maiakee on Nostr: ...

เหตุใดพระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ควรถามว่า “หลังนิพพานแล้วจะมีการเกิดหรือไม่มีการเกิด?”
1. พุทธพจน์เกี่ยวกับเรื่องนี้
ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธการตอบคำถามเกี่ยวกับสถานะของพระอรหันต์หลังนิพพานว่า
“ภิกษุทั้งหลาย! คำถามที่ว่า ‘ตถาคตเมื่อตายแล้วยังมีอยู่หรือไม่?’ เป็นคำถามที่ไม่ควรถาม เพราะเป็นเรื่องที่เกินขอบเขตของการคิดด้วยตรรกะสามัญ” (มัชฌิมนิกาย, จูฬมาลุงกยะสูตร)
“ภิกษุทั้งหลาย! การจะกล่าวว่า ตถาคตมีอยู่หลังมรณะ ไม่มีอยู่หลังมรณะ หรือทั้งมีอยู่และไม่มีอยู่ หรือไม่ทั้งมีอยู่และไม่มีอยู่ ย่อมผิดทั้งหมด” (อังคุตตรนิกาย 4.173)
2. การวิเคราะห์และเหตุผล
(1) คำถามนี้เกิดจากทิฏฐิ 2 ฝ่าย ซึ่งผิดทั้งคู่
• อุจเฉททิฏฐิ (ลัทธิสูญนิยต) – เชื่อว่าตายแล้วสูญ
• สัสสตทิฏฐิ (ลัทธิเที่ยง) – เชื่อว่าตายแล้วดวงจิตคงอยู่ตลอดไป
พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า นิพพานไม่ใช่การดับสูญ และไม่ใช่การคงอยู่ของดวงจิต เพราะนิพพานอยู่ พ้นไปจากสมมติ ของการมีและไม่มี
“ผู้กล่าวว่าตถาคตมีอยู่หลังมรณะ ไม่มีอยู่หลังมรณะ ทั้งมีอยู่และไม่มีอยู่ หรือไม่ทั้งมีอยู่และไม่มีอยู่ เป็นผู้กล่าวผิด เพราะตถาคตเป็นธรรมอันพ้นจากโลก” (อังคุตตรนิกาย 4.174)
(2) นิพพานพ้นไปจากความคิดแบบโลกๆ
ใน มหามาลุงกยะสูตร มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ มาลุงกยบุตร ถามพระพุทธเจ้าว่า “หลังนิพพานแล้ว จะมีอยู่หรือไม่มีอยู่?” พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบเทียบว่า
“ดั่งไฟที่ดับไปแล้ว ท่านจะกล่าวว่าไฟไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ หรือทิศตะวันออกตะวันตก ได้หรือไม่?”
มาลุงกยบุตรตอบว่า “ไม่ได้ เพราะไฟดับไปแล้ว ไม่มีทิศทาง”
“ฉันใดก็ฉันนั้น ตถาคตดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ไม่อาจกล่าวได้ว่ามีอยู่ ไม่มีอยู่ ทั้งมีและไม่มี หรือไม่ทั้งมีและไม่มี” (มัชฌิมนิกาย, มหามาลุงกยะสูตร)
🔥 การเปรียบเทียบ 🔥
• ไฟเกิดจากเชื้อเพลิง → กิเลสเป็นเชื้อเพลิงของสังสารวัฏ
• เมื่อเชื้อเพลิงหมด → ไฟก็ดับ เช่นเดียวกับเมื่อกิเลสดับ → นิพพานเกิด
• เมื่อไฟดับ จะบอกว่า “ไฟไปอยู่ที่ไหน” ไม่ได้ → เช่นเดียวกับพระอรหันต์เมื่อนิพพาน จะบอกว่า “ยังมีอยู่” หรือ “ไม่มีอยู่” ก็ไม่ได้
(3) นิพพานไม่ใช่สภาวะที่มีหรือไม่มี
การถามว่า “นิพพานแล้วยังมีอยู่หรือไม่มีอยู่?” เท่ากับพยายามใช้ กรอบคิดของโลก ไปวัดสิ่งที่อยู่เหนือโลก
พระพุทธองค์ตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย! โลกนี้มีแต่ผู้หลงติดในความมีและความไม่มี แต่ตถาคตเป็นผู้พ้นจากความมีและความไม่มี” (สังยุตตนิกาย 22.86)
🔹 ถ้ากล่าวว่า ‘ตายแล้วสูญ’ = ผิด เพราะนิพพานไม่ใช่การดับสูญแบบอุจเฉททิฏฐิ
🔹 ถ้ากล่าวว่า ‘ตายแล้วจิตยังอยู่’ = ผิด เพราะนิพพานไม่ใช่สภาวะที่ยังมีอัตตาคงอยู่
3. ตัวอย่างที่เข้าใจง่าย
ตัวอย่างที่ 1: หยดน้ำในมหาสมุทร
หากมี หยดน้ำหยดหนึ่งตกลงในมหาสมุทร แล้วมีคนถามว่า
• “หยดน้ำยังอยู่หรือไม่?”
• เราจะตอบว่า “อยู่ก็ไม่ได้ ไม่อยู่ก็ไม่ได้” เพราะมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทร ไม่สามารถแยกออกมาเป็นหยดเดิมอีก
🟢 เปรียบเทียบกับนิพพาน
เมื่อพระอรหันต์ดับขันธ์ ก็เป็นเพียงการ สิ้นสุดของขันธ์ 5 ไม่ใช่การดับสูญ แต่ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่า “ยังมีอยู่” ตามกรอบความคิดแบบโลกๆ
ตัวอย่างที่ 2: คลื่นวิทยุที่ปิดเครื่องรับ
• เมื่อเราปิด วิทยุ จะมีคลื่นวิทยุอยู่หรือไม่?
• คำตอบคือ “คลื่นยังมี แต่เครื่องไม่สามารถรับคลื่นได้แล้ว”
🟢 เปรียบเทียบกับนิพพาน
จิตของพระอรหันต์ก่อนนิพพานยังต้องอาศัยขันธ์ทำงานอยู่ (เช่นเดียวกับเครื่องรับวิทยุ)
แต่เมื่อนิพพาน ขันธ์ดับไป แล้ว การถามว่า “พระอรหันต์ยังมีอยู่หรือไม่?” ก็เหมือนการถามว่า “คลื่นวิทยุยังมีอยู่ไหมเมื่อปิดเครื่อง?” ซึ่งเป็นคำถามที่ผิด
4. บทสรุป
✅ การถามว่า “หลังนิพพานแล้วมีอยู่หรือไม่มีอยู่” เป็นคำถามที่ผิด เพราะ
1. เป็นเรื่องเกินวิสัยของความคิดแบบโลกๆ → นิพพานอยู่พ้นจากความมีและความไม่มี
2. เป็นการยึดติดทิฏฐิผิดๆ → ทั้ง “สูญ” และ “คงอยู่” ล้วนไม่ถูกต้อง
3. นิพพานไม่ใช่ภาวะที่สามารถนิยามได้ตามกรอบคิดของเรา → เหมือนไฟที่ดับไปแล้ว จะถามว่าไฟไปทางไหนก็ไม่มีความหมาย
🔹 สิ่งที่ควรปฏิบัติแทนที่จะตั้งคำถามคืออะไร?
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“บุคคลควรปฏิบัติให้ถึงนิพพานเอง ไม่ใช่ตั้งคำถามถึงสภาวะของมัน” (ขุททกนิกาย อุทาน 8.3)
📌 สรุปง่ายๆ
ไม่ต้องถามว่านิพพานเป็นอย่างไร จงมุ่งปฏิบัติเพื่อถึงนิพพานเอง
#Siamstr #พุทธวจนะ #พุทธวจน #nostr #ธรรมะ