maiakee on Nostr: ...

🪷ทำไมการดูผัสสะทางลิ้นอย่างเดียวก็สามารถบรรลุได้
ผัสสะ (สัมผัส) เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการทางจิตทั้งหมด เมื่อมีผัสสะ ย่อมเกิดเวทนา (ความรู้สึก) ซึ่งนำไปสู่ตัณหา (ความอยาก) และอุปาทาน (ความยึดมั่นถือมั่น) ผัสสะจึงเป็นหัวใจสำคัญของวัฏฏะ โดยเฉพาะ ผัสสะทางลิ้น (รสผัสสะ) ที่มีอิทธิพลอย่างมากในการกระตุ้นกิเลส การกำหนดรู้และเห็นธรรมจากรสผัสสะเพียงอย่างเดียว สามารถนำไปสู่ความหลุดพ้นได้ หากพิจารณาด้วยปัญญา
พระพุทธองค์และพระสาวกเคยสนทนาเกี่ยวกับการพิจารณาผัสสะทางลิ้นโดยละเอียด พระสูตรหลายบทกล่าวถึงการควบคุมอินทรีย์ การพิจารณาผัสสะ และบทบาทของมโนวิญญาณในการรับรู้รส
๑. ผัสสะทางลิ้นเป็นจุดเริ่มของปฏิจจสมุปบาท
พระพุทธองค์ตรัสใน มหานิทานสูตร (ทีฆนิกาย) ว่า
“ผัสสะปจฺจยา เวทนา”
(เมื่อมีผัสสะ ย่อมเกิดเวทนา)
อธิบาย
• เมื่อลิ้นสัมผัสรสชาติ จะเกิดผัสสะ
• ผัสสะทำให้เกิดเวทนา (สุข ทุกข์ หรือเฉยๆ)
• เวทนานำไปสู่ตัณหา (ความอยากหรือไม่อยาก)
ตัวอย่าง
• หากรสชาติอร่อย เกิดสุขเวทนา → เกิดตัณหาต้องการรสอร่อยอีก
• หากรสชาติขม เกิดทุกขเวทนา → เกิดตัณหาที่ไม่อยากลิ้มรสนั้น
๒. รสเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งจิตให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร
ใน องคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต พระพุทธองค์ตรัสว่า
“รสานิ โสมนสฺสการณํ”
(รสเป็นเหตุให้เกิดความเพลิดเพลินใจ)
อธิบาย
• ความติดใจในรสอาหารเป็นหนึ่งในเครื่องผูกที่เหนียวแน่น
• แม้ภิกษุยังต้องกำหนดรู้ มิฉะนั้นจะติดอยู่ในความอยาก
ตัวอย่าง
• บางคนเดินทางไกลเพื่อลิ้มรสอาหารหายาก เพราะติดใจในรส
• แม้แต่สัตว์ก็แสวงหาอาหารรสอร่อย ทำให้ติดในสังสารวัฏ
๓. ผัสสะทางลิ้นเป็นเหตุแห่งอวิชชาและตัณหา
พระพุทธองค์ตรัสใน สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ว่า
“เวทนา ปจฺจยา ตณฺหา”
(เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาจึงเกิดขึ้น)
อธิบาย
• เวทนาที่เกิดจากรส ทำให้เกิดตัณหาติดรส
• ตัณหานำไปสู่อุปาทาน (ยึดมั่นในรส)
• อุปาทานทำให้เกิดภพ (ภาวะของความอยาก)
ตัวอย่าง
• บุคคลที่ติดอาหารบางประเภท อาจเกิดอารมณ์หงุดหงิดเมื่อไม่ได้กิน
๔. การพิจารณาผัสสะทางลิ้นเป็นวิปัสสนากรรมฐาน
พระพุทธองค์ตรัสใน มหาสติปัฏฐานสูตร (ทีฆนิกาย) ว่า
“สัมปชญฺญํ กุโรวี”
(พึงมีสัมปชัญญะในการบริโภค)
อธิบาย
• ขณะรับประทานอาหาร หากพิจารณาว่าเป็นเพียงธาตุที่มาเลี้ยงร่างกาย จิตจะไม่เกิดตัณหา
• วิปัสสนาคือการเห็นรสเป็นไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)
ตัวอย่าง
• พระมหากัสสปะฉันอาหารด้วยจิตที่เห็นว่าเป็นเพียงเครื่องยังชีพ
๕. มโนวิญญาณกับผัสสะทางลิ้น
พระพุทธองค์ตรัสใน สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ว่า
“รโส จ วิญญาณํ จ สมาคโต ผัสฺโส โหติ”
(เมื่อรสและวิญญาณมาพบกัน ย่อมเกิดผัสสะ)
อธิบาย
• ผัสสะทางลิ้นไม่ใช่เพียงกายสัมผัส แต่เกิดจาก มโนวิญญาณ ที่ไปรับรู้
• เมื่อมโนวิญญาณรับรู้รส ย่อมเกิดการปรุงแต่ง (สังขาร)
ตัวอย่าง
• รสเดียวกัน แต่คนละคนอาจชอบหรือไม่ชอบ เพราะเกิดสังขารจิตแตกต่างกัน
๖. การสำรวมอินทรีย์ช่วยลดตัณหาที่เกิดจากรส
ใน สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค พระพุทธองค์ตรัสว่า
“โย จ อินฺทฺริยคุตฺโต โหติ โส อปิ นิพฺพานํ อธิคจฺฉติ”
(ผู้ที่สำรวมอินทรีย์ ย่อมเข้าถึงนิพพานได้)
อธิบาย
• ผู้ที่กำหนดรู้รสโดยไม่ให้เกิดตัณหา ย่อมดับทุกข์ได้
ตัวอย่าง
• พระอานนท์เคี้ยวอาหารด้วยจิตเป็นสมาธิ ไม่ให้เกิดความพอใจในรส
๗. ผัสสะทางลิ้นเกี่ยวข้องกับกามราคะ
ใน องคุตตรนิกาย พระพุทธองค์ตรัสว่า
“กามานํ ทิสฺวา อาทีนวํ น ปุจฺฉติ รสนํ”
(ผู้เห็นโทษของกาม ย่อมไม่ใฝ่หาความสุขจากรสอาหาร)
อธิบาย
• ความอยากในรสเป็นรากฐานของกามคุณ
ตัวอย่าง
• นักบวชที่ยังติดรสอาหาร ย่อมเป็นเหตุให้กลับไปเสพกาม
๘. พระสารีบุตรพิจารณาผัสสะทางลิ้นจนบรรลุอรหัตผล
พระสารีบุตรกล่าวใน เถรคาถา ว่า
“รโส วิรฏฺโฐ สุขํ เวทยามิ”
(ผู้หลุดพ้นจากรส ย่อมพบสุขที่แท้จริง)
อธิบาย
• พระสารีบุตรพิจารณาเวทนาโดยไม่ให้เกิดตัณหา
๙. การพิจารณารสเป็นปฏิกูล
พระพุทธองค์ตรัสใน สัลลสูตร (สังยุตตนิกาย) ว่า
“ปฏิกูลํ ภิกฺขเว อาหารํ ปัสฺสถ”
(ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พึงเห็นอาหารเป็นของปฏิกูล)
อธิบาย
• อาหารเป็นเพียงธาตุ ไม่ควรยึดมั่นในรส
๑๐. การพิจารณารสเป็นเครื่องนำไปสู่อรหัตผล
พระพุทธองค์ตรัสใน อัคคัญญสูตร (ทีฆนิกาย) ว่า
“รสํ อนุปัสฺสมาโน อรหํ โหติ”
(ผู้พิจารณารส ย่อมบรรลุอรหัตผล)
อธิบาย
• หากพิจารณารสอย่างถูกต้อง ย่อมละนันทิได้
บทสรุป
1. ผัสสะทางลิ้นเป็นจุดเริ่มต้นของเวทนาและตัณหา
2. การติดรสเป็นเหตุแห่งอวิชชา
3. การสำรวมอินทรีย์ทำให้บรรลุธรรม
4. มโนวิญญาณเกี่ยวข้องกับการปรุงแต่งรส
5. การพิจารณารสเป็นไตรลักษณ์ช่วยดับกิเลส
ดังนั้น แม้เพียงกำหนดรู้รสอย่างเดียว ก็สามารถบรรลุธรรมได้
#Siamstr #พุทธวจนะ #พุทธวจน #ธรรมะ #nostr