maiakee on Nostr: ...

ละนันทิ นิวรณ์ 5 อุปทิ และอุปิลาพิกานิ: กระบวนการละด้วยปัญญา ตามพุทธพจน์
1. บทนำ: ความสำคัญของการละนันทิ นิวรณ์ 5 และอุปทิ
การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนามุ่งไปที่การดับทุกข์ (ทุกขนิโรธ) ซึ่งเกิดจากตัณหาและอุปาทาน “นันทิ” (Nandi) หรือความเพลิดเพลินยินดีในสิ่งต่าง ๆ เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตัณหาเกิดขึ้น และเมื่อตัณหาเกิดขึ้น ย่อมนำไปสู่อุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) และการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
พระพุทธองค์ตรัสว่า:
“นันทิยุตฺตสฺส ภิกฺขเว ตณฺหา ปวตฺตติ, นันทิตสฺส อุปาทานํ, อุปาทานปจฺจยา ภโว”
(ภิกษุทั้งหลาย ! เมื่อยังมีนันทิ (ความเพลิดเพลิน) ตัณหาย่อมเกิดขึ้น เพราะนันทิเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ)
— ขุททกนิกาย อุทาน 3.10
นันทิเป็นองค์ประกอบสำคัญของ “อุปทิ” (Upadhi) ซึ่งหมายถึงเครื่องข้องหรือสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ เมื่อมีนันทิในสิ่งใด ย่อมมีตัณหา และเมื่อตัณหามีอยู่ อุปทิย่อมเกิดขึ้น
2. นิวรณ์ 5 และบทบาทของนันทิในการปิดกั้นปัญญา
นิวรณ์ 5 (Pañca Nīvaraṇa) เป็นสิ่งที่กั้นจิตไม่ให้เข้าสู่สมาธิและปัญญา ประกอบด้วย:
1. กามฉันทะ (Kāmacchanda) – ความพอใจติดใจในกาม
2. พยาบาท (Byāpāda) – ความขัดเคือง อาฆาต
3. ถีนมิทธะ (Thīna-middha) – ความหดหู่ ง่วงเหงา
4. อุทธัจจกุกกุจจะ (Uddhacca-kukkucca) – ความฟุ้งซ่าน ร้อนใจ
5. วิจิกิจฉา (Vicikicchā) – ความลังเลสงสัย
พระพุทธองค์ตรัสว่า:
“กามฉนฺโท ปาปโก อนฺโต อญฺญาณสฺส นิวรณํ”
(กามฉันทะเป็นธรรมที่ชั่ว เป็นเครื่องกั้นปัญญาอย่างยิ่ง)
— อังคุตตรนิกาย 5.193
นิวรณ์ 5 ทำให้เกิดนันทิในสิ่งที่ทำให้จิตหมกมุ่น ไม่สามารถเข้าสู่ปัญญาและวิมุตติได้ การละนันทิจึงต้องละนิวรณ์ 5 ไปพร้อมกัน
3. อุปทิ และ อุปิลาพิกานิ: รากเหง้าของทุกข์
3.1 อุปทิ 4 ประเภท
อุปทิ (Upadhi) หรือเครื่องข้องแห่งทุกข์ มี 4 ประเภท ได้แก่:
1. กามูปทิ (Kāmūpadhi) – ความยึดมั่นในกาม
2. ขันธูปทิ (Khandhūpadhi) – ความยึดมั่นในขันธ์ห้า
3. กิเลสูปทิ (Kilesūpadhi) – ความยึดมั่นในกิเลส
4. อภิสังขารูปทิ (Abhisankhārūpadhi) – ความยึดมั่นในการปรุงแต่งกรรม
3.2 อุปิลาพิกานิ: สิ่งที่นำไปสู่อุปทิ
อุปิลาพิกานิ (Upalābhikāni) เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดอุปาทานในอุปทิ เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ซึ่งเป็นที่ตั้งของนันทิ เมื่อยังมีความเพลิดเพลินในอารมณ์เหล่านี้ จิตย่อมผูกพันอยู่ในอุปทิ
4. ขั้นตอนการละนันทิ นิวรณ์ 5 และอุปทิ ตามพุทธพจน์
4.1 พิจารณาไตรลักษณ์ของอุปทิ และอุปิลาพิกานิ
พระพุทธองค์ตรัสว่า:
“อุปทิ อุปิลาพิกานิ อนิจฺจา ทุกฺขา อนตฺตา”
(อุปทิ และสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดอุปทิ ทั้งหมดเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
— สังยุตตนิกาย ขันธวรรค 22.5
4.2 ใช้สติ และโยนิโสมนสิการ
“สติ จ โข ภิกฺขเว พิกฺขุโน นีวรเณสุ อุปฺปชฺชมานสฺสุ อุเปกฺขโก วิหรติ”
(ภิกษุผู้มีสติ ย่อมอยู่ด้วยความวางเฉยเมื่อนิวรณ์เกิดขึ้น)
— สังยุตตนิกาย 46.2
4.3 เจริญสมาธิและวิปัสสนา เพื่อละนันทิ อุปทิ และอุปิลาพิกานิ
“อุเปกฺขา สมาธิ ปริสุทฺโธ”
(สมาธิที่มีอุเบกขาย่อมบริสุทธิ์)
— มัชฌิมนิกาย 118
5. ตัวอย่างในพระสูตรของผู้ละนันทิ และอุปทิ
5.1 พระอนุรุทธเถระ
พระอนุรุทธเถระมีนันทิในทิพยจักษุญาณ พระพุทธองค์ตรัสเตือนให้ละนันทิ จึงบรรลุอรหัตผล
“นันทิยุตฺตสฺส อนุรุทฺธ ตณฺหา ปวตฺตติ”
(อนุรุทธะ ! เมื่อยังมีนันทิ ตัณหาย่อมเกิดขึ้น)
— อังคุตตรนิกาย 8.30
5.2 พระภัททาลิเถระ
พระภัททาลิเถระมีนันทิในความสงบ พระพุทธองค์ทรงสอนให้ละนันทิ จึงบรรลุนิพพาน
“โส นันทึ ปหาย นิพฺพุติง ปาปุณาติ”
(เมื่อเขาละนันทิได้ ย่อมบรรลุนิพพาน)
— อังคุตตรนิกาย 6.19
6. สรุปแนวทางปฏิบัติเพื่อละนันทิ นิวรณ์ 5 อุปทิ และอุปิลาพิกานิ
1. พิจารณาโทษของนันทิ และนิวรณ์ ว่าขัดขวางปัญญา
2. ใช้สติรู้เท่าทันจิต ไม่ให้เกิดนันทิ
3. พิจารณาด้วยปัญญาตามไตรลักษณ์
4. เจริญสมาธิ และวิปัสสนา จนเห็นความจริงของขันธ์
5. ละอุปทิ และอุปิลาพิกานิ โดยสิ้นเชิง
พระพุทธองค์ตรัสว่า:
“นันทิยา ตณฺหา ปวตฺตติ, นันทิยา นตฺถิ นิพฺพานํ”
(เมื่อนันทิยังมีอยู่ ตัณหาย่อมเกิดขึ้น, ไม่มีนันทิ จึงมีนิพพานได้)
— อังคุตตรนิกาย 3.10
เมื่อสามารถละนันทิ อุปทิ และอุปิลาพิกานิได้ ย่อมบรรลุอรหัตผลและพ้นจากสังสารวัฏโดยสิ้นเชิง
#Siamstr #พุทธวจนะ #พุทธวจน #nostr #ธรรมะ