What is Nostr?
maiakee
npub1hge…8hs2
2025-02-07 02:50:39

maiakee on Nostr: ...



บุคคลตกน้ำ 7 จำพวก: ความหมายเชิงลึก และแนวทางการหลุดพ้น ตามพุทธพจน์



พระพุทธเจ้าทรงเปรียบบุคคลในโลกนี้กับ “บุคคลตกน้ำ 7 จำพวก” ตามที่ปรากฏใน ทกูปมาสูตร เป็นการแสดงสภาวะของจิตที่จมอยู่ในวัฏฏสงสาร และลำดับขั้นแห่งการพ้นทุกข์ ซึ่งสะท้อนถึงระดับของบุคคลตั้งแต่ปุถุชนผู้จมอยู่ในอกุศลธรรม จนถึงพระอรหันต์ผู้ข้ามพ้นสังสารวัฏโดยสิ้นเชิง

ในบทความนี้ เราจะอธิบายถึง
1. ความหมายของบุคคลตกน้ำ 7 จำพวก ตามพุทธพจน์โดยละเอียด
2. ความเกี่ยวข้องของ อสังขตธาตุ และ สังขตธาตุ
3. อวิชชาและตัณหา ทำให้จิตเวียนเกิดในสังสารวัฏได้อย่างไร
4. การเจาะลึก สกทาคามี: ผู้เวียนเกิดอีกเพียงครั้งเดียว
5. แนวทางปฏิบัติเพื่อบรรลุสกทาคามี

1. บุคคลตกน้ำ 7 จำพวก ตามพุทธพจน์โดยละเอียด

พระพุทธพจน์ในทกูปมาสูตร อังคุตตรนิกาย เอก-ทุกกนิบาต

“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบเหมือนคนตกน้ำ 7 จำพวกมีอยู่ในโลกนี้”

พระพุทธเจ้าทรงอธิบายบุคคลทั้ง 7 เปรียบกับสภาวะของคนที่จมน้ำและการดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ดังนี้

(1) บุคคลที่จมน้ำแล้วจมเลย (จมคราวเดียวแล้วจมเลย)

“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ ประกอบด้วยอกุศลธรรม ฝ่ายเดียว โดยส่วนเดียว อย่างนี้แล เรียกว่า จมคราวเดียว แล้วจมเลย”

• คือผู้ที่หมกมุ่นอยู่ใน อกุศลกรรม ไม่สนใจธรรมะ
• เปรียบเสมือนคนจมน้ำโดยไม่มีโอกาสผุดขึ้นมา
• บุคคลเหล่านี้ตกอยู่ในอำนาจของ อวิชชาและตัณหา อย่างเต็มที่

ตัวอย่าง:
คนที่ใช้ชีวิตแบบประมาท ติดอบายมุข ทุจริต ไม่สนใจบุญกุศล เมื่อตายไปมีแนวโน้มเกิดในอบายภูมิ

(2) บุคคลที่ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจมไปอีก

“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือมีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี มีโอตตัปปะดี มีวิริยะดี มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย แต่ว่าสัทธา เป็นต้นของเขา ไม่ตั้งอยู่นาน ไม่เจริญ เสื่อมสิ้นไป อย่างนี้แล เรียกว่า ผุดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วจึงจมเลย”

• หมายถึงบุคคลที่เคยมีศรัทธาในธรรมะ มีความเพียรแต่ไม่มั่นคง
• เปรียบเหมือนคนที่พยายามขึ้นจากน้ำแต่หมดแรงแล้วจมหาย
• บุคคลเหล่านี้แม้จะเคยทำบุญหรือปฏิบัติธรรม แต่สุดท้ายก็กลับไปหมกมุ่นในกิเลส

ตัวอย่าง:
คนที่เคยไปปฏิบัติธรรมเป็นเวลาสั้น ๆ รู้สึกดี แต่ไม่นานก็กลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม

(3) บุคคลที่ผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่

“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือมีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย มีหิริดี มีโอตตัปปะดี มีวิริยะดี มีปัญญาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย และสัทธาเป็นต้นของเขาไม่เสื่อม ไม่เจริญแต่ทรงตัวอยู่ อย่างนี้แลเรียกว่า ผุดขึ้นแล้วลอยตัวอยู่”

• คือบุคคลที่มีศรัทธาในธรรมะและสามารถรักษาความดีได้ แต่ยังไม่ก้าวหน้า
• เปรียบเหมือนคนที่ลอยตัวอยู่กลางน้ำ แม้ไม่จมแต่ก็ไม่ก้าวไปข้างหน้า

ตัวอย่าง:
ผู้ที่รักษาศีล 5 เป็นประจำ ทำบุญบ้างแต่ไม่ปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนา

(4) บุคคลที่ผุดขึ้นแล้วเหลียวดูรอบ ๆ (โสดาบัน)

“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้ ผุดขึ้น คือมีสัทธาดีในกุศลธรรมทั้งหลาย… บุคคลนั้น เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม เป็นโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงแท้ต่อพระนิพพาน”

• โสดาบัน เป็นผู้ละสังโยชน์ 3 อย่าง (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส)
• เปรียบเหมือนคนที่ขึ้นจากน้ำแล้วมองหาทางไปสู่ฝั่ง

ตัวอย่าง:
ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจนเข้าถึงโสดาปัตติผล มั่นใจว่าจะไม่ตกต่ำ

(5) บุคคลที่ผุดขึ้นแล้วว่ายเข้าหาฝั่ง (สกทาคามี)

“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้… เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความเบาบางแห่งราคะ โทสะ โมหะ เป็นสกทาคามี มาสู่โลกนี้อีกเพียงครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้”

• สกทาคามี ลดกิเลสลงไปอีกขั้นหนึ่ง โดยเฉพาะราคะและโทสะ
• เปรียบเหมือนคนที่เริ่มว่ายเข้าหาฝั่ง แม้ยังไม่ถึงแต่ก็มีเป้าหมายชัดเจน

ตัวอย่าง:
พระสารีบุตรกล่าวว่า “สกทาคามีย่อมมีราคะเบาบาง และจะเกิดในโลกนี้อีกเพียงครั้งเดียว”

(6) บุคคลที่ผุดขึ้นแล้วเดินเข้ามาถึงที่ตื้น (อนาคามี)

“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้… เพราะสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ทั้งห้า เป็นอนาคามี มีการปรินิพพานในภพนั้น ไม่เวียนกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา”

• อนาคามี ไม่กลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก แต่ไปเกิดใน พรหมโลก แล้วบรรลุนิพพานที่นั่น

ตัวอย่าง:
บุคคลที่มีสมาธิแน่วแน่ ไม่กลับไปยึดติดในกามารมณ์และโกรธ

(7) บุคคลที่ผุดขึ้นแล้วถึงฝั่งข้ามขึ้นบกแล้วเป็นพราหมณ์ยืนอยู่ (พระอรหันต์)

“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในกรณีนี้… ได้กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในทิฏฐธรรมนี้ เข้าถึงแล้วอยู่”

• พระอรหันต์ สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง ข้ามพ้นวัฏฏะ

ตัวอย่าง:
พระสารีบุตร พระมหากัสสปะ พระอานนท์ เป็นต้น


อสังขตธาตุ กับ สังขตธาตุ: ทำไมจิตจึงตกลงมาสู่สังสารวัฏ

ในการทำความเข้าใจเรื่อง บุคคลตกน้ำ 7 จำพวก เราต้องย้อนกลับไปพิจารณาถึงธรรมชาติของจิตและภาวะที่จิตตกลงมาสู่การเวียนว่ายตายเกิด

อสังขตธาตุ: ธรรมชาติอันพ้นจากการปรุงแต่ง

“อสังขตธาตุ” หมายถึง ธาตุที่ไม่ถูกปรุงแต่ง ไม่แปรเปลี่ยน และเป็นสภาวะที่พ้นจากวัฏฏะ

พระพุทธองค์ตรัสว่า นิพพานเป็นอสังขตะ (Dhammapada 383) หมายถึงเป็นธรรมชาติที่ไม่มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นภาวะแห่งอิสรภาพโดยสิ้นเชิง

อุปมา:
เปรียบเสมือนมหาสมุทรอันนิ่งสงบ ไม่ถูกคลื่นลมก่อกวน ไม่มีอะไรสามารถแทรกแซง

สังขตธาตุ: ธรรมชาติแห่งการปรุงแต่งและเวียนเกิด

“สังขตธาตุ” คือ ธาตุที่ถูกปรุงแต่งด้วยเหตุปัจจัย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

พระพุทธองค์ตรัสว่า “สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา” (Aniccā vata saṅkhārā) หมายถึงสิ่งทั้งปวงที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์

อุปมา:
เปรียบเหมือนสายน้ำที่ไหลไปตามแรงดึงดูดของกระแสน้ำ ไม่มีจุดยึดมั่น

ทำไมดวงจิตที่อยู่ในอสังขตธาตุ เผลอตกลงมาสู่สังขตธาตุได้?

พระพุทธพจน์:

“อวิชชาปัจจยา สังขารา” – อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร
“สังขารปัจจยา วิญญาณัง” – สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
(ปฏิจจสมุปบาท: หัวใจของวัฏฏะ)

แสดงให้เห็นว่า “อวิชชา” เป็นเหตุให้เกิดกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหมด
• อสังขตธาตุเปรียบเหมือนดวงจิตที่บริสุทธิ์
• เมื่อเกิดอวิชชา (ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4) ดวงจิตก็เริ่มปรุงแต่งสังขารและนำไปสู่การเกิดใหม่
• เมื่อดวงจิตถูกครอบงำด้วยตัณหา (ความอยาก) และอุปาทาน (ความยึดติด) จึงตกลงสู่การเวียนเกิด

อุปมา:
เปรียบเหมือนหยดน้ำบริสุทธิ์ที่หล่นลงไปในมหาสมุทรของวัฏฏะ ถูกกระแสพัดพาไปเรื่อย ๆ

อวิชชาเป็นเครื่องกั้น ตัณหาเป็นเครื่องผูก

อวิชชา (ความไม่รู้) เป็นเครื่องกั้นจิตจากการหลุดพ้น

พระพุทธองค์ตรัสว่า

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย อวิชชานี้เป็นสิ่งที่ปิดบังโลก ทำให้สัตว์ทั้งหลายไม่เห็นความจริง”

อวิชชาคือ ความไม่รู้แจ้งในอริยสัจ 4 ได้แก่
1. ทุกข์: ไม่เข้าใจว่าการเกิดแก่เจ็บตายเป็นทุกข์
2. สมุทัย: ไม่รู้ว่าตัณหาเป็นเหตุแห่งทุกข์
3. นิโรธ: ไม่เข้าใจว่านิพพานคือการดับทุกข์
4. มรรค: ไม่รู้ว่าต้องปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ 8 เพื่อพ้นทุกข์

ตัณหา (ความอยาก) เป็นเครื่องผูกมัดจิตให้อยู่ในวัฏฏะ

พระพุทธองค์ตรัสว่า

“ตัณหานั้นแล เป็นเครื่องนำสัตว์ไปสู่การเกิดใหม่”

ตัณหามี 3 ประเภท
1. กามตัณหา – อยากเสพสุขทางกาย
2. ภวตัณหา – อยากเป็น อยากเกิด
3. วิภวตัณหา – อยากไม่เป็น อยากดับสูญ

เมื่ออวิชชานำทาง และตัณหาผูกมัด สัตว์โลกจึงตกอยู่ในกระแสวัฏฏสงสาร

สกทาคามี: ผู้เวียนเกิดอีกเพียงครั้งเดียว

“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคน… เพราะสิ้นไปแห่งสังโยชน์สาม และเพราะความเบาบางแห่งราคะ โทสะ โมหะ เป็นสกทาคามี มาสู่โลกนี้อีกเพียงครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้”

สกทาคามีเกิดมาจากอะไร?

คุณสมบัติของสกทาคามี:
• เป็นผู้ละ สังโยชน์ 3 ได้แล้ว (เหมือนโสดาบัน)
• ราคะ โทสะ โมหะ ยังมีอยู่ แต่เบาบางลง

จะเกิดอีกกี่ครั้ง?
• เกิดอีก เพียงครั้งเดียว ในโลกมนุษย์ ก่อนบรรลุอนาคามีหรืออรหันต์

จะเกิดในภพไหนได้บ้าง?
• ส่วนใหญ่มาเกิดเป็นมนุษย์ (เพราะต้องปฏิบัติเพื่อบรรลุต่อไป)
• อาจเกิดใน เทวโลก หากมีบุญมาก แต่ต้องกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง

ทำอย่างไรจึงจะเป็นสกทาคามี?

1. ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระพุทธองค์ตรัสว่า

“บุคคลผู้ประกอบด้วยศรัทธา ย่อมเจริญในธรรมะ”

เริ่มต้นจากศรัทธาแท้ ไม่ใช่ศรัทธาแบบงมงาย

2. เจริญสติ สมาธิ และปัญญา

สติปัฏฐาน 4 คือหลักสำคัญที่ทำให้ราคะ โทสะ โมหาเบาบาง
1. กายานุปัสสนา – พิจารณากายเป็นของไม่เที่ยง
2. เวทนานุปัสสนา – รู้เท่าทันสุข ทุกข์
3. จิตตานุปัสสนา – รู้เท่าทันจิตที่ปรุงแต่ง
4. ธรรมานุปัสสนา – พิจารณาสังโยชน์ กิเลส

3. เจริญอริยมรรคมีองค์ 8

“มรรคอันประเสริฐมีองค์ 8 นี้แล เป็นทางเอกเพื่อการหลุดพ้น”

ประกอบด้วย
• สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ)
• สัมมาสังกัปปะ (คิดชอบ)
• สัมมาวาจา (พูดชอบ)
• สัมมากัมมันตะ (ทำชอบ)
• สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ)
• สัมมาวายามะ (เพียรชอบ)
• สัมมาสติ (ระลึกชอบ)
• สัมมาสมาธิ (ตั้งมั่นชอบ)

สรุป
• จิตเดิมแท้อยู่ใน อสังขตธาตุ
• อวิชชาทำให้จิตตกลงมาสู่ สังขตธาตุ และเวียนว่ายตายเกิด
• สกทาคามีคือผู้ละสังโยชน์ 3 ได้ และทำให้ราคะ โทสะ โมหะเบาบาง
• สามารถเกิดอีกเพียงครั้งเดียวในโลกมนุษย์ ก่อนบรรลุพระอรหันต์

ผู้ที่ต้องการบรรลุสกทาคามี ต้อง รักษาศีล 5 ให้มั่นคง ฝึก สมาธิและปัญญา และเจริญ อริยมรรคมีองค์ 8 อย่างจริงจัง

#Siamstr #พุทธวจนะ #พุทธวจน #nostr #ธรรมะ
Author Public Key
npub1hge4uuggdfspu0wmffxqs9vj38m55238q3z2jzd907e8qnjmlsyql78hs2