Libertarian.realpolitik on Nostr: ...
การอ้างหลักการที่อยู่บนพื้นฐานศีลธรรม อุดมการณ์ทางการเมืองหรืออะไรก็ตามเป็นเพียงการอ้างเปล่า ๆ เพื่อแสวงหาการได้มาซึ่งอำนาจเท่านั้น (Any Principle or Ideology is Downstream of Justification for Power and the Action of Power.)
ดังนั้นการที่ช่วงนี้เราจะเห็นฝ่ายการเมืองไหนก็ตามที่อ้างเรื่องหลักการหรือศีลธรรมล้วนแล้วต้องการความคงเส้นคงวาในเป้าหมายที่ต้องการ (อำนาจ) แต่ทว่าความคงเส้นคงวานั้นไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอด มันจำเป็นต้องยืดหยุ่นและหักดิบได้ตลอดเวลา ทำให้แนวคิดทางการเมืองแบบยึดในหลักการไม่สามารถนำมา "รับประทาน" ได้เราเรียกแบบนี้ว่า consistency principle ตรงกันข้ามกับแนวคิดทางการเมืองที่ยืดหยุ่นปรับตัวตามสถานการณ์ ถ้าหากประชาชนต้องการแก้ไขปัญหาปากท้อง ค่าไฟ ค่าครองชีพการปรับตัวเข้าตามสถานการณ์คือ ต้องพิจารณาลำดับความสำคัญแบบ a ไป b ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมันไม่ค่อยวางอยู่บนหลักการทางศีลธรรม หรือ อุดมการณ์อะไรมาก เราเรียกแบบนี้ว่า realpolitik
ในความเป็นจริงคือ วาทกรรม "ยึดมั่นในหลักการ" = ต้องการสถาปนาหลักการทางศีลธรรมใหม่ในสังคม คำถามคือมีอะไรต่างจากเก่าหรือไม่? ความแตกต่างก็แค่ (i).หน้าตาของผู้ปกครอง; (ii).วิธีการของผู้ปกครองที่จะปกครอง (อุดมการณ์, ความยืดหยุ่นของการบริหารจัดการ, แนวทางนโยบาย, etc) แต่โดยรวมก็ต้องแยกระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองอยู่ดี ถึงใครจะโฆษณาความเท่าเทียมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองผ่านการทำรัฐสวัสดิการ แก้หนี้บลา ๆ ได้แค่ไหน สุดท้ายมันก็ต้องเกิดความเหลื่อมล้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ความเป็นธรรมที่รัฐจะให้มันไม่ได้เกิดขึ้นจากการขยายอำนาจรัฐให้ตรวจสอบควบคุมได้ทั้งหมดอย่างเท่ากัน แต่เกิดการระบบถ่วงดุลที่แข็งขันและรัฐมีอำนาจจำกัด เช่นนั้นแล้วการประโคมข่าว งานวิชาการ หรืออะไรต่ออะไรก็เป็นเพียง "การหลอกลวง"
ประเทศเราจะเจริญไม่ได้มันไม่เกิดจากประชาธิปไตย ไม่ได้เกิดจากรัฐสวัสดิการ ไม่ได้เกิดจากการทำให้เป็นสังคมนิยม แต่เกิดจากการที่คนเรามีเสรีภาพอย่างมีขอบเขตที่เป็นสารตั้งต้นของความเจริญรุ่งเรืองต่อคนและประเทศชาติ เรามีกินมีใช้ได้ก็เพราะเราผลิตและแลกเปลี่ยนสิ่งที่เรามีกับคนอื่นเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า "ตลาด" หรือ เรามีการแบ่งปันและอัตลักษณ์ความแตกต่างของคนกับคนก็เป็นผลมาจากการที่เรามี "วัฒนธรรม" ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ สิ่งเหล่านี้มันเกื้อกูลกันให้ประเทศและคนมันเดินต่อไปได้ ให้มันเป็นจุดเริ่มต้นของความฝันที่จะเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้เกิดจาก "การรับประทาน" หลักการที่เชื่อมั่นอย่างคงเส้นคงขวา โดยเฉพาะหลักการที่เชื่อมั่นในรัฐสวัสดิการ ประชาธิปไตย หรือ สังคมนิยมมันไม่ได้ทำให้คนอิ่มท้องได้เพราะรัฐต้องให้อะไร แต่มาจากคนทำอะไร
ดังนั้นการที่ช่วงนี้เราจะเห็นฝ่ายการเมืองไหนก็ตามที่อ้างเรื่องหลักการหรือศีลธรรมล้วนแล้วต้องการความคงเส้นคงวาในเป้าหมายที่ต้องการ (อำนาจ) แต่ทว่าความคงเส้นคงวานั้นไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปตลอด มันจำเป็นต้องยืดหยุ่นและหักดิบได้ตลอดเวลา ทำให้แนวคิดทางการเมืองแบบยึดในหลักการไม่สามารถนำมา "รับประทาน" ได้เราเรียกแบบนี้ว่า consistency principle ตรงกันข้ามกับแนวคิดทางการเมืองที่ยืดหยุ่นปรับตัวตามสถานการณ์ ถ้าหากประชาชนต้องการแก้ไขปัญหาปากท้อง ค่าไฟ ค่าครองชีพการปรับตัวเข้าตามสถานการณ์คือ ต้องพิจารณาลำดับความสำคัญแบบ a ไป b ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมันไม่ค่อยวางอยู่บนหลักการทางศีลธรรม หรือ อุดมการณ์อะไรมาก เราเรียกแบบนี้ว่า realpolitik
ในความเป็นจริงคือ วาทกรรม "ยึดมั่นในหลักการ" = ต้องการสถาปนาหลักการทางศีลธรรมใหม่ในสังคม คำถามคือมีอะไรต่างจากเก่าหรือไม่? ความแตกต่างก็แค่ (i).หน้าตาของผู้ปกครอง; (ii).วิธีการของผู้ปกครองที่จะปกครอง (อุดมการณ์, ความยืดหยุ่นของการบริหารจัดการ, แนวทางนโยบาย, etc) แต่โดยรวมก็ต้องแยกระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองอยู่ดี ถึงใครจะโฆษณาความเท่าเทียมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองผ่านการทำรัฐสวัสดิการ แก้หนี้บลา ๆ ได้แค่ไหน สุดท้ายมันก็ต้องเกิดความเหลื่อมล้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่ดี ความเป็นธรรมที่รัฐจะให้มันไม่ได้เกิดขึ้นจากการขยายอำนาจรัฐให้ตรวจสอบควบคุมได้ทั้งหมดอย่างเท่ากัน แต่เกิดการระบบถ่วงดุลที่แข็งขันและรัฐมีอำนาจจำกัด เช่นนั้นแล้วการประโคมข่าว งานวิชาการ หรืออะไรต่ออะไรก็เป็นเพียง "การหลอกลวง"
ประเทศเราจะเจริญไม่ได้มันไม่เกิดจากประชาธิปไตย ไม่ได้เกิดจากรัฐสวัสดิการ ไม่ได้เกิดจากการทำให้เป็นสังคมนิยม แต่เกิดจากการที่คนเรามีเสรีภาพอย่างมีขอบเขตที่เป็นสารตั้งต้นของความเจริญรุ่งเรืองต่อคนและประเทศชาติ เรามีกินมีใช้ได้ก็เพราะเราผลิตและแลกเปลี่ยนสิ่งที่เรามีกับคนอื่นเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า "ตลาด" หรือ เรามีการแบ่งปันและอัตลักษณ์ความแตกต่างของคนกับคนก็เป็นผลมาจากการที่เรามี "วัฒนธรรม" ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ สิ่งเหล่านี้มันเกื้อกูลกันให้ประเทศและคนมันเดินต่อไปได้ ให้มันเป็นจุดเริ่มต้นของความฝันที่จะเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน สิ่งเหล่านี้มันไม่ได้เกิดจาก "การรับประทาน" หลักการที่เชื่อมั่นอย่างคงเส้นคงขวา โดยเฉพาะหลักการที่เชื่อมั่นในรัฐสวัสดิการ ประชาธิปไตย หรือ สังคมนิยมมันไม่ได้ทำให้คนอิ่มท้องได้เพราะรัฐต้องให้อะไร แต่มาจากคนทำอะไร