Hipknox on Nostr: ## Moloch / Molech / Melek *คำเตือน : ...
## Moloch / Molech / Melek
*คำเตือน : โปรดใช้วิจารณญาณให้การอ่าน, ใครที่ไม่ได้สนใจอะไรแนวนี้ข้ามได้เลยนะครับ #Siamstr
ปล. เขียนสด ๆ อาจมีคำผิดและไม่ได้เรียบเรียงเนื้อหาอย่างที่ตั้งใจจะเขียนในทีแรก เพราะว่ายิ่งเรียบเรียงยิ่งค้นหาข้อมูลเพิ่มก็ยิ่งไปเจอกับความลับที่ดำมืดเกินหยั่งถึงของเทพปีศาจสุดชั่วร้ายองค์นี้
"โมลอค" ภาษากรีก : Μολόχ / μολόχ - Moloch, ภาษาละติน : Molech, ภาษาฮีบรู : מלך - Mlk, Melek [แปลว่ากษัตริย์]
รูปประกอบเทพเจ้าโบราณของชาว “คานาอัน” ที่เราได้เห็นรูปลักษณ์ตามรูปภาพประกอบนี้ เป็นเทพเจ้าเก่าแก่ที่เคยได้รับการเคารพบูชาเมื่อราว ๆ พันกว่าปีก่อนปีคริสตกาล
ก่อนที่เราจะเข้าสู่เรื่องราวของเทพโมลอคนี้ ผมอยากจะเกริ่นถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของยุคสำริดในแถบพื้นที่บริเวณตะวันออกกลางที่เราเรียกกันว่าอารยธรรมลุ่มแม่น้ำเมโสโปเตเมียที่ประกอบไปด้วย อารยธรรมอียิปต์โบราณ อารยธรรมบาบิโลน อารยธรรมสุเมเรียน อารยธรรมอัสซีเรียน และเรื่องราวของชาวคานาอัน
รูปแผนที่ประกอบนี้แสดงให้เห็นถึงกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในดินแดนคานาอัน (ปัจจุบันคือพื้นที่ของประเทศอิสราเอลและปาเลสไตน์ เลบานอน จอร์แดน และซีเรีย) ซึ่งตามรูปแล้วเราจะได้เห็นว่าพื้นที่ของชาวยูดาห์เผ่าเหนือ และอิสราเอลเผ่าใต้ ซึ่งก่อนหน้านี้มันเคยเป็นพื้นที่ของชาวคานาอัน ก่อนที่โมเสสจะทำการอพยพชาวยิวออกจากการเป็นทาสของอียิปต์ในเรื่องราวที่เราคุ้นเคยกันดีในเรื่องราวที่โมเสสได้แหวกทะเลแดง
ดินแดนคานาอัน (ในแผนที่) เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าพระองค์เดียวที่ให้สัญญากับ “อับราฮัม” บิดาของชนชาติอิสราเอลว่าจะยกดินแดนนี้ให้กับเขาและลูกหลานของเขาสืบไปชั่วกาล เรื่องราวแห่งพันธสัญญาได้เริ่มขึ้นเมื่ออับราฮัมได้เบื่อหน่ายกิจการของครอบครัวของเขา ที่ทำการค้าขายรูปเคารพเทพเจ้า และยังเป็นช่างปั้นรูปเคารพเทพเจ้าต่าง ๆ ในสมัยที่ผู้คนมีการบูชาเทพเจ้าหลายองค์ในพื้นที่แถบนั้นไม่ว่าจะเป็น “เอล (El)” พระเจ้าสูงสุด, “อาชทอเรท (Ashtoreth)” เทพีแห่งความรักและสงคราม, “บาอัล (Baal)” เทพเจ้าแห่งพายุฝนและความอุดมสมบูรณ์, “ดาโกน (Dagon)” เทพเจ้าของชาวฟิลิสเตีย และอื่น ๆ อีกมากมายตามแต่ผู้ที่บูชาจะใช้เงินเป็นค่าจ้างให้ช่างปั้นสร้างรูปเคารพให้กับพวกเขา
อับราฮัมผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านของบิดาที่เป็นช่างปั้นรูปเคารพ มักจะเห็นวิธีการของบิดาที่ทำการปั้นรูปเคารพจากดินเหนียว เขาทั้งนวดดินนั้นด้วยเท้า เหยียบย้ำวัตถุดิบต่าง ๆ ที่นำมาทำรูปเคารพที่ผู้คนต่างนำไปกราบไหว้บูชาเพื่อขอพร ในช่วงวัยที่เติบใหญ่ขึ้น อับราฮัมที่ทำหน้าที่เป็นคนขายรูปเคารพเหล่านั้นมักจะหัวเราะเยาะผู้คนที่นำเอาเงินของพวกเขามาซื้อรูปเคารพที่บิดาของเขาเป็นคนปั้นขึ้น เขามองว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้สาระที่ผู้คนจะกราบไหว้รูปปั้นดินเผาที่ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับใครได้จริง ๆ มันเป็นความโง่เขลาที่นำเอาเงินที่สร้างจากนำพักน้ำแรงไปให้กับคนที่หากินกับความเชื่ออย่างบิดาของเขา จนในวันหนึ่งพระเจ้าพระองค์เดียวผู้สูงสุดก็ปรากฏขึ้นแก่อับราฮัม ท่ามกลางดินแดนที่ผู้คนกราบไหว้รูปเคารพของเทพเจ้าที่มีอยู่หลากหลาย และบอกให้เขาเดินทางออกจากบ้านของบิดาเพื่อไปยังดินแดนคานาอัน
เล่ามาถึงตรงนี้ พวกเราก็คงจะพอทราบถึงคอนเซ็ปของการเกิดขึ้นของสิ่งที่เรียกว่า “เอกเทวนิยม (Monotheism)“ ความเชื่อเรื่องพระเจ้าองค์เดียว และ ”พหุเทวนิยม (Polytheism)” ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าหลายองค์ ที่มีความขัดแย้งระหว่างกัน จากชายคนหนึ่งที่ไม่เชื่อเรื่องของเทพเจ้าที่ถูกอุปโลกน์สร้างขึ้นโดยมนุษย์ จนกลายเป็นต้นกำเนิดของศาสนาในกลุ่มของฮับราฮัมอย่าง ยูดาห์ คริสต์ และอิสลาม ที่มีการนับถือพระเจ้าสูงสุดที่พวกเขากล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน (ในที่นี้จะยังไม่ของลงรายละเอียด)
ซึ่งพระเจ้าผู้สูงสุดเพียงพระองค์เดียวองค์นี้ “เอล (El)” ที่ไม่ว่าจะถูกเรียกในภาษาฮีบรูว่า “เอล-เอยอน (El-Elyon)” แปลว่า พระเจ้าผู้สูงสุด “เอโลฮิม (Elohim)” แปลว่า พระผู้สร้าง “เอล-ชัดได (El-Shaddai)” แปลว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธา ดังนั้นคำว่า “เอล (El)” จึงเทียบเคียงกับคำว่า "God" ในภาษาอังกฤษ “อัล (Al)” ในภาษาอาหรับ และ ”พระเจ้า“ ในภาษาไทย เป็นเพียงตำแหน่งที่ใช้เรียกสิ่งที่อยู่สูงสุดเหนือกว่ามนุษย์ และไม่ใช่ชื่อเฉพาะอย่าง “ซุส (Zeus)” ที่เป็นพระเจ้าสูงสุดของเทพกรีกที่มีชื่อเรียกโดยเฉพาะ พระองค์ไม่ได้เปิดเผยพระนามของพระองค์จนกระทั้งในปัจจุบันจากการตีความพระคำภีร์เราจึงได้รู้จักกับพระนามของพระองค์ที่มีพระนามว่า “ยาห์เวห์ (YHWH, Yahweh)”
เมื่อมีพระเจ้าสูงสุดในเรื่องราวของพระคำภีร์ก็ต้องมีฝ่ายที่ชั่วร้ายอย่างมารหรือปีศาจ ที่ถูกเรียกว่า “ซาตาน (Satan)“ เขาผู้นี้เป็นปฏิปักษ์กับพระยาห์เวห์ และได้ล่อลวงให้มนุษย์ชายหญิงคู่แรกได้ตกลงสู่บาปเป็นครั้งแรก จากการขัดคำสั่งของพระเจ้าว่า ”อย่ากินผลแห่งการรู้ดีรู้ชั่ว“ สิ่ง ๆ นี้ทำให้มนุษย์ชายหญิง และซาตาน (ในร่างของงู) ต้องถูกสาปแช่งโดยพระเจ้า (ในที่นี่จะขอพูดถึงเฉพาะเรื่องราวระหว่างงูและหญิง)
“เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย เขาจะทำให้หัวของเจ้านั้นแหลก ส่วนเจ้าจะฉกที่ส้นเท้าของเขา” - ปฐมกาล 3:15
ถ้าหากอ่านข้อความนี้จากพระคำภีร์อย่างผิวเผิน อาจจะตีความได้ว่าเป็นข้อความที่เขียนบอกถึงความเป็นจริงที่ผู้หญิงมักจะไม่ถูกกับสัตว์เลื้อยคลานหรืองู แต่จริง ๆ แล้วในข้อความนี้เกี่ยวข้องกับ “การดำรงค์เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ผู้ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า” และการขัดขว้างแผนการของพระเจ้าจากมารหรือซาตาน
คำว่า “เผ่าพันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้านั้นแหลก” หมายถึง ลูกหลานของมนุษย์ที่เกิดจากเอวาจะเป็นผู้ที่มาปิดฉากเรื่องราวแห่งบาปทั้งหมดนี้ พร้อมกับเป็นผู้ที่มาเพื่อทำลายล้างมารซาตานและเผ่าพันธุ์ของมันให้ต้องตกลงสู่นรกนิรันดร์กาล ดังนั้น “และเจ้าจะฉกที่ส้นเท้าของเขา” จึงหมายถึง วิธีการที่มารซาตานจะไม่ต้องถูกทำลายด้วยพระวาทนี้ของพระเจ้า ตัวของมันจะต้องทำทุก ๆ วิถีทางที่จะไม่ให้ “มนุษย์เพศหญิง” ให้กำเนิดชีวิตใหม่ ที่เป็นลูกหลานของพวกเธอ
### Moloch (The Child Sacrifice)
ตามตำนานของการบูชาเทพโมลอคของชาวคานาอันนั้น พวกเขาได้สร้างรูปเคารพของโมลอคด้วยการทำรูปหล่อโลหะสำริดที่มีส่วนหัวเป็นวัว ท่อนแขนเป็นมนุษย์ และส่วนของลำตัวจะเป็นเตาไฟขนาดใหญ่สำหรับใช้เพื่อการจุดไฟเผาบูชายัน
จากหลักฐานการค้นพบพิธีกรรมนี้โดยนักโบราณคดี มีการค้นพบสุสานที่ใช้ประกอบพิธีกรรมในบริเวณที่เรียกว่า “หุบเขาฮินโนม (Valley of Hinnom)” ซึ่งมันจะตั้งอยู่ทางตอนใต้ตรงบริเวณภายนอกของกรุงเยรูซาเลมในปัจจุบัน
ในการประกอบพิธีกรรมจะมีกลุ่มของนักบวชทำการตีรำมนะนาด กลอง และเป่าแตร์ ระหว่างทำพิธีจะมีนักบวชคนหนึ่งนำเอาตัวของเด็กทารกหรือเด็กเล็ก ๆ จากพ่อแม่ของเด็ก นำเอาเด็กไปวางไว้บนฝ่ามือหรืออ้อมแขนของเทพโมลอค ในขณะที่เตาไฟได้ถูกจุดเผาเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ เสียงของการบรรเลงรำมะนาด กลอง และเสียงแตร์ จะใช้เพื่อการกลบเสียงร้องจากความเจ็บปวดของเด็ก เพื่อไม่ให้พ่อและแม่เกิดความรู้สึงสงสารอยากจะช่วยลูก ๆ ของพวกเขา หรือเกิดการเปลี่ยนใจระหว่างการทำพิธิกรรมอันชั่วร้ายนี้
พวกเขาแลกชีวิตลูก ๆ ของพวกเขา เพียงเพื่อพรแห่งพลังอำนาจ ความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์ ผ่านไฟแห่งความเจ็บปวดและทรมาณของเด็กชายและหญิงผู้บริสุทธื์
สิ่งที่พวกคุณได้อ่านนี้อาจเป็นความเลวทรามที่เกินจะรับได้จากอดีตที่เคยเกิดขึ้นจริง คุณคงจะมีคำถามภายในใจว่ามนุษย์แบบไหนที่ให้ความเคารพกับเทพที่ชั่วร้ายนี้? เราอาจจะคิดได้ว่าการบูชาเทพองค์นี้ของชาวคานาอันได้สิ้นสุดลงไปแล้วภายหลังการเข้ามาของชนชาติของพระเจ้า “อิสราเอล” ที่ได้เข้ามาทำการกวาดล้างชนเผ่าคานาอัน และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาไปรวมถึงพิธีกรรมการบูชายันที่ชั่วช้านี้
### ทฤฎีสมคบคิด
**คำเตือน : พาร์ทนี้เกี่ยวกับทฤฎีสมคบคิด โปรดเพิ่มการใช้วิจารณญาณในการอ่าน
มีการรายงานถึงกลุ่มลัทธิหนึ่งที่เป็นการรวมกลุ่มกันของผู้ชายที่เป็นบุคคลระดับสูงและมีชื่อเสียงอย่างมาก จากกลุ่มที่มีชื่อว่า “Bohemian Grove“ หรือ ”The Bohemian Club” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1872 โดยจะเป็นการรวมกลุ่มกันของผู้ที่ได้รับเชิญ (แบบเป็นส่วนตัว) เพื่อทำกิจกรรมลับ ๆ ในการผ่อนคลายภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ในช่วงฤดูร้อน
สถานที่ตั้งของกลุ่มลับนี้จะอยู่ในพื้นที่ของป่า “เรดวูด (Red Wood)” ของรัฐแคริฟอเนียประเทศสหรัฐอเมริกา โดยพวกเขาจะมีสัญลักษณ์ของกลุ่มเป็นรูป “นกฮูก (Owl)” ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ ในช่วงการเริ่มของการเปิดงานชุ่มนุมนี้ พวกเขาจะมีการทำพิธีกรรมบางอย่างต่อหน้ารูปปั้นขนาดยักษ์ที่แกะสลักเป็นรูปของนกฮูกที่ภายหน้าของรูปปั้นจะมีการจุดไฟเผาเหมื่อนเป็นการทำพิธีกรรมบูชาอะไรบางอย่าง มีการแก้ผ้าเปลือยกาย และทำการเต้นรำภายหน้ารูปปั้นนั้นราวกับว่าพวกเขาเป็นเด็กเล็ก ๆ
*เสริม : ในภาษาอียิปต์โบราณตัวอักษรที่ตรงกับตัว M ของภาษาอังกฤษ จะสามารถอ่านออกเสียงได้ว่า Moloch แปลว่า นกฮูก และในภาษาฮีบรู คำว่า Melek ยังเป็นคำที่ใช้ตัวอักษร Mlk หรือ מלך ที่ขึ้นต้นด้วยตัว M อีกด้วย, เป็นเรื่องบังเอิญ?
มันมีความพยายามจะเชื่อมโยงและการสร้างทฤษฎีสมคบคิดถึงผู้คนในกลุ่มนี้ที่มีการทำกิจกรรมกันอย่างลับ ๆ ว่าผู้ชายส่วนใหญ่ในนี้ ถ้าไม่ได้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ได้รับการรับเชิญ ก็จะเป็นบุคคลระดับสูงของรัฐบาล โดยเฉพาะของพรรคการเมื่องรีพับลิกันรวมถึงประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 1923 จนถึงปัจจุบัน และยังมีเรื่องของการสมคบคิดว่า การตัดสินใจในการทำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการตายของผู้คนในจำนวนมาก ๆ อย่างการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมา และนางาซากิ หรือสงครามต่าง ๆ ที่เปรียบได้กับการเซ่นสังเวยชีวิตของมนุษย์จำนวนมาก นั้นมาจากการตัดสินใจที่ถูกพูดคุยกันในระหว่างการทำกิจกรรมของกลุ่มคนกลุ่มนี้
ยังมีการเปิดเผยถึงเอกสารลับจากเว็บไซต์ WikiLeak ได้เผยถึงอีเมลการสนทนาของบุคคลสำคัญในรัฐบาลพรรคเดโมแครตที่มีการรั่วไหลออกมาของนางฮีลลารี ที่หนึ่งในเนื้อความของอีเมลฉบับวันที่ 29 สิงหาคม 2008 จากเจ้าหน้าที่อวุโสของรัฐบาลกระทรวงต่างประเทศ มีข้อความที่กล่าวถึงคำว่า “Moloch”
"With fingers crossed, the old rabbit's foot out of the box in the attic, I will be sacrificing a chicken in the backyard to Moloch..."
น่าคิดนะครับถ้าเป็นความจริง เทพโมลอคที่น้อยคนแล้วที่จะได้รู้จักกับมัน ทำไมในปัจจุบันถึงยังมีคนที่กล่าวถึงมันบนการสนทนาผ่านอีเมล แถมเนื้อหายังเกี่ยวข้องกับการบูชายันในสวนหลังบ้านให้กับนักการเมืองที่กำลังมีการลงแข่งขันการเลือกตั้งอีกด้วย
ถ้าหากเราลองค้นหาต่อก็จะพบกับเรื่องราวแปลกประหลาดอีกหลายอย่างจากการใช้เทพโมเลคเป็นสัญลักษณ์ไม่ว่าจะเป็น ในสื่อภาพยนตร์ วีดีโอเกมฯ นวนิยาย ฯลฯ ปะปนอยู่ในรูปลักษณ์ของวัวกระทิง หรือข่าวลืออื่น ๆ ที่หาข้อมูลได้ยากเช่น การหายตัวไปอย่างลึกลับของเด็กที่อพยพจากสงครามในยูเครน สงครามที่ร้อนระอุในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับชาติอาหรับ
### ตัดจบ (เขียนต่อไม่ไหวแล้ว)
***คำเตือน : เป็นพาร์ทของความเชื่อทางศาสนศาสตร์ โปรดยกระดับของวิจารณญาณในการอ่าน และอย่านำเอาความคิดเข้าไปจับกับมันมาเกินไป
เอาล่ะ พวกคุณอาจจะกำลังคิดว่าพิธีกรรมการเผาบูชายันเด็กได้จบลงไปแล้วผ่านการทำลายล้างชาวคานาอันของชาวอิสราเอล และเรื่องราวของการบูชาเทพโมลอคที่ปรากฏอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างลับ ๆ ในปัจจุบันอาจเป็นเพียงแค่การจำลองทางความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นแค่ความเชื่อที่ไม่ได้มีการเผาบูชายันเด็ก ๆ หรือสังเวยชีวิตของมนุษย์อยู่จริง ๆ อย่างในครั้งที่คานาอันยังคงรุ่งเรื่อง
แต่สิ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนคือความหมายของสิ่งที่เราเรียกมันว่าเทพโมลอค มันคือตัวแทนของการทำลายล้างเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้า ทำลายการให้กำเนิดมนุษยชาติ
“เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย เขาจะทำให้หัวของเจ้านั้นแหลก ส่วนเจ้าจะฉกที่ส้นเท้าของเขา” - ปฐมกาล 3:15
สงครามระหว่างพระเจ้ากับมารซาตานยังคงดำเนินต่อไป และมารผู้ซึ่งไม่ต้องการให้พระวาทของพระเจ้ากลายเป็นความจริงยังคงขัดขวางการถือกำเนิดของผู้ที่จะมาทำลายล้างเชื้อพันธุ์ของมารซาตานให้สิ้นสุดลง
ในครั้งอดีตพวกมันอาจล่อล่วงให้ผู้คนมีใจโน้มเอียงไปในทางที่ชั่ว ถวายบูชาบุตรหลานให้ผ่านไฟเพื่อเทพโมลอค บัดนี้มารยังคงทำหน้าที่ของมันในการล่อล่วงให้มนุษยชาติมีจิตใจโน้มเอียงให้ออกห่างจากพระวาทของพระเจ้าผ่านการทำลาย “สถาบันครอบครัว” จากชายหญิงที่ไม่อาจประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ ”ความรู้สึกของการไม่อยากมีลูก“ จากระบบการเงินที่ทำให้มนุษย์นั้นสิ้นหวัง ”การผิดเพศ“ ที่ทำให้ความเป็นธรรมชาติของการให้กำเนิดเกิดการเสื่อมถอยลง “การทำแท้ง” ที่เป็นการทำลายชีวิตที่จะถือกำเนิดขึ้นมา และอีกหลากหลายวิธีการที่พวกมารจะทำเพื่อไม่ให้วันนั้นของพระเจ้าได้มาถึง
หากผู้อ่านบทความนี้เคยได้อ่านเรื่องราวในวิวรณ์ 6 ถึงเรื่องราวของจตุรอาชากันมาก่อน สำหรับม้าตัวที่ 4 ที่จะมาเพื่อกวาดล้างมนุษย์ชาติถึง 1 ใน 4 จากส่งคราม โรคระบาด และการกันดาลอาหาร และ ”ฤทธิ์อำนาจของมาร“ ส่วนตัวผมเองคิดว่าการลดอัตราการเกิดของมนุษย์ในช่วงเวลาที่มนุษย์กำลังสิ้นหวังในการมีครอบครัวและให้กำเนิดนี้แหละ ที่จะกวาดล้างลดจำนวนประชากรของมนุษยชาติได้ในระดับที่มากซะยิ่งกว่าการเกิดสงคราม โรคระบาด และความอดอยาก ซะอีก
เอาเถอะ ถือว่าอ่านกันเอาสนุก ๆ ก็แล้วกัน บนโลกที่เทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกลอย่างก้าวกระโดด ยังคงมีเรื่องราวลีลับที่พวกเราอาจไม่เคยได้รับรู้ เราอาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิดของผู้คนบางกลุ่ม แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ คือ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จยังคงมีอิทธิพลต่อชีวิตของพวกเราทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้ว่าเราจะเชื่อหรือไม่ ชอบหรือไม่ชอบ สนใจหรือไม่ได้สนใจ
สุดท้ายแล้ว พวกมันก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเราอยู่ดี
*คำเตือน : โปรดใช้วิจารณญาณให้การอ่าน, ใครที่ไม่ได้สนใจอะไรแนวนี้ข้ามได้เลยนะครับ #Siamstr
ปล. เขียนสด ๆ อาจมีคำผิดและไม่ได้เรียบเรียงเนื้อหาอย่างที่ตั้งใจจะเขียนในทีแรก เพราะว่ายิ่งเรียบเรียงยิ่งค้นหาข้อมูลเพิ่มก็ยิ่งไปเจอกับความลับที่ดำมืดเกินหยั่งถึงของเทพปีศาจสุดชั่วร้ายองค์นี้
"โมลอค" ภาษากรีก : Μολόχ / μολόχ - Moloch, ภาษาละติน : Molech, ภาษาฮีบรู : מלך - Mlk, Melek [แปลว่ากษัตริย์]
รูปประกอบเทพเจ้าโบราณของชาว “คานาอัน” ที่เราได้เห็นรูปลักษณ์ตามรูปภาพประกอบนี้ เป็นเทพเจ้าเก่าแก่ที่เคยได้รับการเคารพบูชาเมื่อราว ๆ พันกว่าปีก่อนปีคริสตกาล
ก่อนที่เราจะเข้าสู่เรื่องราวของเทพโมลอคนี้ ผมอยากจะเกริ่นถึงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของยุคสำริดในแถบพื้นที่บริเวณตะวันออกกลางที่เราเรียกกันว่าอารยธรรมลุ่มแม่น้ำเมโสโปเตเมียที่ประกอบไปด้วย อารยธรรมอียิปต์โบราณ อารยธรรมบาบิโลน อารยธรรมสุเมเรียน อารยธรรมอัสซีเรียน และเรื่องราวของชาวคานาอัน
รูปแผนที่ประกอบนี้แสดงให้เห็นถึงกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในดินแดนคานาอัน (ปัจจุบันคือพื้นที่ของประเทศอิสราเอลและปาเลสไตน์ เลบานอน จอร์แดน และซีเรีย) ซึ่งตามรูปแล้วเราจะได้เห็นว่าพื้นที่ของชาวยูดาห์เผ่าเหนือ และอิสราเอลเผ่าใต้ ซึ่งก่อนหน้านี้มันเคยเป็นพื้นที่ของชาวคานาอัน ก่อนที่โมเสสจะทำการอพยพชาวยิวออกจากการเป็นทาสของอียิปต์ในเรื่องราวที่เราคุ้นเคยกันดีในเรื่องราวที่โมเสสได้แหวกทะเลแดง
ดินแดนคานาอัน (ในแผนที่) เป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าพระองค์เดียวที่ให้สัญญากับ “อับราฮัม” บิดาของชนชาติอิสราเอลว่าจะยกดินแดนนี้ให้กับเขาและลูกหลานของเขาสืบไปชั่วกาล เรื่องราวแห่งพันธสัญญาได้เริ่มขึ้นเมื่ออับราฮัมได้เบื่อหน่ายกิจการของครอบครัวของเขา ที่ทำการค้าขายรูปเคารพเทพเจ้า และยังเป็นช่างปั้นรูปเคารพเทพเจ้าต่าง ๆ ในสมัยที่ผู้คนมีการบูชาเทพเจ้าหลายองค์ในพื้นที่แถบนั้นไม่ว่าจะเป็น “เอล (El)” พระเจ้าสูงสุด, “อาชทอเรท (Ashtoreth)” เทพีแห่งความรักและสงคราม, “บาอัล (Baal)” เทพเจ้าแห่งพายุฝนและความอุดมสมบูรณ์, “ดาโกน (Dagon)” เทพเจ้าของชาวฟิลิสเตีย และอื่น ๆ อีกมากมายตามแต่ผู้ที่บูชาจะใช้เงินเป็นค่าจ้างให้ช่างปั้นสร้างรูปเคารพให้กับพวกเขา
อับราฮัมผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านของบิดาที่เป็นช่างปั้นรูปเคารพ มักจะเห็นวิธีการของบิดาที่ทำการปั้นรูปเคารพจากดินเหนียว เขาทั้งนวดดินนั้นด้วยเท้า เหยียบย้ำวัตถุดิบต่าง ๆ ที่นำมาทำรูปเคารพที่ผู้คนต่างนำไปกราบไหว้บูชาเพื่อขอพร ในช่วงวัยที่เติบใหญ่ขึ้น อับราฮัมที่ทำหน้าที่เป็นคนขายรูปเคารพเหล่านั้นมักจะหัวเราะเยาะผู้คนที่นำเอาเงินของพวกเขามาซื้อรูปเคารพที่บิดาของเขาเป็นคนปั้นขึ้น เขามองว่ามันเป็นสิ่งที่ไร้สาระที่ผู้คนจะกราบไหว้รูปปั้นดินเผาที่ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับใครได้จริง ๆ มันเป็นความโง่เขลาที่นำเอาเงินที่สร้างจากนำพักน้ำแรงไปให้กับคนที่หากินกับความเชื่ออย่างบิดาของเขา จนในวันหนึ่งพระเจ้าพระองค์เดียวผู้สูงสุดก็ปรากฏขึ้นแก่อับราฮัม ท่ามกลางดินแดนที่ผู้คนกราบไหว้รูปเคารพของเทพเจ้าที่มีอยู่หลากหลาย และบอกให้เขาเดินทางออกจากบ้านของบิดาเพื่อไปยังดินแดนคานาอัน
เล่ามาถึงตรงนี้ พวกเราก็คงจะพอทราบถึงคอนเซ็ปของการเกิดขึ้นของสิ่งที่เรียกว่า “เอกเทวนิยม (Monotheism)“ ความเชื่อเรื่องพระเจ้าองค์เดียว และ ”พหุเทวนิยม (Polytheism)” ความเชื่อเรื่องเทพเจ้าหลายองค์ ที่มีความขัดแย้งระหว่างกัน จากชายคนหนึ่งที่ไม่เชื่อเรื่องของเทพเจ้าที่ถูกอุปโลกน์สร้างขึ้นโดยมนุษย์ จนกลายเป็นต้นกำเนิดของศาสนาในกลุ่มของฮับราฮัมอย่าง ยูดาห์ คริสต์ และอิสลาม ที่มีการนับถือพระเจ้าสูงสุดที่พวกเขากล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน (ในที่นี้จะยังไม่ของลงรายละเอียด)
ซึ่งพระเจ้าผู้สูงสุดเพียงพระองค์เดียวองค์นี้ “เอล (El)” ที่ไม่ว่าจะถูกเรียกในภาษาฮีบรูว่า “เอล-เอยอน (El-Elyon)” แปลว่า พระเจ้าผู้สูงสุด “เอโลฮิม (Elohim)” แปลว่า พระผู้สร้าง “เอล-ชัดได (El-Shaddai)” แปลว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธา ดังนั้นคำว่า “เอล (El)” จึงเทียบเคียงกับคำว่า "God" ในภาษาอังกฤษ “อัล (Al)” ในภาษาอาหรับ และ ”พระเจ้า“ ในภาษาไทย เป็นเพียงตำแหน่งที่ใช้เรียกสิ่งที่อยู่สูงสุดเหนือกว่ามนุษย์ และไม่ใช่ชื่อเฉพาะอย่าง “ซุส (Zeus)” ที่เป็นพระเจ้าสูงสุดของเทพกรีกที่มีชื่อเรียกโดยเฉพาะ พระองค์ไม่ได้เปิดเผยพระนามของพระองค์จนกระทั้งในปัจจุบันจากการตีความพระคำภีร์เราจึงได้รู้จักกับพระนามของพระองค์ที่มีพระนามว่า “ยาห์เวห์ (YHWH, Yahweh)”
เมื่อมีพระเจ้าสูงสุดในเรื่องราวของพระคำภีร์ก็ต้องมีฝ่ายที่ชั่วร้ายอย่างมารหรือปีศาจ ที่ถูกเรียกว่า “ซาตาน (Satan)“ เขาผู้นี้เป็นปฏิปักษ์กับพระยาห์เวห์ และได้ล่อลวงให้มนุษย์ชายหญิงคู่แรกได้ตกลงสู่บาปเป็นครั้งแรก จากการขัดคำสั่งของพระเจ้าว่า ”อย่ากินผลแห่งการรู้ดีรู้ชั่ว“ สิ่ง ๆ นี้ทำให้มนุษย์ชายหญิง และซาตาน (ในร่างของงู) ต้องถูกสาปแช่งโดยพระเจ้า (ในที่นี่จะขอพูดถึงเฉพาะเรื่องราวระหว่างงูและหญิง)
“เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย เขาจะทำให้หัวของเจ้านั้นแหลก ส่วนเจ้าจะฉกที่ส้นเท้าของเขา” - ปฐมกาล 3:15
ถ้าหากอ่านข้อความนี้จากพระคำภีร์อย่างผิวเผิน อาจจะตีความได้ว่าเป็นข้อความที่เขียนบอกถึงความเป็นจริงที่ผู้หญิงมักจะไม่ถูกกับสัตว์เลื้อยคลานหรืองู แต่จริง ๆ แล้วในข้อความนี้เกี่ยวข้องกับ “การดำรงค์เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ผู้ซึ่งเป็นบุตรของพระเจ้า” และการขัดขว้างแผนการของพระเจ้าจากมารหรือซาตาน
คำว่า “เผ่าพันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้านั้นแหลก” หมายถึง ลูกหลานของมนุษย์ที่เกิดจากเอวาจะเป็นผู้ที่มาปิดฉากเรื่องราวแห่งบาปทั้งหมดนี้ พร้อมกับเป็นผู้ที่มาเพื่อทำลายล้างมารซาตานและเผ่าพันธุ์ของมันให้ต้องตกลงสู่นรกนิรันดร์กาล ดังนั้น “และเจ้าจะฉกที่ส้นเท้าของเขา” จึงหมายถึง วิธีการที่มารซาตานจะไม่ต้องถูกทำลายด้วยพระวาทนี้ของพระเจ้า ตัวของมันจะต้องทำทุก ๆ วิถีทางที่จะไม่ให้ “มนุษย์เพศหญิง” ให้กำเนิดชีวิตใหม่ ที่เป็นลูกหลานของพวกเธอ
### Moloch (The Child Sacrifice)
ตามตำนานของการบูชาเทพโมลอคของชาวคานาอันนั้น พวกเขาได้สร้างรูปเคารพของโมลอคด้วยการทำรูปหล่อโลหะสำริดที่มีส่วนหัวเป็นวัว ท่อนแขนเป็นมนุษย์ และส่วนของลำตัวจะเป็นเตาไฟขนาดใหญ่สำหรับใช้เพื่อการจุดไฟเผาบูชายัน
จากหลักฐานการค้นพบพิธีกรรมนี้โดยนักโบราณคดี มีการค้นพบสุสานที่ใช้ประกอบพิธีกรรมในบริเวณที่เรียกว่า “หุบเขาฮินโนม (Valley of Hinnom)” ซึ่งมันจะตั้งอยู่ทางตอนใต้ตรงบริเวณภายนอกของกรุงเยรูซาเลมในปัจจุบัน
ในการประกอบพิธีกรรมจะมีกลุ่มของนักบวชทำการตีรำมนะนาด กลอง และเป่าแตร์ ระหว่างทำพิธีจะมีนักบวชคนหนึ่งนำเอาตัวของเด็กทารกหรือเด็กเล็ก ๆ จากพ่อแม่ของเด็ก นำเอาเด็กไปวางไว้บนฝ่ามือหรืออ้อมแขนของเทพโมลอค ในขณะที่เตาไฟได้ถูกจุดเผาเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ เสียงของการบรรเลงรำมะนาด กลอง และเสียงแตร์ จะใช้เพื่อการกลบเสียงร้องจากความเจ็บปวดของเด็ก เพื่อไม่ให้พ่อและแม่เกิดความรู้สึงสงสารอยากจะช่วยลูก ๆ ของพวกเขา หรือเกิดการเปลี่ยนใจระหว่างการทำพิธิกรรมอันชั่วร้ายนี้
พวกเขาแลกชีวิตลูก ๆ ของพวกเขา เพียงเพื่อพรแห่งพลังอำนาจ ความมั่งคั่ง และความอุดมสมบูรณ์ ผ่านไฟแห่งความเจ็บปวดและทรมาณของเด็กชายและหญิงผู้บริสุทธื์
สิ่งที่พวกคุณได้อ่านนี้อาจเป็นความเลวทรามที่เกินจะรับได้จากอดีตที่เคยเกิดขึ้นจริง คุณคงจะมีคำถามภายในใจว่ามนุษย์แบบไหนที่ให้ความเคารพกับเทพที่ชั่วร้ายนี้? เราอาจจะคิดได้ว่าการบูชาเทพองค์นี้ของชาวคานาอันได้สิ้นสุดลงไปแล้วภายหลังการเข้ามาของชนชาติของพระเจ้า “อิสราเอล” ที่ได้เข้ามาทำการกวาดล้างชนเผ่าคานาอัน และทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาไปรวมถึงพิธีกรรมการบูชายันที่ชั่วช้านี้
### ทฤฎีสมคบคิด
**คำเตือน : พาร์ทนี้เกี่ยวกับทฤฎีสมคบคิด โปรดเพิ่มการใช้วิจารณญาณในการอ่าน
มีการรายงานถึงกลุ่มลัทธิหนึ่งที่เป็นการรวมกลุ่มกันของผู้ชายที่เป็นบุคคลระดับสูงและมีชื่อเสียงอย่างมาก จากกลุ่มที่มีชื่อว่า “Bohemian Grove“ หรือ ”The Bohemian Club” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1872 โดยจะเป็นการรวมกลุ่มกันของผู้ที่ได้รับเชิญ (แบบเป็นส่วนตัว) เพื่อทำกิจกรรมลับ ๆ ในการผ่อนคลายภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ในช่วงฤดูร้อน
สถานที่ตั้งของกลุ่มลับนี้จะอยู่ในพื้นที่ของป่า “เรดวูด (Red Wood)” ของรัฐแคริฟอเนียประเทศสหรัฐอเมริกา โดยพวกเขาจะมีสัญลักษณ์ของกลุ่มเป็นรูป “นกฮูก (Owl)” ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ ในช่วงการเริ่มของการเปิดงานชุ่มนุมนี้ พวกเขาจะมีการทำพิธีกรรมบางอย่างต่อหน้ารูปปั้นขนาดยักษ์ที่แกะสลักเป็นรูปของนกฮูกที่ภายหน้าของรูปปั้นจะมีการจุดไฟเผาเหมื่อนเป็นการทำพิธีกรรมบูชาอะไรบางอย่าง มีการแก้ผ้าเปลือยกาย และทำการเต้นรำภายหน้ารูปปั้นนั้นราวกับว่าพวกเขาเป็นเด็กเล็ก ๆ
*เสริม : ในภาษาอียิปต์โบราณตัวอักษรที่ตรงกับตัว M ของภาษาอังกฤษ จะสามารถอ่านออกเสียงได้ว่า Moloch แปลว่า นกฮูก และในภาษาฮีบรู คำว่า Melek ยังเป็นคำที่ใช้ตัวอักษร Mlk หรือ מלך ที่ขึ้นต้นด้วยตัว M อีกด้วย, เป็นเรื่องบังเอิญ?
มันมีความพยายามจะเชื่อมโยงและการสร้างทฤษฎีสมคบคิดถึงผู้คนในกลุ่มนี้ที่มีการทำกิจกรรมกันอย่างลับ ๆ ว่าผู้ชายส่วนใหญ่ในนี้ ถ้าไม่ได้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ได้รับการรับเชิญ ก็จะเป็นบุคคลระดับสูงของรัฐบาล โดยเฉพาะของพรรคการเมื่องรีพับลิกันรวมถึงประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 1923 จนถึงปัจจุบัน และยังมีเรื่องของการสมคบคิดว่า การตัดสินใจในการทำอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการตายของผู้คนในจำนวนมาก ๆ อย่างการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมา และนางาซากิ หรือสงครามต่าง ๆ ที่เปรียบได้กับการเซ่นสังเวยชีวิตของมนุษย์จำนวนมาก นั้นมาจากการตัดสินใจที่ถูกพูดคุยกันในระหว่างการทำกิจกรรมของกลุ่มคนกลุ่มนี้
ยังมีการเปิดเผยถึงเอกสารลับจากเว็บไซต์ WikiLeak ได้เผยถึงอีเมลการสนทนาของบุคคลสำคัญในรัฐบาลพรรคเดโมแครตที่มีการรั่วไหลออกมาของนางฮีลลารี ที่หนึ่งในเนื้อความของอีเมลฉบับวันที่ 29 สิงหาคม 2008 จากเจ้าหน้าที่อวุโสของรัฐบาลกระทรวงต่างประเทศ มีข้อความที่กล่าวถึงคำว่า “Moloch”
"With fingers crossed, the old rabbit's foot out of the box in the attic, I will be sacrificing a chicken in the backyard to Moloch..."
น่าคิดนะครับถ้าเป็นความจริง เทพโมลอคที่น้อยคนแล้วที่จะได้รู้จักกับมัน ทำไมในปัจจุบันถึงยังมีคนที่กล่าวถึงมันบนการสนทนาผ่านอีเมล แถมเนื้อหายังเกี่ยวข้องกับการบูชายันในสวนหลังบ้านให้กับนักการเมืองที่กำลังมีการลงแข่งขันการเลือกตั้งอีกด้วย
ถ้าหากเราลองค้นหาต่อก็จะพบกับเรื่องราวแปลกประหลาดอีกหลายอย่างจากการใช้เทพโมเลคเป็นสัญลักษณ์ไม่ว่าจะเป็น ในสื่อภาพยนตร์ วีดีโอเกมฯ นวนิยาย ฯลฯ ปะปนอยู่ในรูปลักษณ์ของวัวกระทิง หรือข่าวลืออื่น ๆ ที่หาข้อมูลได้ยากเช่น การหายตัวไปอย่างลึกลับของเด็กที่อพยพจากสงครามในยูเครน สงครามที่ร้อนระอุในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับชาติอาหรับ
### ตัดจบ (เขียนต่อไม่ไหวแล้ว)
***คำเตือน : เป็นพาร์ทของความเชื่อทางศาสนศาสตร์ โปรดยกระดับของวิจารณญาณในการอ่าน และอย่านำเอาความคิดเข้าไปจับกับมันมาเกินไป
เอาล่ะ พวกคุณอาจจะกำลังคิดว่าพิธีกรรมการเผาบูชายันเด็กได้จบลงไปแล้วผ่านการทำลายล้างชาวคานาอันของชาวอิสราเอล และเรื่องราวของการบูชาเทพโมลอคที่ปรากฏอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างลับ ๆ ในปัจจุบันอาจเป็นเพียงแค่การจำลองทางความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นแค่ความเชื่อที่ไม่ได้มีการเผาบูชายันเด็ก ๆ หรือสังเวยชีวิตของมนุษย์อยู่จริง ๆ อย่างในครั้งที่คานาอันยังคงรุ่งเรื่อง
แต่สิ่งที่ไม่ได้เปลี่ยนคือความหมายของสิ่งที่เราเรียกมันว่าเทพโมลอค มันคือตัวแทนของการทำลายล้างเมล็ดพันธุ์ของพระเจ้า ทำลายการให้กำเนิดมนุษยชาติ
“เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย เขาจะทำให้หัวของเจ้านั้นแหลก ส่วนเจ้าจะฉกที่ส้นเท้าของเขา” - ปฐมกาล 3:15
สงครามระหว่างพระเจ้ากับมารซาตานยังคงดำเนินต่อไป และมารผู้ซึ่งไม่ต้องการให้พระวาทของพระเจ้ากลายเป็นความจริงยังคงขัดขวางการถือกำเนิดของผู้ที่จะมาทำลายล้างเชื้อพันธุ์ของมารซาตานให้สิ้นสุดลง
ในครั้งอดีตพวกมันอาจล่อล่วงให้ผู้คนมีใจโน้มเอียงไปในทางที่ชั่ว ถวายบูชาบุตรหลานให้ผ่านไฟเพื่อเทพโมลอค บัดนี้มารยังคงทำหน้าที่ของมันในการล่อล่วงให้มนุษยชาติมีจิตใจโน้มเอียงให้ออกห่างจากพระวาทของพระเจ้าผ่านการทำลาย “สถาบันครอบครัว” จากชายหญิงที่ไม่อาจประสบความสำเร็จในชีวิตคู่ ”ความรู้สึกของการไม่อยากมีลูก“ จากระบบการเงินที่ทำให้มนุษย์นั้นสิ้นหวัง ”การผิดเพศ“ ที่ทำให้ความเป็นธรรมชาติของการให้กำเนิดเกิดการเสื่อมถอยลง “การทำแท้ง” ที่เป็นการทำลายชีวิตที่จะถือกำเนิดขึ้นมา และอีกหลากหลายวิธีการที่พวกมารจะทำเพื่อไม่ให้วันนั้นของพระเจ้าได้มาถึง
หากผู้อ่านบทความนี้เคยได้อ่านเรื่องราวในวิวรณ์ 6 ถึงเรื่องราวของจตุรอาชากันมาก่อน สำหรับม้าตัวที่ 4 ที่จะมาเพื่อกวาดล้างมนุษย์ชาติถึง 1 ใน 4 จากส่งคราม โรคระบาด และการกันดาลอาหาร และ ”ฤทธิ์อำนาจของมาร“ ส่วนตัวผมเองคิดว่าการลดอัตราการเกิดของมนุษย์ในช่วงเวลาที่มนุษย์กำลังสิ้นหวังในการมีครอบครัวและให้กำเนิดนี้แหละ ที่จะกวาดล้างลดจำนวนประชากรของมนุษยชาติได้ในระดับที่มากซะยิ่งกว่าการเกิดสงคราม โรคระบาด และความอดอยาก ซะอีก
เอาเถอะ ถือว่าอ่านกันเอาสนุก ๆ ก็แล้วกัน บนโลกที่เทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกลอย่างก้าวกระโดด ยังคงมีเรื่องราวลีลับที่พวกเราอาจไม่เคยได้รับรู้ เราอาจจะคิดว่ามันเป็นเพียงทฤษฎีสมคบคิดของผู้คนบางกลุ่ม แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ คือ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จยังคงมีอิทธิพลต่อชีวิตของพวกเราทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้ว่าเราจะเชื่อหรือไม่ ชอบหรือไม่ชอบ สนใจหรือไม่ได้สนใจ
สุดท้ายแล้ว พวกมันก็จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเราอยู่ดี