Jakk Goodday on Nostr: "พอได้แล้วตั้ม.. ...
"พอได้แล้วตั้ม.. ตั้มจะบ้าไปถึงไหน.."
ผมดึงสติตัวเองกลับสู่โลกความเป็นจริง.. ค่อยๆ หันกลับไปมองที่ต้นเสียง..
เมียผมทำสีหน้าเบื่อโลก เหมือนคนเหนื่อยหน่ายเต็มกลืน.. ผมนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองนาฬิกา.. จะตี 5 แล้วเหรอเนี่ย..
บางครั้งผมก็รู้สึกผิด บางครั้งผมก็รู้สึกว่าผมกำลังทำเรื่องที่จำเป็น.. บางครั้งผมก็หลงลืมไปว่าคนอื่นๆ คงไม่ได้บ้าระห่ำแบบที่เราเป็น.. เราเอาอะไรมาคิดว่าเขาควรทำแบบเรา?
"ถ้าไม่มีใครสักคนทำ มันก็จะไม่มีใครทำไปตลอดนะ"
"แล้วทำไมต้องเป็นตั้มล่ะ?"
"ก็แล้วทำไมมันถึงจะเป็นเราไม่ได้ล่ะ?"
ทุกครั้งที่มีกรณีแบบนี้ เรามักจะเถียงกันวนไปมาเหมือนกำลังพยายามหาคำตอบว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เคยมีทางออกหรือคำตอบที่ดีที่สุด
"แต่ตั้มก็ต้องพักบ้าง มีเวลาส่วนตัวบ้าง ดูแลตัวเองบ้างสิ.."
"เราไม่รู้หรอกว่าเราจะอยู่บนโลกนี้ได้นานแค่ไหน.. พรุ่งนี้เค้าอาจจะตายก็ได้.. เค้าต้องทำทันทีที่คิดได้สิ.."
"แล้วแต่เลยละกัน.."
เมื่อก่อนผมเป็นคนหัวรั้นแบบนั้นจริงๆ ผมเหยียบสุดคันเร่งเสมอ ไม่มีผ่อน ผมใช้ร่างกายค่อนข้างหนักจนกว่าผมจะพอใจกับผลลัพธ์ แต่ในที่สุดผมก็รู้ว่ามันไม่เคยมีอะไรดีขึ้นมาหากเราต้องทุ่มเทอะไรๆ ไปในทางที่ผิด
นอกจากนี้ผมยังไม่เสียเวลาง้อใครอีกด้วย ผมเอาแต่คิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเป้าหมาย ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมคิด พวกเขามีความชอบในแบบที่ต่างออกไป มีความเข้าใจบางอย่างอยู่คนละแบบกับเรา ผมไม่ยอมเสียเวลาไปหว่านล้อมหรืออธิบายอะไรให้ใครเข้าใจทั้งนั้น ผมมีหน้าที่ต้องเดินต่อ
ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์ ในท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงผมคนเดียว
บางครั้งผมก็ทิ้งโปรเจคไปเลย เพียงเพราะขี้เกียจต้องมานั่งอธิบายให้คนในทีมตามผมให้ทัน.. อยากได้แบบไหนก็ทำกันเองซะ ไม่เชื่อกูก็ตามใจ เมื่อก่อนผมมีมายเซ็ตแบบนี้
แต่แล้วผมก็เหงา... การนั่งรอให้คนอื่นวิ่งตามเราให้ทัน บางครั้งมันก็นานจนเราเบื่อ บางครั้งเค้าก็หาทางตามเรามาไม่ได้ มันไม่เกี่ยวกับว่า เขาผิด หรือเราถูก ไม่เกี่ยวกับมุมมองของใครทั้งนั้น แต่มันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในลักษณะทีม เกี่ยวกับความรู้สึกของเรานี่เอง
ผ่านเวลาจากจุดนั้นมานานนับสิบปี.. ผมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทุกวันนี้ผมเข้าใจในสรรพสิ่งต่างๆ มากขึ้น ผมเข้าใจว่าเราคนเดียวคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ผมเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าคนที่เก่งที่สุดมักจะกลายเป็นคนที่ถูกชิงชังที่สุด
เราไม่ได้ต้องการคนเก่งมาชี้นำเรา เราแค่ต้องการคนที่ทำบางอย่างได้เข้าขากัน สนุก ล้มลุกคลุกคลานไปด้วยกัน.. เราต้องการใครสักคนที่เข้าใจความไม่พร้อมของตัวเรา
ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ค่อยเป็นค่อยไป คนเราไม่เหมือนกัน ไม่มีใครได้ดั่งใจเราหรอก
ในอดีตผมเคยเป็นหัวหอกของทุกๆ ที่ๆ ผมไป ผมคือความหวังของทุกองค์กรที่เคยเกี่ยวข้อง และเมื่อเวลาผ่านไป ผมก็คือคนแรกๆ ที่องค์กรจะกำจัดทิ้ง เมื่อพวกเขาได้สิ่งที่ต้องการจากตัวผม พวกเขาเลือกจะหั่นผมทิ้ง
เพราะการมีผมอยู่ มันทำให้คนอื่นๆ รู้สึกอ่อนด้อยมากเกินไป แม้ผมจะไม่ชอบยุ่งกับพวกเขาก็ตาม ผมนี่เองคือคนที่ทำลายตัวเอง ผมไม่อยากโทษสิ่งใด มันเป็นเพราะเราเอง
ทุกวันนี้ผมนำบทเรียนเหล่านั้นมาปรับปรุงตัวเอง ผมพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับทุกๆ คนในองค์กร ไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า ไม่มีการแข่งขัน มีเพียงเรากอดคอและออกไปตายพร้อมๆ กัน ผมไม่มานั่งคิดวิเคราะห์ง่าใครจะรักหรือเกลียดชังผม แค่ผมไม่ไดทำให้ใครรู้สึกอึดอัดก็พอแล้ว
บางครั้งการพัฒนาตัวเอง ความเข้าใจให้ลึกซึ้งในบางอย่าง มันต้องการเวลา มันต้องการ proof of work และบางเรื่องมันจะเกิดขึ้นเมื่อคนเราได้รับบทเรียน ไม่ใช่เพราะเรารู้มากกว่า คาดการณ์ได้เก่งกว่า แล้วเอามันไปยัดเยียดให้ใคร
การเติบโตด้วยตนเองเท่านั้นที่ยั่งยืน
ผมเรียนรู้ที่จะให้กำลังใจคนอื่นๆ สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขา ทำให้พวกเขาค้นพบเป้าหมายที่เหมาะสมกับตัวเอง แทนที่จะออกคำสั่งหรือชี้เป้าเหมือนเมื่อก่อน สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่พวกเขาขาด
คนที่จะภูมิใจในการเติบโตควรเป็นตัวพวกเขาเอง ไม่ควรเป็นเราที่ออกมานั่งเคลมผลงานเหล่านั้น สุดท้ายแล้วใครจะเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำหรือไม่ มันไม่สำคัญแล้วสำหรับผม
ไม่ว่าผลงานจะเป็นของใคร การไปถึงเป้าหมายสำคัญกว่า
ผมยังคงบ้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน บ่อยครั้งที่เมียต้องออกมาเตือนสติให้ผมเอาเวลาไปนอนพัก แต่ผมหยุดมันไม่ได้ มันดีกว่าเมื่อก่อนตรงที่ จะมีแค่คนใกล้ตัวที่รู้ว่าผมบ้า สำหรับคนทั่วๆ ไป ผมอยากให้พวกเขาเห็นผมเป็นคนธรรมดาๆ เหมือนพวกเขา
วันนี้ผมก็บ้า.. บ้าที่หลงรัก Nostr และเห็นสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นตามมาเต็มไปหมด แต่ผมเลือกจะสะกัดกั้นความหลงไหลเหล่านั้นเอาไว้ ปล่อยให้ทุกๆ คนได้มีส่วนร่วม ปล่อยให้มันเติบโตไปด้วยตัวมันเอง..
กลับมาสู่โลกความเป็นจริงได้เสียที Jakk
นายคนเดียวทำทุกอย่างไม่ได้หรอก แค่ออกไปมีความสุขกันมันแค่นั้นก็พอ..
#siamstr
ผมดึงสติตัวเองกลับสู่โลกความเป็นจริง.. ค่อยๆ หันกลับไปมองที่ต้นเสียง..
เมียผมทำสีหน้าเบื่อโลก เหมือนคนเหนื่อยหน่ายเต็มกลืน.. ผมนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองนาฬิกา.. จะตี 5 แล้วเหรอเนี่ย..
บางครั้งผมก็รู้สึกผิด บางครั้งผมก็รู้สึกว่าผมกำลังทำเรื่องที่จำเป็น.. บางครั้งผมก็หลงลืมไปว่าคนอื่นๆ คงไม่ได้บ้าระห่ำแบบที่เราเป็น.. เราเอาอะไรมาคิดว่าเขาควรทำแบบเรา?
"ถ้าไม่มีใครสักคนทำ มันก็จะไม่มีใครทำไปตลอดนะ"
"แล้วทำไมต้องเป็นตั้มล่ะ?"
"ก็แล้วทำไมมันถึงจะเป็นเราไม่ได้ล่ะ?"
ทุกครั้งที่มีกรณีแบบนี้ เรามักจะเถียงกันวนไปมาเหมือนกำลังพยายามหาคำตอบว่าไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่เคยมีทางออกหรือคำตอบที่ดีที่สุด
"แต่ตั้มก็ต้องพักบ้าง มีเวลาส่วนตัวบ้าง ดูแลตัวเองบ้างสิ.."
"เราไม่รู้หรอกว่าเราจะอยู่บนโลกนี้ได้นานแค่ไหน.. พรุ่งนี้เค้าอาจจะตายก็ได้.. เค้าต้องทำทันทีที่คิดได้สิ.."
"แล้วแต่เลยละกัน.."
เมื่อก่อนผมเป็นคนหัวรั้นแบบนั้นจริงๆ ผมเหยียบสุดคันเร่งเสมอ ไม่มีผ่อน ผมใช้ร่างกายค่อนข้างหนักจนกว่าผมจะพอใจกับผลลัพธ์ แต่ในที่สุดผมก็รู้ว่ามันไม่เคยมีอะไรดีขึ้นมาหากเราต้องทุ่มเทอะไรๆ ไปในทางที่ผิด
นอกจากนี้ผมยังไม่เสียเวลาง้อใครอีกด้วย ผมเอาแต่คิดว่าคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเป้าหมาย ไม่เข้าใจสิ่งที่ผมคิด พวกเขามีความชอบในแบบที่ต่างออกไป มีความเข้าใจบางอย่างอยู่คนละแบบกับเรา ผมไม่ยอมเสียเวลาไปหว่านล้อมหรืออธิบายอะไรให้ใครเข้าใจทั้งนั้น ผมมีหน้าที่ต้องเดินต่อ
ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์ ในท้ายที่สุดแล้ว มีเพียงผมคนเดียว
บางครั้งผมก็ทิ้งโปรเจคไปเลย เพียงเพราะขี้เกียจต้องมานั่งอธิบายให้คนในทีมตามผมให้ทัน.. อยากได้แบบไหนก็ทำกันเองซะ ไม่เชื่อกูก็ตามใจ เมื่อก่อนผมมีมายเซ็ตแบบนี้
แต่แล้วผมก็เหงา... การนั่งรอให้คนอื่นวิ่งตามเราให้ทัน บางครั้งมันก็นานจนเราเบื่อ บางครั้งเค้าก็หาทางตามเรามาไม่ได้ มันไม่เกี่ยวกับว่า เขาผิด หรือเราถูก ไม่เกี่ยวกับมุมมองของใครทั้งนั้น แต่มันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในลักษณะทีม เกี่ยวกับความรู้สึกของเรานี่เอง
ผ่านเวลาจากจุดนั้นมานานนับสิบปี.. ผมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทุกวันนี้ผมเข้าใจในสรรพสิ่งต่างๆ มากขึ้น ผมเข้าใจว่าเราคนเดียวคงเปลี่ยนอะไรไม่ได้ ผมเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าคนที่เก่งที่สุดมักจะกลายเป็นคนที่ถูกชิงชังที่สุด
เราไม่ได้ต้องการคนเก่งมาชี้นำเรา เราแค่ต้องการคนที่ทำบางอย่างได้เข้าขากัน สนุก ล้มลุกคลุกคลานไปด้วยกัน.. เราต้องการใครสักคนที่เข้าใจความไม่พร้อมของตัวเรา
ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ค่อยเป็นค่อยไป คนเราไม่เหมือนกัน ไม่มีใครได้ดั่งใจเราหรอก
ในอดีตผมเคยเป็นหัวหอกของทุกๆ ที่ๆ ผมไป ผมคือความหวังของทุกองค์กรที่เคยเกี่ยวข้อง และเมื่อเวลาผ่านไป ผมก็คือคนแรกๆ ที่องค์กรจะกำจัดทิ้ง เมื่อพวกเขาได้สิ่งที่ต้องการจากตัวผม พวกเขาเลือกจะหั่นผมทิ้ง
เพราะการมีผมอยู่ มันทำให้คนอื่นๆ รู้สึกอ่อนด้อยมากเกินไป แม้ผมจะไม่ชอบยุ่งกับพวกเขาก็ตาม ผมนี่เองคือคนที่ทำลายตัวเอง ผมไม่อยากโทษสิ่งใด มันเป็นเพราะเราเอง
ทุกวันนี้ผมนำบทเรียนเหล่านั้นมาปรับปรุงตัวเอง ผมพยายามทำตัวให้กลมกลืนกับทุกๆ คนในองค์กร ไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า ไม่มีการแข่งขัน มีเพียงเรากอดคอและออกไปตายพร้อมๆ กัน ผมไม่มานั่งคิดวิเคราะห์ง่าใครจะรักหรือเกลียดชังผม แค่ผมไม่ไดทำให้ใครรู้สึกอึดอัดก็พอแล้ว
บางครั้งการพัฒนาตัวเอง ความเข้าใจให้ลึกซึ้งในบางอย่าง มันต้องการเวลา มันต้องการ proof of work และบางเรื่องมันจะเกิดขึ้นเมื่อคนเราได้รับบทเรียน ไม่ใช่เพราะเรารู้มากกว่า คาดการณ์ได้เก่งกว่า แล้วเอามันไปยัดเยียดให้ใคร
การเติบโตด้วยตนเองเท่านั้นที่ยั่งยืน
ผมเรียนรู้ที่จะให้กำลังใจคนอื่นๆ สร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขา ทำให้พวกเขาค้นพบเป้าหมายที่เหมาะสมกับตัวเอง แทนที่จะออกคำสั่งหรือชี้เป้าเหมือนเมื่อก่อน สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่พวกเขาขาด
คนที่จะภูมิใจในการเติบโตควรเป็นตัวพวกเขาเอง ไม่ควรเป็นเราที่ออกมานั่งเคลมผลงานเหล่านั้น สุดท้ายแล้วใครจะเห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำหรือไม่ มันไม่สำคัญแล้วสำหรับผม
ไม่ว่าผลงานจะเป็นของใคร การไปถึงเป้าหมายสำคัญกว่า
ผมยังคงบ้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน บ่อยครั้งที่เมียต้องออกมาเตือนสติให้ผมเอาเวลาไปนอนพัก แต่ผมหยุดมันไม่ได้ มันดีกว่าเมื่อก่อนตรงที่ จะมีแค่คนใกล้ตัวที่รู้ว่าผมบ้า สำหรับคนทั่วๆ ไป ผมอยากให้พวกเขาเห็นผมเป็นคนธรรมดาๆ เหมือนพวกเขา
วันนี้ผมก็บ้า.. บ้าที่หลงรัก Nostr และเห็นสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นตามมาเต็มไปหมด แต่ผมเลือกจะสะกัดกั้นความหลงไหลเหล่านั้นเอาไว้ ปล่อยให้ทุกๆ คนได้มีส่วนร่วม ปล่อยให้มันเติบโตไปด้วยตัวมันเอง..
กลับมาสู่โลกความเป็นจริงได้เสียที Jakk
นายคนเดียวทำทุกอย่างไม่ได้หรอก แค่ออกไปมีความสุขกันมันแค่นั้นก็พอ..
#siamstr