Tung Khempila on Nostr: ...
ว่าด้วยเรื่องขององค์ประกอบของศาสนา ?
ผมต้องท้าวความก่อนว่าผมยังไม่ไปถึงขั้นที่เชื่อว่าตัวเองนับถือศาสนาพุทธ หรือ ศาสนาใดก็ตาม แต่ผมคิดว่าในอนาคตผมคงได้เริ่มศึกษาจริงๆจังๆ
หลายๆคนบอกว่า ศาสนาคือเหตุและผล แต่สำหรับผมคงไม่ใช่อย่างนั้น ผมแบ่งเป็นสามหัวข้อของเรื่องเหตุและผล
1. ความชั่ว (มีเหตุและผล) 2.ความดี (มีเหตุและผล) 3.การกระทำ (มีเหตุและผล)
ถ้าเราเชื่อว่าทุกอย่างมีเหตุและผล งั้นพระเจ้าก็คือเหตุและผล แต่เมื่อเราพิสูจน์ทางประวัติศาสตร์ไม่ได้เราจึงเชื่อว่าพระเจ้า ไม่มีจริง เพราะมันไม่มีเหตุและผล
แต่กลไกทางความเชื่อไม่ได้ทำงานผ่านเหตุและผลครับ มิเช่นนั้น เศรษฐกิจแบบวางแผนคงชนะไปแล้วตั้งแต่สงครามเย็น หรือ นาซีคงผูกขาดทางความเชื่อในความดี เฉกเช่นศาสนาไปแล้ว
ดอสโตยเยฟสกี คือผู้ไขความลับนี้ ในหนึ่งงานเขียนเรื่อง อาชญากรรมและการลงทัณฑ์ (Crime & Punisment) โดยตัวเอกอย่างราสโครนิคอฟ มีความเชื่อที่มุ่งตรงไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Nothingness เฉกเช่นเดียวกับเหตุและผลที่มาจากความว่างเปล่า(Nihilism) เราคือมนุษย์ผู้ชะล้างโชคชะตาและศีลธรรม
ความสวยงามคือสิ่งที่จะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั้งความเลวร้าย ดังนั้นเราไม่สามารถนำศาสนามาปนกับมโนสำนึกจริงๆของมนุษย์ได้
เรื่องๆนี้คือเรื่องที่คุยกันยาวมากๆเลยครับ รวมถึงศาสนามันไม่ได้ถูกตั้งโดยตัวมันเอง แต่มันมี “ภาวะของสังคม” เป็นองค์ประกอบ
รวมถึงจารีตประเพณีของความเชื่อทางเรื่องเล่าของสังคมนั้นๆ
พวกที่พยายามเอาศาสนาออกจากสิ่งต่างๆ รวมถึงการผูกยึดเพียงแค่หนังสือหรือคำพูดของศาสดาทั้งหลายจึงมิต่างจากธรรมะของชนชั้นต่ำเท่านั้น
ทุกอย่างมีองค์ประกอบรวมถึงประสบการณ์ของผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งหลงอยู่ในวัฏจักรเหล่านั้น หากเราจะทำการ De-Construction มันไม่ควรเป็นการดึงเอาจารีตตรงนั้นออกมา แต่ควรผนึกความกลมกลืนไปกับมัน และ พามันไปสู่แนวทางที่ดีขึ้น
ในทุกวันนี้เราลืมแม้กระทั้งว่าการไปวัดเพื่ออะไร ทั้งที่สมัยก่อนวัดเคยเป็นที่ฝึกวิชา รับความรู้โดยบริสุทธิ์มาก่อน แต่ทุกวันนี้เราเข้าวัดกันเพื่อความสบายใจและการสร้างภาพ มากกว่านำมันไปสู่จุดเชื่อมโยง
ศาสตร์ของมนุษย์ที่แท้จริงคือการอยู่เหนือความดีและความชั่ว
เพราะเราเข้าใจว่าแม้แต่การดื่มสุราแอลกอฮอล์ พวกเรายังทำไม่ได้
แค่นี้พวกเราก็ไม่ควรคุยเรื่องศาสนากันแล้วครับ เพราะมันไร้สาระ ตั้งแต่เหตุและผลที่ไม่มีอยู่จริงผ่านการกระทำที่เกิดขี้นแล้ว
#siamstr
ผมต้องท้าวความก่อนว่าผมยังไม่ไปถึงขั้นที่เชื่อว่าตัวเองนับถือศาสนาพุทธ หรือ ศาสนาใดก็ตาม แต่ผมคิดว่าในอนาคตผมคงได้เริ่มศึกษาจริงๆจังๆ
หลายๆคนบอกว่า ศาสนาคือเหตุและผล แต่สำหรับผมคงไม่ใช่อย่างนั้น ผมแบ่งเป็นสามหัวข้อของเรื่องเหตุและผล
1. ความชั่ว (มีเหตุและผล) 2.ความดี (มีเหตุและผล) 3.การกระทำ (มีเหตุและผล)
ถ้าเราเชื่อว่าทุกอย่างมีเหตุและผล งั้นพระเจ้าก็คือเหตุและผล แต่เมื่อเราพิสูจน์ทางประวัติศาสตร์ไม่ได้เราจึงเชื่อว่าพระเจ้า ไม่มีจริง เพราะมันไม่มีเหตุและผล
แต่กลไกทางความเชื่อไม่ได้ทำงานผ่านเหตุและผลครับ มิเช่นนั้น เศรษฐกิจแบบวางแผนคงชนะไปแล้วตั้งแต่สงครามเย็น หรือ นาซีคงผูกขาดทางความเชื่อในความดี เฉกเช่นศาสนาไปแล้ว
ดอสโตยเยฟสกี คือผู้ไขความลับนี้ ในหนึ่งงานเขียนเรื่อง อาชญากรรมและการลงทัณฑ์ (Crime & Punisment) โดยตัวเอกอย่างราสโครนิคอฟ มีความเชื่อที่มุ่งตรงไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Nothingness เฉกเช่นเดียวกับเหตุและผลที่มาจากความว่างเปล่า(Nihilism) เราคือมนุษย์ผู้ชะล้างโชคชะตาและศีลธรรม
ความสวยงามคือสิ่งที่จะเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั้งความเลวร้าย ดังนั้นเราไม่สามารถนำศาสนามาปนกับมโนสำนึกจริงๆของมนุษย์ได้
เรื่องๆนี้คือเรื่องที่คุยกันยาวมากๆเลยครับ รวมถึงศาสนามันไม่ได้ถูกตั้งโดยตัวมันเอง แต่มันมี “ภาวะของสังคม” เป็นองค์ประกอบ
รวมถึงจารีตประเพณีของความเชื่อทางเรื่องเล่าของสังคมนั้นๆ
พวกที่พยายามเอาศาสนาออกจากสิ่งต่างๆ รวมถึงการผูกยึดเพียงแค่หนังสือหรือคำพูดของศาสดาทั้งหลายจึงมิต่างจากธรรมะของชนชั้นต่ำเท่านั้น
ทุกอย่างมีองค์ประกอบรวมถึงประสบการณ์ของผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งหลงอยู่ในวัฏจักรเหล่านั้น หากเราจะทำการ De-Construction มันไม่ควรเป็นการดึงเอาจารีตตรงนั้นออกมา แต่ควรผนึกความกลมกลืนไปกับมัน และ พามันไปสู่แนวทางที่ดีขึ้น
ในทุกวันนี้เราลืมแม้กระทั้งว่าการไปวัดเพื่ออะไร ทั้งที่สมัยก่อนวัดเคยเป็นที่ฝึกวิชา รับความรู้โดยบริสุทธิ์มาก่อน แต่ทุกวันนี้เราเข้าวัดกันเพื่อความสบายใจและการสร้างภาพ มากกว่านำมันไปสู่จุดเชื่อมโยง
ศาสตร์ของมนุษย์ที่แท้จริงคือการอยู่เหนือความดีและความชั่ว
เพราะเราเข้าใจว่าแม้แต่การดื่มสุราแอลกอฮอล์ พวกเรายังทำไม่ได้
แค่นี้พวกเราก็ไม่ควรคุยเรื่องศาสนากันแล้วครับ เพราะมันไร้สาระ ตั้งแต่เหตุและผลที่ไม่มีอยู่จริงผ่านการกระทำที่เกิดขี้นแล้ว
#siamstr