maiakee on Nostr: ...

🦋ลำดับแห่งโยงใยของ David Bohm: กลไกและการเชื่อมโยงกับทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
David Bohm นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างของความเป็นจริงที่เน้นความเชื่อมโยงและการไหลลื่นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผ่านแนวคิด Implicate Order (ลำดับแห่งโยงใย) และ Explicate Order (ลำดับแห่งการคลี่คลาย) ซึ่งสามารถขยายความและเชื่อมโยงกับทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์และปรัชญาหลายแขนง
⸻
1. กลไกของ “Implicate Order” และทฤษฎีฮอโลกราฟิก (Holographic Universe)
• โบห์มเปรียบเทียบจักรวาลกับภาพโฮโลแกรม ซึ่งแต่ละจุดในโฮโลแกรมจะ “พับเก็บ” (Enfold) ข้อมูลทั้งหมดของภาพเอาไว้
• เช่นเดียวกับโฮโลแกรมที่ฉายภาพ 3 มิติจากแสงเลเซอร์ โบห์มเชื่อว่าทุกส่วนของจักรวาลบรรจุข้อมูลของทั้งจักรวาลเอาไว้
• กลไกนี้สอดคล้องกับทฤษฎีของนักฟิสิกส์ Karl Pribram ที่เสนอว่าการทำงานของสมองก็มีลักษณะคล้ายภาพโฮโลแกรม โดยข้อมูลทั้งหมดจะกระจายตัวไปทั่วโครงข่ายประสาท (Neural Network)
⸻
2. Quantum Potential และสนามที่เชื่อมโยงกัน
• โบห์มแนะนำแนวคิด Quantum Potential ซึ่งเป็นสนามไร้มวลที่แทรกซึมไปทั่วจักรวาลและส่งอิทธิพลต่อพฤติกรรมของอนุภาคควอนตัม
• Quantum Potential ทำหน้าที่คล้าย “คลื่นนำทาง” (Pilot Wave) ซึ่งควบคุมพฤติกรรมของอนุภาคย่อย เช่น อิเล็กตรอนหรือโฟตอน
• แนวคิดนี้ขยายจากทฤษฎีคลื่นนำทาง (Pilot Wave Theory) ของ Louis de Broglie ซึ่งอธิบายว่าอนุภาคควอนตัมไม่ได้เคลื่อนไหวแบบสุ่มอย่างสมบูรณ์ แต่มีรูปแบบการเคลื่อนที่ที่ซ่อนอยู่
⸻
3. ความไม่แยกขาด (Nonlocality) และ EPR Paradox
• โบห์มสนับสนุนการทดลองของ Einstein-Podolsky-Rosen (EPR) ที่ชี้ว่าคู่อนุภาคที่เคยเชื่อมโยงกันสามารถส่งข้อมูลระหว่างกันได้ทันที แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกจักรวาล
• นี่เป็นหลักฐานของ “ความไม่แยกขาด” (Nonlocality) ซึ่งหมายถึงความจริงระดับควอนตัมไม่มีขอบเขตตายตัว ทุกสิ่งเชื่อมโยงกันโดยไม่ต้องผ่านสัญญาณทางกายภาพ
• แนวคิดนี้ท้าทายกรอบความเข้าใจทั่วไปเกี่ยวกับเวลาและระยะทาง
⸻
4. Stroboscopic Effect และการหลอกลวงของการเคลื่อนไหว
• ภาพยนตร์หรือแสงแฟลชที่กะพริบด้วยความถี่สูงแสดงให้เห็นว่า ภาพนิ่งหลายภาพที่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเมื่อฉายด้วยความเร็วที่เหมาะสม จะปรากฏเป็นการเคลื่อนไหวที่ไหลลื่น
• นี่คือผลจากสมองที่ “เติมเต็มช่องว่าง” ระหว่างภาพแต่ละเฟรม
• โบห์มเปรียบปรากฏการณ์นี้กับการที่จิตสำนึกรับรู้ความต่อเนื่องจากสภาวะที่แท้จริงซึ่งมีลักษณะไม่ต่อเนื่อง
⸻
5. ภาพเบลอของวัตถุที่เคลื่อนที่เร็ว (Motion Blur)
• เมื่อวัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ดวงตามนุษย์จะเห็นภาพเบลอเนื่องจากสมองไม่สามารถรับรู้ภาพที่เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วพอ
• ภาพเบลอสะท้อนว่าในความเป็นจริง ความเคลื่อนไหวเกิดจากอนุภาคที่สลับสับเปลี่ยนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว (Quantum Fluctuation) ซึ่งสมองของเราตีความออกมาเป็นการเคลื่อนที่แบบต่อเนื่อง
⸻
6. กลไก “จิตเกิดดับ” และทฤษฎีความไม่ต่อเนื่อง (Discontinuity Theory)
• โบห์มเสนอว่าจิตสำนึกไม่ได้มีการไหลลื่นอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นการเกิดและดับเป็นช่วงๆ
• นี่คล้ายกับทฤษฎีในพุทธศาสนาที่กล่าวว่าจิตเกิดดับเป็น “ขณะจิต” (Momentariness) ที่แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว
• เมื่อจิตสำนึกรับรู้ข้อมูลต่างๆ สมองจะทำหน้าที่ “ปะติดปะต่อ” ข้อมูลเหล่านั้นให้กลายเป็นประสบการณ์ที่ไหลลื่น
⸻
7. ทฤษฎีควอนตัมของดวงวิญญาณ (Quantum Consciousness)
• โบห์มมีแนวคิดสอดคล้องกับ Sir Roger Penrose และ Stuart Hameroff ซึ่งเสนอว่าจิตสำนึกเกิดจากการประสานของกระบวนการควอนตัมในไมโครทูบูล (Microtubules) ภายในเซลล์สมอง
• กระบวนการนี้เรียกว่า Orchestrated Objective Reduction (Orch-OR) ซึ่งอธิบายว่าจิตสำนึกมีคุณสมบัติคล้าย “ควอนตัมสปิน” ที่เปลี่ยนสถานะอย่างรวดเร็วและสามารถ “เกิดดับ” ได้
⸻
8. การเชื่อมโยงกับ “ทฤษฎีระบบซับซ้อน” (Complex Systems Theory)
• โบห์มอธิบายว่าแม้จักรวาลจะดูเหมือนเกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่แท้จริงแล้วมีรูปแบบซ่อนเร้นที่ควบคุมความซับซ้อนทั้งหมด
• นี่สอดคล้องกับทฤษฎีระบบซับซ้อน (Complex Systems Theory) ที่ชี้ว่าระบบที่มีปัจจัยมากมายสามารถพัฒนาโครงสร้างและรูปแบบที่มีระเบียบได้เอง (Emergence)
⸻
9. ทฤษฎี “ความว่าง” และสภาวะไร้ขอบเขต (Vacuum State)
• โบห์มชี้ว่าความว่างเปล่า (Void) ในระดับควอนตัมแท้จริงแล้วเต็มไปด้วยศักยภาพทางพลังงาน
• การสั่นสะเทือนของพลังงานในสุญญากาศนี้เป็นกลไกสำคัญของการก่อกำเนิดสสารและพลังงาน
• แนวคิดนี้สอดคล้องกับทฤษฎี Zero-Point Energy ในฟิสิกส์ควอนตัม
⸻
10. การเปรียบเทียบกับ “ทฤษฎีสตริง” (String Theory)
• ทฤษฎีสตริงเสนอว่าอนุภาคพื้นฐานของจักรวาลไม่ได้เป็นจุด (Point) แต่เป็นเส้นสั่นสะเทือน (String) ที่ไหลลื่นในหลายมิติ
• การสั่นสะเทือนของสตริงนี้คล้ายกับการเคลื่อนไหวของคลื่นควอนตัมที่โบห์มอธิบาย
• ทั้งสองแนวคิดต่างก็ชี้ให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานของจักรวาลมีลักษณะเป็นพลวัตและเชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์
⸻
David Bohm ได้เสนอแนวคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของจักรวาล โดยเน้นการเชื่อมโยงระหว่างทุกสรรพสิ่งผ่านกระบวนการ “พับเก็บ” และ “คลี่คลาย” อย่างต่อเนื่อง กลไกนี้สามารถอธิบายปรากฏการณ์หลายด้าน ตั้งแต่ฟิสิกส์ควอนตัม ไปจนถึงจิตสำนึกและการรับรู้ของมนุษย์
การเข้าใจทฤษฎีของ Bohm ช่วยเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับความเป็นจริง ความต่อเนื่อง และการรับรู้ ซึ่งอาจมีผลต่อวิทยาศาสตร์ จิตวิทยา และปรัชญาในเชิงลึก
🦋ลำดับแห่งโยงใยของ David Bohm: กลไกและการเชื่อมโยงกับทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง (เพิ่มเติม 10 ข้อ)
นอกเหนือจากแนวคิดหลักของ David Bohm ที่ว่าด้วย Implicate Order (ลำดับแห่งโยงใย) และ Explicate Order (ลำดับแห่งการคลี่คลาย) ยังมีทฤษฎีและปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์หลายแขนงที่สอดคล้องและขยายความแนวคิดนี้ได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
⸻
11. กลไก “การซ้อนทับของสถานะ” (Quantum Superposition)
• ในกลศาสตร์ควอนตัม อนุภาคสามารถอยู่ในสถานะหลายแบบพร้อมกันได้จนกว่าจะถูกสังเกต ซึ่งเรียกว่า การซ้อนทับของสถานะ
• โบห์มมองว่ากลไกนี้สะท้อนถึงการมีอยู่ของความเป็นจริงในระดับ Implicate Order ซึ่ง “พับเก็บ” ศักยภาพของสถานะต่างๆ เอาไว้
• เมื่อมีการสังเกต สถานะเหล่านี้จึง “คลี่คลาย” ออกมาเป็นหนึ่งในหลายความเป็นไปได้ที่ปรากฏให้รับรู้ใน Explicate Order
⸻
12. การพัวพันเชิงควอนตัม (Quantum Entanglement)
• เมื่ออนุภาคสองอนุภาคพัวพันกัน (Entangled) การเปลี่ยนแปลงของอนุภาคหนึ่งจะส่งผลต่ออีกอนุภาคทันที ไม่ว่าทั้งสองจะอยู่ห่างกันเพียงใด
• Bohm มองว่าการพัวพันนี้เป็นตัวอย่างของ “ความไม่แยกขาด” (Nonlocality) ซึ่งสะท้อนว่าจักรวาลทั้งหมดเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียวผ่านกลไกของ Implicate Order
• นี่สอดคล้องกับทฤษฎีของนักฟิสิกส์ John Bell และ Alain Aspect ที่พิสูจน์ว่าการพัวพันควอนตัมเป็นปรากฏการณ์จริง
⸻
13. ปรากฏการณ์ “Quantum Zeno Effect”
• ปรากฏการณ์นี้ระบุว่าการสังเกตบ่อยครั้งสามารถชะลอการเปลี่ยนแปลงของสถานะควอนตัมได้
• โบห์มอธิบายว่าสิ่งนี้สะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่าง “การรับรู้” และ “การคลี่คลาย” ของความเป็นจริง
• เมื่อจิตสำนึกพุ่งความสนใจไปที่บางสิ่ง มันอาจชะลอการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบใน Explicate Order ได้ เช่นเดียวกับที่การรับรู้ทางจิตสามารถ “หยุดนิ่ง” ช่วงเวลาได้ชั่วขณะ
⸻
14. ทฤษฎี “Fractal Geometry” (เรขาคณิตแบบฟรัคทัล)
• Benoit Mandelbrot นำเสนอทฤษฎีฟรัคทัล ซึ่งอธิบายว่าโครงสร้างขนาดใหญ่สามารถมีรูปแบบซ้ำกันในทุกระดับ (Self-Similarity)
• โบห์มเปรียบจักรวาลเป็นฟรัคทัลขนาดใหญ่ โดย Implicate Order ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่พับเก็บรูปแบบเดียวกันไว้ในทุกระดับของการดำรงอยู่
• แนวคิดนี้สะท้อนถึง “ความสอดประสานในทุกระดับ” ที่ปรากฏในธรรมชาติ เช่น โครงสร้างของใบเฟิร์น เปลือกหอย หรือลวดลายของสายฟ้า
⸻
15. ปรากฏการณ์ “Emergence” (การเกิดรูปแบบใหม่)
• ในระบบซับซ้อน (Complex Systems) รูปแบบที่ซับซ้อนสามารถเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบพื้นฐานที่เรียบง่าย
• โบห์มเสนอว่า Explicate Order คือ “รูปแบบใหม่” ที่เกิดขึ้นจากการคลี่คลายของ Implicate Order
• ตัวอย่างเช่น ฝูงนกที่บินเป็นฝูงโดยไม่มีผู้นำ แต่กลับสร้างการเคลื่อนไหวที่มีระเบียบซับซ้อนเองได้
⸻
16. ทฤษฎี “Biocentrism” ของ Robert Lanza
• นักชีววิทยา Robert Lanza เสนอทฤษฎีที่ว่า “จิตสำนึก” เป็นรากฐานของจักรวาล และความเป็นจริงทั้งหมดเกิดจากการรับรู้ของผู้สังเกต
• แนวคิดนี้สอดคล้องกับทฤษฎีของโบห์มที่ชี้ว่า Implicate Order เป็นสนามข้อมูลพื้นฐานที่เชื่อมโยงทุกสิ่งเข้าด้วยกัน
• จิตสำนึกจึงไม่ใช่เพียงผลผลิตของสมองเท่านั้น แต่เป็น “กระแสข้อมูล” ที่มีความต่อเนื่องกับจักรวาลเอง
⸻
17. ทฤษฎี “ความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก” (Heisenberg’s Uncertainty Principle)
• หลักความไม่แน่นอนของ Werner Heisenberg ระบุว่า เราไม่สามารถวัดตำแหน่งและความเร็วของอนุภาคได้พร้อมกันอย่างแม่นยำ
• โบห์มเสนอว่าความไม่แน่นอนนี้เป็นผลจากข้อมูลที่ซ่อนอยู่ในระดับ Implicate Order ซึ่งยังไม่ได้ “คลี่คลาย” ออกมาให้สังเกตได้โดยตรง
⸻
18. ทฤษฎี “สนามมอร์ฟิก” (Morphogenetic Field) ของ Rupert Sheldrake
• Rupert Sheldrake เสนอว่ารูปแบบและพฤติกรรมในธรรมชาติได้รับอิทธิพลจาก “สนามมอร์ฟิก” ซึ่งเป็นสนามข้อมูลที่เก็บบันทึกรูปแบบของสิ่งมีชีวิต
• โบห์มเชื่อว่าสนามมอร์ฟิกนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Implicate Order ซึ่งควบคุมการก่อตัวของโครงสร้างและพฤติกรรมของสิ่งต่างๆ
⸻
19. การเชื่อมโยงกับ “ทฤษฎีจิตสำนึกรวมหมู่” (Collective Consciousness) ของ Carl Jung
• Carl Jung เสนอว่ามนุษย์มี “จิตสำนึกรวมหมู่” (Collective Unconscious) ซึ่งเป็นแหล่งรวมสัญลักษณ์และรูปแบบความคิดที่มนุษย์ทุกคนมีร่วมกัน
• โบห์มมองว่าจิตสำนึกรวมหมู่นี้เป็นหนึ่งในกระแสของข้อมูลที่พับเก็บอยู่ในระดับ Implicate Order ซึ่งสามารถคลี่คลายออกมาเป็นสัญชาตญาณ ความฝัน หรือความคิดสร้างสรรค์ได้
⸻
20. แนวคิด “สติปัญญาของจักรวาล” (Universal Intelligence)
• โบห์มเสนอว่า Implicate Order ไม่ใช่เพียงโครงสร้างเชิงกลไก แต่ยังมีสติปัญญาหรือ “Intelligence” แฝงตัวอยู่
• แนวคิดนี้สอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่าจักรวาลมี “สติ” หรือ “จิตสำนึก” บางอย่างที่ควบคุมความกลมกลืนและสมดุลของทุกสรรพสิ่ง
• การรับรู้ถึงกระแสนี้สามารถเกิดขึ้นผ่านสภาวะสมาธิ การตระหนักรู้ หรือประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ
⸻
สรุป
David Bohm ไม่เพียงแต่เสนอทฤษฎีฟิสิกส์ที่อธิบายกลไกของควอนตัมและการเคลื่อนไหวของสสาร แต่ยังเชื่อมโยงปรากฏการณ์นี้เข้ากับมิติของจิตสำนึก ความต่อเนื่องของเวลา และโครงสร้างของจักรวาลในระดับลึก
การเชื่อมโยงแนวคิดของ Bohm กับทฤษฎีที่กล่าวมาทั้ง 20 ข้อนี้สะท้อนให้เห็นว่า โลกที่เราเห็นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเป็นจริงที่ซับซ้อนกว่า โดยข้อมูลที่แท้จริงของจักรวาลนั้น “พับเก็บ” และ “คลี่คลาย” อย่างต่อเนื่องภายใต้กระแสของพลังงานและข้อมูลที่เชื่อมโยงทุกสรรพสิ่งเข้าด้วยกัน
#Siamstr #quantum #nostr #ปรัชญา