What is Nostr?
maiakee
npub1hge…8hs2
2025-01-31 03:29:31

maiakee on Nostr: ...



🪷ปฏิจจสมุปบาท: หลักแห่งเหตุและปัจจัยตามพุทธศาสนา, เหตุและปัจจัยที่ทำให้มาเกิด

ความหมายของปฏิจจสมุปบาท

ปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจฺจสมุปฺปาโท) เป็นหลักธรรมสำคัญในพุทธศาสนา อธิบายถึงกระบวนการเกิดขึ้นของสังสารวัฏ (วงจรการเวียนว่ายตายเกิด) โดยอาศัยเหตุปัจจัยซึ่งกันและกัน ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ หากขาดปัจจัยหนึ่ง ก็ย่อมไม่มีอีกปัจจัยหนึ่ง

คำว่า “ปฏิจจสมุปบาท” ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ
• ปฏิจจ แปลว่า อาศัย หรือขึ้นอยู่กับ
• สมุปบาท แปลว่า ความเกิดขึ้นโดยอาศัยเหตุปัจจัย

ดังนั้น ปฏิจจสมุปบาทจึงหมายถึง “การเกิดขึ้นของสิ่งทั้งหลายโดยอาศัยเหตุและปัจจัย”

พุทธพจน์เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท

“ภิกษุทั้งหลาย! อริยสาวกพิจารณาปฏิจจสมุปบาทโดยแยบคายว่า
‘เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ’”
(นิทานสังยุต, สังยุตตนิกาย)

🪷กระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาท 12 องค์

ฝ่ายสมุทยวาระ (กระบวนการเกิดของทุกข์)
1. อวิชชา (ความไม่รู้) → สังขาร (การปรุงแต่ง)
• เพราะความไม่รู้ (อวิชชา) เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร (การปรุงแต่งทางกาย วาจา ใจ)
2. สังขาร → วิญญาณ (จิตรับรู้)
• เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณ (ความรับรู้) จึงเกิดขึ้น
3. วิญญาณ → นามรูป (กาย-ใจ)
• เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูป (กายและจิตใจ) จึงเกิดขึ้น
4. นามรูป → สฬายตนะ (อายตนะทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
• เพราะนามรูปเป็นปัจจัย อายตนะทั้งหกจึงเกิด
5. สฬายตนะ → ผัสสะ (การกระทบสัมผัสระหว่างอายตนะกับอารมณ์)
• เพราะอายตนะทั้งหกเป็นปัจจัย ผัสสะ (สัมผัส) จึงเกิดขึ้น
6. ผัสสะ → เวทนา (ความรู้สึก สุข ทุกข์ เฉยๆ)
• เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนา (ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ) จึงเกิด
7. เวทนา → ตัณหา (ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น)
• เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหา (ความอยาก) จึงเกิด
8. ตัณหา → อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น)
• เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทาน (การยึดมั่น) จึงเกิด
9. อุปาทาน → ภพ (ภาวะที่นำไปสู่การเกิดใหม่)
• เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพ (ภาวะแห่งการเกิดใหม่) จึงเกิด
10. ภพ → ชาติ (การเกิดขึ้นของชีวิตใหม่)
• เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติ (การเกิด) จึงเกิด
11. ชาติ → ชรามรณะ (ความแก่และความตาย)
• เพราะชาติเกิดขึ้น จึงมีชรามรณะ (ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความทุกข์โทมนัส)

🪷ฝ่ายนิโรธวาระ (กระบวนการดับของทุกข์)

“เพราะอวิชชาดับ สังขารก็ดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณก็ดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปก็ดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะก็ดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะก็ดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาก็ดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาก็ดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานก็ดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพก็ดับ
เพราะภพดับ ชาติก็ดับ
เพราะชาติดับ ชรามรณะก็ดับ
ทั้งความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์กาย ความทุกข์ใจ และความคับแค้นใจทั้งหมดก็ดับไปด้วย”

กล่าวโดยสรุป หากดับที่เหตุแรกคือ “อวิชชา” กระบวนการทั้งหมดก็จะดับ นี่คือหนทางแห่งความหลุดพ้น

ตัวอย่างอธิบายให้เข้าใจง่าย

1. กระบวนการเกิดของทุกข์
• เด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นโดยไม่ได้รับการศึกษาเรื่องกรรมและผลของกรรม (อวิชชา)
• เขาคิดว่าความสุขอยู่ที่การมีเงินมากๆ (สังขาร)
• เมื่อเขาโตขึ้น เขามีจิตรับรู้ถึงโลกวัตถุ (วิญญาณ)
• เขาเริ่มมีตัวตนและรับรู้ร่างกายของตนเอง (นามรูป)
• เขาใช้ประสาทสัมผัสรับรู้โลกภายนอก (สฬายตนะ)
• เมื่อเห็นสิ่งของหรูหรา เขาเกิดความต้องการ (ผัสสะ → เวทนา → ตัณหา)
• เขาอยากได้มันจนเกิดความยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน)
• เมื่อมีโอกาส เขาเลือกทางผิด เช่น ทุจริตเพื่อให้ได้มา (ภพ)
• เขาประสบความสำเร็จในทางโลก (ชาติ)
• แต่เมื่อแก่ลง เขาก็ต้องสูญเสียสิ่งที่สะสมมา และเกิดความทุกข์ (ชรามรณะ)

2. กระบวนการดับทุกข์
• หากเขาศึกษาธรรมะและรู้ว่าแท้จริงแล้วทรัพย์สินไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง (อวิชชาดับ)
• เขาหยุดปรุงแต่งทางจิตว่าเงินคือทุกสิ่ง (สังขารดับ)
• จิตของเขาไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลส (วิญญาณดับ)
• เขาไม่ยึดติดกับร่างกายและสิ่งต่างๆ (นามรูปดับ)
• เมื่อพบสิ่งล่อตาล่อใจ เขารู้เท่าทันและไม่หลงใหล (สฬายตนะดับ)
• เมื่อไม่หลงใหล ก็ไม่เกิดความอยาก (ผัสสะดับ → เวทนาดับ → ตัณหาดับ)
• เมื่อหมดความอยาก ก็ไม่ยึดติด (อุปาทานดับ)
• ไม่ยึดติด จึงไม่สร้างภพใหม่ (ภพดับ)
• ไม่มีภพใหม่ ก็ไม่เกิดชาติใหม่ (ชาติดับ)
• เมื่อไม่มีชาติ ก็ไม่มีความแก่ตาย (ชรามรณะดับ)

ปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักธรรมที่อธิบายว่า ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุและปัจจัย หากตัดเหตุแห่งทุกข์ตั้งแต่ต้น (อวิชชา) ก็สามารถนำไปสู่การดับทุกข์โดยสิ้นเชิง นี่คือหนทางแห่งนิพพานที่พระพุทธเจ้าทรงสอน

🪷ปฏิจจสมุปบาท: วงจรแห่งการเกิดขึ้นของทุกข์

ปฏิจจสมุปบาท (Dependent Origination) เป็นหลักธรรมสำคัญที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ว่า “สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นโดยอาศัยเหตุปัจจัย เมื่อปัจจัยมี สิ่งนั้นจึงมี เมื่อปัจจัยดับ สิ่งนั้นจึงดับ” หลักการนี้อธิบายถึงกระบวนการเกิดขึ้นของทุกข์และการดับทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏ)

1. การกระทบกันของอายตนะภายในและภายนอก

พระพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา” นั้น เป็นเพียงการประชุมรวมของขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ซึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการ หนึ่งในนั้นคือ “อายตนะ” ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของปฏิจจสมุปบาท

อายตนะ แบ่งเป็น 2 ส่วน
• อายตนะภายใน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
• อายตนะภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์

เมื่อ อายตนะภายในกระทบกับอายตนะภายนอก ย่อมเกิด ผัสสะ (การสัมผัสรับรู้) และเมื่อมีผัสสะ ย่อมเกิด เวทนา (ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ) ซึ่งนำไปสู่ สัญญา (การจำแนกแยกแยะ) และส่งผลให้เกิด สังขาร (ความปรุงแต่งทางใจ) และ วิญญาณ (ความรับรู้ทางจิต)

ตัวอย่างของกระบวนการนี้
• ตา + รูป = ผัสสะ → เวทนา → สัญญา → สังขาร → วิญญาณ
• หู + เสียง = ผัสสะ → เวทนา → สัญญา → สังขาร → วิญญาณ
• ใจ + ธรรมารมณ์ = ผัสสะ → เวทนา → สัญญา → สังขาร → วิญญาณ

พุทธพจน์
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาย่อมมี เวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาย่อมมี ตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานย่อมมี อุปาทานเป็นปัจจัย ภพย่อมมี ภพเป็นปัจจัย ชาติจึงมี ชาติเกิดขึ้นแล้ว ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงเกิดขึ้น”
(สังยุตตนิกาย นิทานวรรค 12:1)

2. กระบวนการเกิดภพชาติ และกรรมเป็นผืนนา

2.1 การเกิดภพชาติจากเวทนาและตัณหา

เมื่อมีเวทนา (ความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉยๆ) ย่อมนำไปสู่ตัณหา (ความอยาก) ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) จากนั้นอุปาทานจะนำไปสู่ภพ (การดำรงอยู่ หรือการเกิดเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง) และสุดท้าย นำไปสู่ชาติ (การเกิด) เมื่อมีการเกิด ย่อมมีชรา มรณะ และทุกข์ทั้งปวง

พุทธพจน์
“ดูกรอานนท์ กรรมเป็นผืนนา วิญญาณเป็นพืช ตัณหาเป็นยางในพืช ความเจตนาตั้งขึ้นแล้ว ความปรารถนาตั้งขึ้นแล้ว ของสัตว์ทั้งหลายที่มีอวิชชาเป็นเครื่องกั้น มีตัณหาเป็นเครื่องผูก ย่อมทำให้เกิดในภพใหม่ต่อไป”
(อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต 6:63)

2.2 เปรียบเทียบกรรมกับการหว่านพืช
• กรรม เป็นเหมือนดิน ที่รองรับการเติบโตของต้นไม้
• วิญญาณ เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ ที่ตกลงไปในดิน
• ตัณหา เป็นเหมือนน้ำที่หล่อเลี้ยงเมล็ดให้เติบโต
• เมื่อกรรม วิญญาณ และตัณหา เกื้อหนุนกัน ย่อมเกิด “ภพ” ซึ่งเป็นการเติบโตของต้นไม้ และ “ชาติ” คือ การงอกงามของต้นไม้

2.3 การเกิดภพมี 3 ลักษณะ
1. กามภพ – การเกิดในภพที่ยังมีกาม (เช่น มนุษย์ เทวดา สัตว์)
2. รูปภพ – การเกิดในภพของพรหมที่ไม่มีความยินดีในกาม
3. อรูปภพ – การเกิดในภพของพรหมที่ไม่มีรูป

2.4 วัฏจักรของภพชาติ

ภพชาติไม่ได้จบเพียงแค่การเกิดแล้วตาย หากยังเวียนว่ายไปเรื่อยๆ เพราะมีกรรมเป็นตัวขับเคลื่อน ตราบใดที่ยังมีอวิชชาและตัณหาอยู่ การเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่มีที่สิ้นสุด

3. การดับปฏิจจสมุปบาท: หนทางแห่งการหลุดพ้น

เมื่อเข้าใจว่าปฏิจจสมุปบาททำให้เกิดทุกข์ วิธีดับทุกข์ก็คือ การดับเหตุปัจจัยเหล่านี้

3.1 อวิชชาดับ → สังขารดับ

เมื่อมีปัญญารู้แจ้ง ในอริยสัจ 4 อวิชชาก็ดับ เมื่อนั้น สังขาร (การปรุงแต่ง) ก็ดับไป

3.2 ตัณหาดับ → อุปาทานดับ → ภพดับ

เมื่อไม่มีความอยาก (ตัณหา) ก็จะไม่มีความยึดมั่น (อุปาทาน) เมื่อไม่มีอุปาทาน ก็จะไม่มีภพ เมื่อไม่มีภพ ก็ไม่มีชาติ และเมื่อไม่มีชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ทั้งหลายก็ดับ

พุทธพจน์
“อวิชชาดับ สังขารก็ดับ, สังขารดับ วิญญาณก็ดับ, วิญญาณดับ นามรูปก็ดับ, นามรูปดับ สฬายตนะก็ดับ, สฬายตนะดับ ผัสสะก็ดับ, ผัสสะดับ เวทนาก็ดับ, เวทนาดับ ตัณหาก็ดับ, ตัณหาดับ อุปาทานก็ดับ, อุปาทานดับ ภพก็ดับ, ภพดับ ชาติก็ดับ, ชาติดับ ชรามรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ก็ดับ นั่นแหละเป็นความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น”
(มหานิทานสูตร ทีฆนิกาย)

3.3 มรรคมีองค์ 8 เป็นหนทางดับทุกข์
• สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ)
• สัมมาสังกัปปะ (ความดำริชอบ)
• สัมมาวาจา (การพูดชอบ)
• สัมมากัมมันตะ (การกระทำชอบ)
• สัมมาอาชีวะ (การเลี้ยงชีพชอบ)
• สัมมาวายามะ (ความเพียรชอบ)
• สัมมาสติ (สติชอบ)
• สัมมาสมาธิ (สมาธิชอบ)

บทสรุป

ปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักที่อธิบายการเกิดขึ้นและดับไปของทุกข์โดยอาศัยเหตุปัจจัย เป็นกฎแห่งเหตุและผล หากเข้าใจและปฏิบัติตามหลักอริยมรรคแล้ว ย่อมสามารถนำไปสู่การพ้นทุกข์ได้

#Siamstr #nostr #ธรรมะ #พุทธศาสนา #พุทธวจน
Author Public Key
npub1hge4uuggdfspu0wmffxqs9vj38m55238q3z2jzd907e8qnjmlsyql78hs2