LearnBN on Nostr: เปิดประตูสู่บิตคอยน์ ...
เปิดประตูสู่บิตคอยน์
บิตคอยน์เป็นโปรโตคอลที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านทางแอปพลิเคชันที่มีการรับรองโปรโตคอลนี้ Bitcoin wallet นั้นเป็นช่องทางหลักที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่เลือกใช้เพื่อเข้าถึงโปรโตคอลของบิตคอยน์ เช่นเดียวกันกับที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่ใช้เว็บบราวเซอร์เป็นช่องทางในการเข้าถึงโปรโตคอลอย่าง HTTP นั่นเอง Bitcoin wallet เองก็มีหลากหลายยี่ห้อเฉกเช่นเดียวกับเว็บบราวเซอร์ อาทิเช่น chorme, safari, firefox ฯลฯ Bitcoin wallet เองก็เช่นกัน แต่ละยี่ห้อเองก็มีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังมี Bitcoin wallet ที่ถูกสร้างขึ้นมาคู่กับโปรโตคอลของบิตคอยน์อย่าง “Bitcoin Core” ซึ่งมีการพัฒนาต่อมาจากเวอร์ชันที่เขียนโดยซาโตชิ
การเลือก Bitcoin wallet
Bitcoin wallet เป็นหนึ่งในประเภทของแอปพลิเคชันที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากที่สุดในระบบนิเวศของบิตคอยน์ และแน่นอนว่ามีการแข่งขันกันสูงที่สุดด้วย อาจมี Bitcoin wallet ใหม่ ๆ ที่กำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ Bitcoin wallet เก่า ๆ บางตัวจากปีที่แล้วก็อาจไม่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอีกต่อไป Bitcoin wallet หลาย ๆ ตัวเน้นไปที่แพลตฟอร์มหรือการใช้งานเฉพาะ และบางตัวเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ในขณะที่บางตัวเต็มไปด้วยฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ขั้นสูง การเลือก Bitcoin wallet นั้นจึงขึ้นอยู่กับความต้องการและระดับความเชี่ยวชาญของผู้ใช้ ดังนั้นการที่เราจะแนะนำยี่ห้อหรือ Bitcoin wallet เฉพาะจึงอาจจะไม่เกิดประโยชน์เท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถแบ่งประเภท Bitcoin wallet ได้ตามแพลตฟอร์มและการใช้งานได้ดังนี้
ประเภทของ Bitcoin wallet
- Desktop wallet: กระเป๋าเงินแบบเดสก์ท็อปเป็น Bitcoin wallet ประเภทแรกที่ถูกพัฒนาขึ้นและผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้ Bitcoin wallet ประเภทนี้เพราะฟีเจอร์ของมัน เช่นความความเป็นอิสระในการใช้งาน ความสามารถในการควบคุมบิตคอยน์ในกระเป๋า แต่อย่างไรก็ตาม การใช้งานบนระบบปฏิบัติการทั่วไป อย่างเช่น Windows และ macOS อาจมีข้อเสียด้านความปลอดภัย เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มักไม่มีความปลอดภัยเพียงพอและอาจถูกตั้งค่ามาอย่างไม่เหมาะสม
Mobile wallet: กระเป๋าเงินแบบมือถือเป็น Bitcoin wallet ประเภทที่พบเจอได้มากที่สุด โดยทำงานบนระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟน เช่น Apple iOS และ Android กระเป๋าเงินเหล่านี้มักเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ใหม่ เพราะออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและสะดวก นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าเงินมือถือที่มีฟีเจอร์ครบครันสำหรับผู้ใช้ที่มีความเชี่ยวชาญ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดและจัดเก็บข้อมูลปริมาณมาก กระเป๋าเงินมือถือส่วนใหญ่จะดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล ซึ่งอาจลดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เนื่องจากต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ address และจำนวนบิตคอยน์ Bitcoin ต่อบุคคลที่สาม
- Web wallet: กระเป๋าเงินแบบเว็บสามารถเข้าถึงได้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์และเก็บกระเป๋าเงินของผู้ใช้ไว้บนเซิร์ฟเวอร์ที่บุคคลที่สามเป็นเจ้าของ คล้ายกับบริการอีเมลบนเว็บที่พึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ของบุคคลที่สามโดยสมบูรณ์ โดยบางบริการใช้โค้ดฝั่งไคลเอนต์ที่ทำงานในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมคีย์ของบิตคอยน์ได้เอง แต่การพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ยังคงส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม บริการส่วนใหญ่จะควบคุมคีย์ของบิตคอยน์แทนผู้ใช้เพื่อแลกกับความสะดวกสบาย เราจึงไม่แนะนำให้เก็บ บิตคอยน์จำนวนมากบนระบบของบุคคลที่สาม
- Hardware Signing Devices: อุปกรณ์สำหรับเซ็นดิจิทัลเป็นอุปกรณ์ที่สามารถจัดเก็บคีย์และเซ็นธุรกรรมโดยใช้ฮาร์ดแวร์และเฟิร์มแวร์เฉพาะทาง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเชื่อมต่อกับกระเป๋าเงินเดสก์ท็อป มือถือ หรือเว็บ ผ่านสาย USB การสื่อสารระยะใกล้ (NFC) หรือกล้องที่รองรับ QR code แต่เนื่องจากการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ ทั้งหมดถูกจัดการบนฮาร์ดแวร์เฉพาะ อุปกรณ์เหล่านี้จึงปลอดภัยจากการโจมตีหลายรูปแบบ อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์เซ็นดิจิทัลมักถูกเรียกว่า hardware wallet แต่ต้องใช้งานร่วมกับกระเป๋าเงินที่มีฟีเจอร์ครบครันเพื่อส่งและรับธุรกรรม ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่ได้จากกระเป๋าเงินที่ใช้งานร่วมกันก็มีบทบาทสำคัญต่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวโดยรวมของผู้ใช้อุปกรณ์เซ็นดิจิทัล
ประเภทของการเชื่อมต่อกับโปรโตคอลของบิตคอยน์
- Full node: บิตคอยน์ฟลูโหนดเป็นโปรแกรมที่ตรวจสอบความถูกต้องของประวัติธุรกรรมทั้งหมดของบิตคอยน์ (ทุกธุรกรรมที่เคยเกิดขึ้นโดยผู้ใช้ทุกคน) และนอกจากนี้ บิตคอยน์ฟลูโหนดยังสามารถเลือกเก็บข้อมูลธุรกรรมที่ได้รับการตรวจสอบแล้วก่อนหน้า และให้บริการข้อมูลแก่โปรแกรมบิตคอยน์อื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นบนคอมพิวเตอร์เดียวกันหรือผ่านอินเทอร์เน็ต แต่แม้ว่าบิตคอยน์ฟลูโหนดเองก็ใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ในปริมาณมาก (ประมาณเท่ากับการดูวิดีโอสตรีมมิ่งหนึ่งชั่วโมงต่อวันสำหรับธุรกรรมบิตคอยน์ในแต่ละวัน) บิตคอยน์ฟลูโหนดเองก็มอบความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์แก่ผู้ใช้
- Lightweight Client: lightweight client หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่าไคลเอนต์การตรวจสอบการชำระเงินแบบง่าย (Simplified-Payment-Verification: SPV) ซึ่งจะเชื่อมต่อกับโหนดแบบเต็มหรือเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลอื่น ๆ เพื่อรับและส่งข้อมูลธุรกรรมของบิตคอยน์แต่เก็บกระเป๋าเงินของผู้ใช้ไว้ในเครื่อง โดยสามารถตรวจสอบธุรกรรมที่ได้รับบางส่วน และสร้างธุรกรรมขาออกอย่างอิสระอีกด้วย
- ไคลเอนต์ API ของบุคคลที่สาม (Third-Party API Client): ไคลเอนต์ API ของบุคคลที่สามเป็นโปรแกรมที่เชื่อมต่อกับระบบบิตคอยน์ผ่าน API ของบุคคลที่สาม แทนที่จะเชื่อมต่อกับเครือข่ายบิตคอยน์โดยตรง กระเป๋าเงินนี้อาจถูกจัดเก็บโดยผู้ใช้เองหรือบนเซิร์ฟเวอร์ของบุคคลที่สาม แต่ไคลเอนต์จะต้องไว้วางใจเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและปกป้องความเป็นส่วนตัวของตน
*** บิตคอยน์เป็นเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer หรือ P2P) โดยที่บิตคอยน์ฟลูโหนด ทำหน้าที่เป็นเพียร์ในเครือข่าย เพียร์แต่ละตัวจะตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมที่ยืนยันแล้วทุกธุรกรรมอย่างอิสระ และสามารถให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้แก่ผู้ใช้ Lightweight Wallets และซอฟต์แวร์อื่น ๆ เองก็เป็นลูกข่ายที่ต้องพึ่งพาเพียร์หนึ่งหรือหลายตัวในการรับข้อมูลที่ถูกต้อง ไคลเอนต์สามารถตรวจสอบข้อมูลบางส่วนที่ได้รับเพิ่มเติมและเชื่อมต่อกับเพียร์หลายตัวเพื่อลดการพึ่งพาเพียร์ตัวเดียว แต่ในท้ายที่สุดความปลอดภัยของไคลเอนต์ยังคงขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของเพียร์ที่เชื่อมต่อด้วย ***
ใครควบคุมคีย์
อีกหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมคือใครเป็นผู้ควบคุมคีย์ (Private key) เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเข้าถึงบิตคอยน์ โดยคีย์เหล่านี้เองเปรียบเสมือน PIN ที่ยาวมาก ซึ่งหากคุณเป็นผู้ควบคุมคีย์ของคุณเองด้วยตัวเอง คุณก็เป็นผู้ควบคุมบิตคอยน์ของคุณด้วยเช่นกัน แต่หากไม่ใช่ ก็จะแปลว่ากุญแจเหล่านั้นจะถูกดูแลโดยบุคคลที่สาม ซึ่งจะเป็นผู้จัดการเงินของคุณในนามของคุณ
ซอฟแวร์ในการจัดการกุญแจนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ wallet ที่คุณจำเป็นต้องดูแลคีย์ของตัวเองและ บัญชีที่มีผู้ดูแล (Custodian Accounts) ซึ่งจะมีบุคคลที่สามเป็นผู้ควบคุมกุญแจ
“Your keys, your coins. Not your keys, not your coins.”
#siamstr
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
พึ่งมาอ่านแล้วงงบริบทอย่างงั้นเหรออ งั้นย้อนไปสิ
nevent1qvzqqqqqqypzq7gq3eup4hk8vlxgugum2vldevv75t3xp7fgr2gjt6f5yh06eyu4qy2hwumn8ghj7un9d3shjtnyv9kh2uewd9hj7qg6waehxw309a3x7um5wghxcetrw36hy6tx0yhxuet59uqzp3mkce3fvejdckgvmcu7czwwkjpt3rqqapaegcm7knyxqf9htqcx2878n6
อยากแชร์ไปให้คนที่ไม่ได้อยู่บน Nostr อ่านอย่างงั้นเหรอ !?!?!?!? งั้นทางเราขอแนะนำ: https://learnbn.npub.pro/
บิตคอยน์เป็นโปรโตคอลที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านทางแอปพลิเคชันที่มีการรับรองโปรโตคอลนี้ Bitcoin wallet นั้นเป็นช่องทางหลักที่ผู้ใช้งานส่วนใหญ่เลือกใช้เพื่อเข้าถึงโปรโตคอลของบิตคอยน์ เช่นเดียวกันกับที่ผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตส่วนใหญ่ใช้เว็บบราวเซอร์เป็นช่องทางในการเข้าถึงโปรโตคอลอย่าง HTTP นั่นเอง Bitcoin wallet เองก็มีหลากหลายยี่ห้อเฉกเช่นเดียวกับเว็บบราวเซอร์ อาทิเช่น chorme, safari, firefox ฯลฯ Bitcoin wallet เองก็เช่นกัน แต่ละยี่ห้อเองก็มีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังมี Bitcoin wallet ที่ถูกสร้างขึ้นมาคู่กับโปรโตคอลของบิตคอยน์อย่าง “Bitcoin Core” ซึ่งมีการพัฒนาต่อมาจากเวอร์ชันที่เขียนโดยซาโตชิ
การเลือก Bitcoin wallet
Bitcoin wallet เป็นหนึ่งในประเภทของแอปพลิเคชันที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องมากที่สุดในระบบนิเวศของบิตคอยน์ และแน่นอนว่ามีการแข่งขันกันสูงที่สุดด้วย อาจมี Bitcoin wallet ใหม่ ๆ ที่กำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ Bitcoin wallet เก่า ๆ บางตัวจากปีที่แล้วก็อาจไม่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องอีกต่อไป Bitcoin wallet หลาย ๆ ตัวเน้นไปที่แพลตฟอร์มหรือการใช้งานเฉพาะ และบางตัวเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ในขณะที่บางตัวเต็มไปด้วยฟีเจอร์สำหรับผู้ใช้ขั้นสูง การเลือก Bitcoin wallet นั้นจึงขึ้นอยู่กับความต้องการและระดับความเชี่ยวชาญของผู้ใช้ ดังนั้นการที่เราจะแนะนำยี่ห้อหรือ Bitcoin wallet เฉพาะจึงอาจจะไม่เกิดประโยชน์เท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถแบ่งประเภท Bitcoin wallet ได้ตามแพลตฟอร์มและการใช้งานได้ดังนี้
ประเภทของ Bitcoin wallet
- Desktop wallet: กระเป๋าเงินแบบเดสก์ท็อปเป็น Bitcoin wallet ประเภทแรกที่ถูกพัฒนาขึ้นและผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะเลือกใช้ Bitcoin wallet ประเภทนี้เพราะฟีเจอร์ของมัน เช่นความความเป็นอิสระในการใช้งาน ความสามารถในการควบคุมบิตคอยน์ในกระเป๋า แต่อย่างไรก็ตาม การใช้งานบนระบบปฏิบัติการทั่วไป อย่างเช่น Windows และ macOS อาจมีข้อเสียด้านความปลอดภัย เนื่องจากแพลตฟอร์มเหล่านี้มักไม่มีความปลอดภัยเพียงพอและอาจถูกตั้งค่ามาอย่างไม่เหมาะสม
Mobile wallet: กระเป๋าเงินแบบมือถือเป็น Bitcoin wallet ประเภทที่พบเจอได้มากที่สุด โดยทำงานบนระบบปฏิบัติการสมาร์ทโฟน เช่น Apple iOS และ Android กระเป๋าเงินเหล่านี้มักเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ใช้ใหม่ เพราะออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและสะดวก นอกจากนี้ยังมีกระเป๋าเงินมือถือที่มีฟีเจอร์ครบครันสำหรับผู้ใช้ที่มีความเชี่ยวชาญ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดและจัดเก็บข้อมูลปริมาณมาก กระเป๋าเงินมือถือส่วนใหญ่จะดึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล ซึ่งอาจลดความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เนื่องจากต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ address และจำนวนบิตคอยน์ Bitcoin ต่อบุคคลที่สาม
- Web wallet: กระเป๋าเงินแบบเว็บสามารถเข้าถึงได้ผ่านเว็บเบราว์เซอร์และเก็บกระเป๋าเงินของผู้ใช้ไว้บนเซิร์ฟเวอร์ที่บุคคลที่สามเป็นเจ้าของ คล้ายกับบริการอีเมลบนเว็บที่พึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ของบุคคลที่สามโดยสมบูรณ์ โดยบางบริการใช้โค้ดฝั่งไคลเอนต์ที่ทำงานในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ และเพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมคีย์ของบิตคอยน์ได้เอง แต่การพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ยังคงส่งผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตาม บริการส่วนใหญ่จะควบคุมคีย์ของบิตคอยน์แทนผู้ใช้เพื่อแลกกับความสะดวกสบาย เราจึงไม่แนะนำให้เก็บ บิตคอยน์จำนวนมากบนระบบของบุคคลที่สาม
- Hardware Signing Devices: อุปกรณ์สำหรับเซ็นดิจิทัลเป็นอุปกรณ์ที่สามารถจัดเก็บคีย์และเซ็นธุรกรรมโดยใช้ฮาร์ดแวร์และเฟิร์มแวร์เฉพาะทาง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเชื่อมต่อกับกระเป๋าเงินเดสก์ท็อป มือถือ หรือเว็บ ผ่านสาย USB การสื่อสารระยะใกล้ (NFC) หรือกล้องที่รองรับ QR code แต่เนื่องจากการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับบิตคอยน์ ทั้งหมดถูกจัดการบนฮาร์ดแวร์เฉพาะ อุปกรณ์เหล่านี้จึงปลอดภัยจากการโจมตีหลายรูปแบบ อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์เซ็นดิจิทัลมักถูกเรียกว่า hardware wallet แต่ต้องใช้งานร่วมกับกระเป๋าเงินที่มีฟีเจอร์ครบครันเพื่อส่งและรับธุรกรรม ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่ได้จากกระเป๋าเงินที่ใช้งานร่วมกันก็มีบทบาทสำคัญต่อความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวโดยรวมของผู้ใช้อุปกรณ์เซ็นดิจิทัล
ประเภทของการเชื่อมต่อกับโปรโตคอลของบิตคอยน์
- Full node: บิตคอยน์ฟลูโหนดเป็นโปรแกรมที่ตรวจสอบความถูกต้องของประวัติธุรกรรมทั้งหมดของบิตคอยน์ (ทุกธุรกรรมที่เคยเกิดขึ้นโดยผู้ใช้ทุกคน) และนอกจากนี้ บิตคอยน์ฟลูโหนดยังสามารถเลือกเก็บข้อมูลธุรกรรมที่ได้รับการตรวจสอบแล้วก่อนหน้า และให้บริการข้อมูลแก่โปรแกรมบิตคอยน์อื่น ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นบนคอมพิวเตอร์เดียวกันหรือผ่านอินเทอร์เน็ต แต่แม้ว่าบิตคอยน์ฟลูโหนดเองก็ใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ในปริมาณมาก (ประมาณเท่ากับการดูวิดีโอสตรีมมิ่งหนึ่งชั่วโมงต่อวันสำหรับธุรกรรมบิตคอยน์ในแต่ละวัน) บิตคอยน์ฟลูโหนดเองก็มอบความเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์แก่ผู้ใช้
- Lightweight Client: lightweight client หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่าไคลเอนต์การตรวจสอบการชำระเงินแบบง่าย (Simplified-Payment-Verification: SPV) ซึ่งจะเชื่อมต่อกับโหนดแบบเต็มหรือเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลอื่น ๆ เพื่อรับและส่งข้อมูลธุรกรรมของบิตคอยน์แต่เก็บกระเป๋าเงินของผู้ใช้ไว้ในเครื่อง โดยสามารถตรวจสอบธุรกรรมที่ได้รับบางส่วน และสร้างธุรกรรมขาออกอย่างอิสระอีกด้วย
- ไคลเอนต์ API ของบุคคลที่สาม (Third-Party API Client): ไคลเอนต์ API ของบุคคลที่สามเป็นโปรแกรมที่เชื่อมต่อกับระบบบิตคอยน์ผ่าน API ของบุคคลที่สาม แทนที่จะเชื่อมต่อกับเครือข่ายบิตคอยน์โดยตรง กระเป๋าเงินนี้อาจถูกจัดเก็บโดยผู้ใช้เองหรือบนเซิร์ฟเวอร์ของบุคคลที่สาม แต่ไคลเอนต์จะต้องไว้วางใจเซิร์ฟเวอร์ระยะไกลในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและปกป้องความเป็นส่วนตัวของตน
*** บิตคอยน์เป็นเครือข่ายแบบเพียร์ทูเพียร์ (Peer-to-Peer หรือ P2P) โดยที่บิตคอยน์ฟลูโหนด ทำหน้าที่เป็นเพียร์ในเครือข่าย เพียร์แต่ละตัวจะตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมที่ยืนยันแล้วทุกธุรกรรมอย่างอิสระ และสามารถให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้แก่ผู้ใช้ Lightweight Wallets และซอฟต์แวร์อื่น ๆ เองก็เป็นลูกข่ายที่ต้องพึ่งพาเพียร์หนึ่งหรือหลายตัวในการรับข้อมูลที่ถูกต้อง ไคลเอนต์สามารถตรวจสอบข้อมูลบางส่วนที่ได้รับเพิ่มเติมและเชื่อมต่อกับเพียร์หลายตัวเพื่อลดการพึ่งพาเพียร์ตัวเดียว แต่ในท้ายที่สุดความปลอดภัยของไคลเอนต์ยังคงขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของเพียร์ที่เชื่อมต่อด้วย ***
ใครควบคุมคีย์
อีกหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมคือใครเป็นผู้ควบคุมคีย์ (Private key) เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเข้าถึงบิตคอยน์ โดยคีย์เหล่านี้เองเปรียบเสมือน PIN ที่ยาวมาก ซึ่งหากคุณเป็นผู้ควบคุมคีย์ของคุณเองด้วยตัวเอง คุณก็เป็นผู้ควบคุมบิตคอยน์ของคุณด้วยเช่นกัน แต่หากไม่ใช่ ก็จะแปลว่ากุญแจเหล่านั้นจะถูกดูแลโดยบุคคลที่สาม ซึ่งจะเป็นผู้จัดการเงินของคุณในนามของคุณ
ซอฟแวร์ในการจัดการกุญแจนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ คือ wallet ที่คุณจำเป็นต้องดูแลคีย์ของตัวเองและ บัญชีที่มีผู้ดูแล (Custodian Accounts) ซึ่งจะมีบุคคลที่สามเป็นผู้ควบคุมกุญแจ
“Your keys, your coins. Not your keys, not your coins.”
#siamstr
=-=-=-=-=-=-=-=-=-=-=
พึ่งมาอ่านแล้วงงบริบทอย่างงั้นเหรออ งั้นย้อนไปสิ
nevent1qvzqqqqqqypzq7gq3eup4hk8vlxgugum2vldevv75t3xp7fgr2gjt6f5yh06eyu4qy2hwumn8ghj7un9d3shjtnyv9kh2uewd9hj7qg6waehxw309a3x7um5wghxcetrw36hy6tx0yhxuet59uqzp3mkce3fvejdckgvmcu7czwwkjpt3rqqapaegcm7knyxqf9htqcx2878n6
อยากแชร์ไปให้คนที่ไม่ได้อยู่บน Nostr อ่านอย่างงั้นเหรอ !?!?!?!? งั้นทางเราขอแนะนำ: https://learnbn.npub.pro/