What is Nostr?
maiakee
npub1hge…8hs2
2025-02-07 04:00:50

maiakee on Nostr: ...



“ใครเป็นผู้เห็นจิตเกิดดับ” อธิบายโดยละเอียด อิงพุทธพจน์

หนึ่งในคำถามสำคัญของผู้ปฏิบัติธรรมคือ “ใครเป็นผู้เห็นจิตเกิดดับ?” เพราะหากมีผู้เห็น ย่อมหมายความว่ามี “ตัวตน” ที่แยกออกจากจิต แต่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ขันธ์ทั้งห้า (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) เป็นอนัตตา แล้วสิ่งใดเป็นผู้เห็น?

บทความนี้จะอธิบายอย่างแยบคาย พร้อม พุทธพจน์ 10 ข้อ เพื่อให้เข้าใจว่าการเห็นจิตเกิดดับนั้น ไม่ใช่ “ตัวตนเห็น” แต่เป็นปัญญาที่รู้แจ้ง

1. จิตเกิดดับเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวตน

พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า จิตเป็นธรรมชาติที่ผุดขึ้นแล้วก็ดับไปตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่ของใคร ไม่มี “เรา” เป็นผู้ควบคุมจิต

พุทธพจน์ที่ 1
“จิตนี้แล เป็นธรรมชาติที่ผ่องแผ้ว แต่เศร้าหมองเพราะอุปกิเลสที่จรมาสิง”
(องฺ. จตุกฺก. ๑๖๓)

อธิบาย:
• จิตเองเป็นกลาง ไม่มีตัวตนที่แท้จริง
• จิตเศร้าหมองเพราะอุปกิเลสเข้าครอบงำ ไม่ใช่เพราะมี “เรา” ไปทำให้เศร้าหมอง
• หากมี “ตัวเรา” เป็นเจ้าของจิต เราควรควบคุมจิตได้ตลอดเวลา แต่ความจริงคือ จิตเปลี่ยนแปลงไปเองตามเหตุปัจจัย

2. การเห็นจิตเกิดดับคือปัญญา ไม่ใช่ตัวตนเห็น

ผู้ที่เห็นจิตเกิดดับ ไม่ใช่ “ตัวเรา” แต่เป็นปัญญาที่เกิดจากการฝึกอบรม

พุทธพจน์ที่ 2
“บุคคลผู้มีปัญญา ย่อมเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมเบื่อหน่ายในสังขาร และหลุดพ้นจากทุกข์”
(ขัณฑสูตร, สังยุตตนิกาย)

อธิบาย:
• การเห็นสังขารไม่เที่ยงเป็นหน้าที่ของ ปัญญา ไม่ใช่ตัวตน
• หากมีตัวตนเป็นผู้เห็นจริง ต้องเห็นได้ทุกขณะโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ในความจริง ปัญญาเกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปัจจัย

3. การเข้าใจว่ามีตัวตนเห็น เป็นอวิชชา

การคิดว่า “เรา” เป็นผู้เห็นจิตเกิดดับ เป็นอวิชชา เพราะเป็นความเข้าใจผิดว่ามี “ตัวตนแท้จริง”

พุทธพจน์ที่ 3
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อวิชชาเป็นเครื่องกั้น ตัณหาเป็นเครื่องผูก พวกเธอจึงเวียนว่ายไปในสังสารวัฏ”
(มหาสัจจักกสูตร, มัชฌิมนิกาย)

อธิบาย:
• อวิชชาทำให้เกิดความคิดว่า “เราคือผู้เห็น”
• ตัณหาเป็นตัวผูกมัดให้เกิดอัตตาทิฏฐิ (ความเห็นว่ามีตัวตน)
• หากยังคิดว่ามี “เราเป็นผู้เห็น” ก็ยังเวียนว่ายต่อไป ไม่อาจพ้นจากสังสารวัฏ

4. สติและปัญญาทำหน้าที่รู้ ไม่ใช่ตัวตนรู้

พระพุทธองค์ทรงสอนว่า การเห็นจิตเกิดดับเป็นหน้าที่ของสติและปัญญา ไม่ใช่ “ตัวเรา”

พุทธพจน์ที่ 4
“ภิกษุพึงพิจารณาจิตนี้เสมอด้วยความไม่ประมาท”
(อัปปมาทสูตร, อังคุตตรนิกาย)

อธิบาย:
• “พึงพิจารณา” หมายถึง ให้สติ-ปัญญาทำงานเอง ไม่ใช่ “เรา” ไปบังคับให้เห็น
• หากสติสัมปชัญญะไม่เกิดขึ้น ปัญญาก็ไม่สามารถรู้จิตได้

5. ขันธ์ทั้งห้าเป็นของไม่เที่ยง ไม่มีผู้เป็นเจ้าของ

พระพุทธองค์ทรงแสดงว่า ขันธ์ทั้งห้าเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนจริง

พุทธพจน์ที่ 5
“รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา”
(อนัตตลักขณสูตร, สังยุตตนิกาย)

อธิบาย:
• หากไม่มีตัวตนในขันธ์ทั้งห้า ก็ไม่มี “เรา” ที่เป็นผู้เห็นจิตเกิดดับ
• การเห็นจิตเกิดดับเป็นเพียงกระบวนการของ สติและปัญญา ไม่ใช่ตัวตนเห็น

6. ผู้ที่เข้าใจผิดว่ามีตัวตนเห็น ยังต้องเวียนว่าย

ผู้ที่คิดว่ามี “ตัวตน” เป็นผู้เห็น ย่อมต้องเกิดอีก

พุทธพจน์ที่ 6
“ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร”
(ปฏิจจสมุปบาทสูตร)

อธิบาย:
• เมื่อยังคิดว่ามี “เรา” เป็นผู้รู้ ก็ยังมีเชื้อให้เวียนว่าย
• ต้องละความเห็นว่า “เราเห็น” จึงจะพ้นจากการเกิดใหม่

7. เมื่อปัญญาแจ่มแจ้ง จะเห็นว่าไม่มีตัวตนเลย

ปัญญาที่สมบูรณ์จะเห็นว่า ไม่มี “เรา” อยู่จริง

พุทธพจน์ที่ 7
“เมื่อเห็นธรรมโดยความเป็นของไม่เที่ยง จิตย่อมหน่าย เมื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด เมื่อคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น”
(อนิจจสัญญาสูตร, อังคุตตรนิกาย)

8. การเข้าใจว่าไม่มีตัวตนเป็นมรรคที่ถูกต้อง

เมื่อเข้าใจว่าไม่มี “ผู้เห็น” ย่อมเดินทางในมรรคที่ถูกต้อง

พุทธพจน์ที่ 8
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยมรรคนี้แล เป็นทางเดียวที่นำไปสู่การดับทุกข์”
(มหาสติปัฏฐานสูตร, ทีฆนิกาย)

9. ไม่มีใครเป็นผู้บรรลุนิพพาน มีแต่ธรรมชาติของปัญญารู้แจ้ง

พุทธพจน์ที่ 9
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในที่สุดของโลกนั้นไม่มีบุคคลอยู่ มีแต่ธรรมล้วนๆ”
(โลกสูตร, สังยุตตนิกาย)

10. สรุป: ไม่มีใครเป็นผู้เห็น มีแต่ธรรมชาติของปัญญาแจ้งรู้

พุทธพจน์ที่ 10
“เมื่อปัญญาบริสุทธิ์ จึงไม่มีผู้ใดเหลืออยู่ มีแต่ความสงบแห่งธรรม”
(ขัณฑสูตร, สังยุตตนิกาย)

สรุป:
• ไม่มี “เรา” เป็นผู้เห็นจิตเกิดดับ
• มีแต่สติและปัญญาทำงานเอง
• เมื่อปัญญาถึงที่สุด นิพพานย่อมเกิดขึ้นเอง

#Siamstr #พุทธวจนะ #พุทธวจน #nostr #ธรรมะ
Author Public Key
npub1hge4uuggdfspu0wmffxqs9vj38m55238q3z2jzd907e8qnjmlsyql78hs2