puen7799 on Nostr: สวัสดีครับ #siamstr ...
สวัสดีครับ #siamstr วันนี้มีบทความน่าสนใจมากให้อ่าน จากคุณ Garadriel ในX
ถ้าความเข้าใจผม บิทคอย เป็น บัฟเฟอร์ให้ดอลล่า ที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ
….
อีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากทรัมพ์รับตำแหน่ง ปธน. คนต่อไปของสหรัฐอเมริกา อาจจะมีการอนุมัติ Bitcoin Strategy Reserve ออกมา ทำให้นึกถึงทฤษฎีหนึ่งที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นว่า Bitcoin อาจเป็น “โครงการที่รัฐบาลสนับสนุน” เพื่อตอบสนองเป้าหมายทางเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการปกป้องเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) และพันธบัตรรัฐบาล (UST)
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดนี้สามารถพบได้ในเอกสารของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements หรือ BIS) ฉบับที่ 141 ซึ่งอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin และระบบการเงินโลก ไว้อย่างละเอียด ซึ่งทาง BIS วิเคราะห์ว่า
Bitcoin อาจถูกใช้ในฐานะ “กลยุทธ์หลอกล่อสภาพคล่อง” (non-inflationary liquidity decoy) โดยเบี่ยงเบนเม็ดเงินที่อาจเข้าสู่สินทรัพย์สำคัญ เช่น ทองคำ เงิน และสินค้าโภคภัณฑ์ (อาหารและพลังงาน) ซึ่งหากสภาพคล่องไหลเข้าสู่สินทรัพย์เหล่านี้มากเกินไป จะทำให้เกิดผลกระทบดังนี้
1.เพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
การเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและโลหะมีค่าจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งจะสร้างความกังวลต่อเศรษฐกิจและส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงิน
2.เพิ่มต้นทุนทางการเงินของรัฐบาลและธนาคารกลาง
เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น Fed อาจต้องใช้นโยบายที่เข้มงวด เช่น การเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมของรัฐบาลเพิ่มขึ้น ภาระดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น และทสำคัญFed จะได้รับผลกระทบ เช่น ต้นทุนการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากสำรอง หรือ IORB สูงขึ้น
3.ลดความเชื่อมั่นในระบบการเงินเดิม
หากเงินเฟ้อพุ่งสูงและกระทบต่อเศรษฐกิจ จะลดความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นรากฐานของระบบการเงินโลก
หากทฤษฎีนี้เป็นจริง Bitcoin อาจไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็น “เครื่องมือเชิงกลยุทธ์” ที่รัฐบาลและธนาคารกลางใช้เพื่อจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อและรักษาความมั่นคงของระบบการเงินโลก
ถ้าความเข้าใจผม บิทคอย เป็น บัฟเฟอร์ให้ดอลล่า ที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ
….
อีกไม่กี่วันข้างหน้า หลังจากทรัมพ์รับตำแหน่ง ปธน. คนต่อไปของสหรัฐอเมริกา อาจจะมีการอนุมัติ Bitcoin Strategy Reserve ออกมา ทำให้นึกถึงทฤษฎีหนึ่งที่เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นว่า Bitcoin อาจเป็น “โครงการที่รัฐบาลสนับสนุน” เพื่อตอบสนองเป้าหมายทางเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการปกป้องเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) และพันธบัตรรัฐบาล (UST)
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดนี้สามารถพบได้ในเอกสารของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank for International Settlements หรือ BIS) ฉบับที่ 141 ซึ่งอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin และระบบการเงินโลก ไว้อย่างละเอียด ซึ่งทาง BIS วิเคราะห์ว่า
Bitcoin อาจถูกใช้ในฐานะ “กลยุทธ์หลอกล่อสภาพคล่อง” (non-inflationary liquidity decoy) โดยเบี่ยงเบนเม็ดเงินที่อาจเข้าสู่สินทรัพย์สำคัญ เช่น ทองคำ เงิน และสินค้าโภคภัณฑ์ (อาหารและพลังงาน) ซึ่งหากสภาพคล่องไหลเข้าสู่สินทรัพย์เหล่านี้มากเกินไป จะทำให้เกิดผลกระทบดังนี้
1.เพิ่มแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ
การเพิ่มขึ้นของราคาอาหารและโลหะมีค่าจะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งจะสร้างความกังวลต่อเศรษฐกิจและส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงิน
2.เพิ่มต้นทุนทางการเงินของรัฐบาลและธนาคารกลาง
เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น Fed อาจต้องใช้นโยบายที่เข้มงวด เช่น การเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมของรัฐบาลเพิ่มขึ้น ภาระดอกเบี้ยจากหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น และทสำคัญFed จะได้รับผลกระทบ เช่น ต้นทุนการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากสำรอง หรือ IORB สูงขึ้น
3.ลดความเชื่อมั่นในระบบการเงินเดิม
หากเงินเฟ้อพุ่งสูงและกระทบต่อเศรษฐกิจ จะลดความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งเป็นรากฐานของระบบการเงินโลก
หากทฤษฎีนี้เป็นจริง Bitcoin อาจไม่ได้เป็นเพียงสินทรัพย์ดิจิทัลที่ถูกขับเคลื่อนโดยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่เป็น “เครื่องมือเชิงกลยุทธ์” ที่รัฐบาลและธนาคารกลางใช้เพื่อจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อและรักษาความมั่นคงของระบบการเงินโลก