Hipknox on Nostr: ไม่ได้เรียนมาเลยครับ ...
ไม่ได้เรียนมาเลยครับ ผมเป็นคนประเภทที่ถ้าส่งสัยอะไรจะไปหาข้อมูลเอา ฮ่า ๆ :)
แบบว่าอย่างในเรื่องนี้ เราเข้าใจในความเป็นพุทธว่าแก่นหลักคือการดับทุกข์เพื่อการพ้นทุกข์และเข้าสู่สภาวะของนิพพาน ที่จะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก
ดังนั้นผมจึงสงสัยในบทสวดบทนี้ที่มีการกล่าวถึงระดับขั้นของสวรรค์และพรหมโลก ซึ่งไม่ใช่จุดหมายสูงสุดของพุทธแน่ ๆ แต่ทำไมถึงมีการบันทึกเอาไว้ พอไปค้นหาความหมายคำแปลถึงได้รู้ว่าเป็นคำของสาวก
และได้ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจมาอีกเรื่องนึงว่า จริง ๆ แล้วในสมัยของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีการ “สวด“ แบบที่เวลาเราไปวัดมักจะมีบทสวดต่าง ๆ ในพิธีกรรมทางศาสนาในปัจจุบัน ซึ่งในสมัยของพระพุทธเจ้า การ ”สวด“ จะเป็นระบบของการบันทึกคำสอนของศาสนาพระเวท (พราหมณ์) ด้วยการท่องคำสอนในภาษาสันสกฤตโบราณ เป็นความน่าทึ่งของการบันทึกคำสอนด้วยการใช้เสียง
(ในยุคสมัยที่ยังไม่มีการบันทึกทางตัวอักษร เขาจะใช้การท่องจำ ซึ่งบทสวดพระเวท ใช้ระบบการออกเสียง สำเนียง และวรรณยุกต์ ที่จะไม่มีการถูกเปลี่ยนแปลงในภายหลังได้ ซึ่งมันน่าทึงมาก ๆ )
ที่กล่าวว่าในสมัยของพระพุทธเจ้าไม่มีการ “สวด” เพราะมีเหตุการณ์หนึ่งในสมัยนั้นมีพระ 2 รูปมาร้องกล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า มีสมณะเหล่าอื่นกำลังสั่งสอนบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า พระทั้ง 2 จึงต้องการให้พระพุทธเจ้าบันทึกคำสอนจากพุทธวจนให้อยู่ในภาษาสันสกฤตโบราณแบบเดียวกับที่พวกพราหมณ์ใช้กัน จะได้ไม่ถูกตีความและบิดเบือนไป
แต่พระองค์ก็ปฏิเสธไป เพราะว่าพระองค์ต้องการให้คำสอนของพระองค์สามารถที่จะเจ้าถึงและสามารถทำให้คนที่ได้ฟังได้เรียนสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ ด้วยภาษาที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น เช่น เมื่ออยู่ในแคว้นมคธก็ทรงเทศสอนด้วยภาษามคธ เมื่อไปแคว้นอื่นก็ใช้ภาษาของแคว้นอื่น
ถ้าหากใช้ภาษาพระเวทที่ใช้กันเฉพาะนักบวชพราหมณ์ชั้นสูงเท่านั้นที่ใช้กันมาบันทึกคำสอน คำสอนของพระองค์จะไม่มีวันเข้าถึงชาวบ้านตาดำ ๆ ที่ไม่ได้เรียนพระเวทมาอย่างแน่นอน
ยาวเลย ถามนิดเดียวแต่ผมตอบซะยาวเลย หวังว่าจะมีประโยชน์นะครับ :)
แบบว่าอย่างในเรื่องนี้ เราเข้าใจในความเป็นพุทธว่าแก่นหลักคือการดับทุกข์เพื่อการพ้นทุกข์และเข้าสู่สภาวะของนิพพาน ที่จะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก
ดังนั้นผมจึงสงสัยในบทสวดบทนี้ที่มีการกล่าวถึงระดับขั้นของสวรรค์และพรหมโลก ซึ่งไม่ใช่จุดหมายสูงสุดของพุทธแน่ ๆ แต่ทำไมถึงมีการบันทึกเอาไว้ พอไปค้นหาความหมายคำแปลถึงได้รู้ว่าเป็นคำของสาวก
และได้ข้อมูลเพิ่มเติมที่น่าสนใจมาอีกเรื่องนึงว่า จริง ๆ แล้วในสมัยของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีการ “สวด“ แบบที่เวลาเราไปวัดมักจะมีบทสวดต่าง ๆ ในพิธีกรรมทางศาสนาในปัจจุบัน ซึ่งในสมัยของพระพุทธเจ้า การ ”สวด“ จะเป็นระบบของการบันทึกคำสอนของศาสนาพระเวท (พราหมณ์) ด้วยการท่องคำสอนในภาษาสันสกฤตโบราณ เป็นความน่าทึ่งของการบันทึกคำสอนด้วยการใช้เสียง
(ในยุคสมัยที่ยังไม่มีการบันทึกทางตัวอักษร เขาจะใช้การท่องจำ ซึ่งบทสวดพระเวท ใช้ระบบการออกเสียง สำเนียง และวรรณยุกต์ ที่จะไม่มีการถูกเปลี่ยนแปลงในภายหลังได้ ซึ่งมันน่าทึงมาก ๆ )
ที่กล่าวว่าในสมัยของพระพุทธเจ้าไม่มีการ “สวด” เพราะมีเหตุการณ์หนึ่งในสมัยนั้นมีพระ 2 รูปมาร้องกล่าวกับพระพุทธเจ้าว่า มีสมณะเหล่าอื่นกำลังสั่งสอนบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า พระทั้ง 2 จึงต้องการให้พระพุทธเจ้าบันทึกคำสอนจากพุทธวจนให้อยู่ในภาษาสันสกฤตโบราณแบบเดียวกับที่พวกพราหมณ์ใช้กัน จะได้ไม่ถูกตีความและบิดเบือนไป
แต่พระองค์ก็ปฏิเสธไป เพราะว่าพระองค์ต้องการให้คำสอนของพระองค์สามารถที่จะเจ้าถึงและสามารถทำให้คนที่ได้ฟังได้เรียนสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ ด้วยภาษาที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น เช่น เมื่ออยู่ในแคว้นมคธก็ทรงเทศสอนด้วยภาษามคธ เมื่อไปแคว้นอื่นก็ใช้ภาษาของแคว้นอื่น
ถ้าหากใช้ภาษาพระเวทที่ใช้กันเฉพาะนักบวชพราหมณ์ชั้นสูงเท่านั้นที่ใช้กันมาบันทึกคำสอน คำสอนของพระองค์จะไม่มีวันเข้าถึงชาวบ้านตาดำ ๆ ที่ไม่ได้เรียนพระเวทมาอย่างแน่นอน
ยาวเลย ถามนิดเดียวแต่ผมตอบซะยาวเลย หวังว่าจะมีประโยชน์นะครับ :)