
-----------------------------------------
🥶 ราคาของความมั่นคง เมื่อเสถียรภาพ นั้นต้องแลกกับการตกงาน
ปี 1924 เยอรมนีเหมือนคนป่วยที่เพิ่งฟื้นจากอาการโคม่า
แม้เงินเฟ้อจะถูกควบคุมได้ แต่บาดแผลยังคงสาหัส
.
เศรษฐกิจซบเซา ธุรกิจต่างล้มละลาย และที่ร้ายแรงที่สุด
คือ มีคนงานจำนวนมาก ตกงาน
โรงงานปิดตัวลง เพราะขาดทุน ขาดวัตถุดิบ และ ขาดตลาดสำหรับระบายสินค้า
ผู้คนเดือดร้อนอย่างหนัก พวกเขาไม่รู้จะหาเงินที่ไหน มาจุนเจือครอบครัว
รัฐบาลพยายามช่วยเหลือ ด้วยการแจกเงินสงเคราะห์ แต่ก็ไม่เพียงพอ
.
ฤดูหนาวในปี 1924 จึงเป็นฤดูหนาวแห่งความหนาวเหน็บ ทั้งในด้านอากาศและเศรษฐกิจ
ในเมือง Cologne อาหารล้นตลาด แต่ผู้คนไม่มีเงินซื้อ
นมราคาถูกจนต้องขอร้องให้คนซื้อ เนื้อราคาตกต่ำจนพ่อค้าขาดทุน
แต่ครั้งนี้ผู้คนที่ตกงาน กลับไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อขนมปัง
.
ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่าการว่างงาน เป็นราคาที่เยอรมนี ต้องจ่ายเพื่อรักษาค่าเงินมาร์ก มันคือทางสองแพร่งที่รัฐบาลต้องเลือกระหว่าง "เงินเฟ้อ" หรือ "การว่างงาน"
และพวกเขาเลือกที่จะรักษาค่าเงิน แม้จะต้องแลกกับความทุกข์ยากของประชาชนก็ตาม
-----------------------------------------
💔 บาดแผลที่ไม่เคยจางหาย
แม้เยอรมนีจะผ่านพ้นวิกฤตเงินเฟ้อสุดขีดที่เกิดขึ้นในปี 1923
เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว แต่บาดแผลของมันยังคงฝังลึกในใจผู้คน
.
ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า เงินเฟ้อ ไม่เพียงแค่ทำลายเศรษฐกิจ
แต่ยังบั่นทอนศีลธรรม ทำลายความสัมพันธ์ และ สร้างความแตกแยก
ในสังคมเยอรมัน
.
Judith Listowel หญิงสาวชาวฮังการี ที่อยู่ในยุคเงินเฟ้อ เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของครอบครัวเธอ
"ญาติๆของฉันไม่เข้าใจว่าเงินเฟ้อคืออะไร พวกเขาไม่เชื่อว่ามันจะร้ายแรง จนกระทั่งเงินที่พวกเขาถืออยู่ กลายเป็นเศษกระดาษที่ไร้ค่า"
มันทำให้พวกเขาต้องขายของมีค่า เช่น เครื่องเงิน เฟอร์นิเจอร์ และ ภาพวาด ในราคาถูกเพื่อแลกกับอาหาร
.
สิ่งที่เงินเฟ้อทำลายลงไปนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เศรษฐกิจ แต่ได้ทำลายจิตวิญญาณของชาติลงไปด้วย
-----------------------------------------
👻 ฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่น บทเรียนจากไวมาร์ สู่โลกปัจจุบัน
แม้เยอรมนีจะก้าวผ่านมหันตภัยเงินเฟ้อไวมาร์มาได้
แต่รอยอันลึกนั้นยังคงหลอกหลอนพวกเขาและโลกใบนี้ไปอีกนานแสนนาน
.
สำหรับเยอรมนี เงินเฟ้อ เป็น "เชื้อเพลิง" ที่ "เติมไฟแห่งความแค้นและชาตินิยม"
พวกเขาโทษสนธิสัญญาแวร์ซาย โทษฝ่ายสัมพันธมิตร และ โทษชาวยิว ว่าเป็นต้นเหตุของความทุกข์ยาก
และเมื่อโอกาสมาถึง พวกเขาพร้อมที่จะล้างแค้น
.
บทเรียนจากไวมาร์ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เยอรมนี
แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงภัยร้ายของเงินเฟ้อที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา
ไม่ว่าจะเป็น "รัสเซีย" หลังการปฏิวัติ "ฮังการี" ในยุคคอมมิวนิสต์
หรือแม้แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาในปัจจุบัน
เงินเฟ้อสามารถบิดเบือนระบบเศรษฐกิจ ทำลายความเชื่อมั่น
บั่นทอนศีลธรรม สร้างความแตกแยก และ นำไปสู่ความรุนแรง
.
Ernest Hemingway บรรยายความสิ้นหวังของผู้คนในยุคเงินเฟ้อไวมาร์ ว่า
"พวกเขาหมดศรัทธาในเงิน ในรัฐบาล และในอนาคต"
.
มันคือ "ปีศาจร้าย" ที่สามารถ "ทำลาย" ทุกสิ่งทุกอย่าง ได้ในพริบตา
-----------------------------------------
#siamstrupdate #หนังสือน่าอ่าน #สรุปหนังสือ #การเงิน #เศรษฐกิจ #ประวัติศาสตร์ #เงินเฟ้อ #วิกฤตเศรษฐกิจ #Hyperinflation #siamstr
Author Public Key
npub1y5sl0yd5x9vkavc5vchwttn9k6rdwc3lgxge3v2ky54pzr8epvmsreghv6