heretong on Nostr: #siamstr ...
#siamstr
แมวเป็นสัตว์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวหลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการที่มันไม่สามารถรับรสหวานได้ครับ 55555
แมวไม่มีต่อมรับรสหวานหรือ “sweet taste receptors” ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์และสัตว์กินพืชหลายชนิดที่สามารถรับรสหวานได้อย่างชัดเจน สาเหตุของเรื่องนี้เกิดจากการกลายพันธุ์ในยีน TAS1R2 ซึ่งเป็นยีนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตัวรับรสหวานในแมว
ยีนนี้กลายพันธุ์จนไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลให้แมวไม่สามารถรับรู้รสชาติของน้ำตาลหรือสารให้ความหวานใดๆ
การไม่มีต่อมรับรสหวานของแมวนั้นสอดคล้องโดยตรงกับพฤติกรรมการกินอาหารในธรรมชาติของแมว เนื่องจากแมวเป็นสัตว์กินเนื้อโดยสมบูรณ์ หรือที่เรียกว่า obligate carnivore อาหารหลักของแมวจึงประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมันจากเนื้อสัตว์ โดยไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาคาร์โบไฮเดรตหรืออาหารที่มีรสหวาน เช่น ผลไม้
ดังนั้นแมวจึงไม่ได้มีความอยากกินของหวานไปโดยธรรมชาติและไม่เลือกอาหารหวานเป็นตัวเลือกในชีวิตประจำวันของมัน อย่างไรก็ตาม ก็อาจยังมีในบางกรณีที่มนุษย์พยายามบังคับหรือทดลองให้แมวกินของหวาน แมวอาจกินได้เพราะถูกหลอกล่อด้วยกลิ่นหรือเนื้อสัมผัสของอาหารเหล่านั้น มากกว่าที่จะสนใจในรสชาติจริงๆ
ถึงแม้แมวจะไม่มีความสามารถในการรับรสหวาน แต่บางครั้งเราอาจสังเกตเห็นว่าแมวดูเหมือนจะสนใจอาหารหวาน เช่น ไอศกรีมหรือขนมต่างๆ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของแมวคือกลิ่นหรือเนื้อสัมผัสของอาหารเหล่านั้น ไม่ใช่รสชาติที่หวานของอาหาร การให้แมวกินอาหารที่มีน้ำตาลหรือสารให้ความหวานจึงอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมัน เช่น การเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานหรือปัญหาตับ
ที่น่าสนใจคือ แมว ไม่ได้เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่ไม่มีตัวรับรสหวานครับ สัตว์บางชนิด เช่น โลมาและเสือชีตาห์ ก็ไม่มีตัวรับรสหวานเช่นกันงว่อออออ
แม้ว่าตัวรับรสหวานจะไม่ทำงาน แต่แมวยังคงมีตัวรับรสชาติอื่นที่ไวต่อการรับรู้ โดยเฉพาะรสขม ซึ่งช่วยป้องกันมันจากการกินอาหารที่อาจมีพิษหรือไม่ปลอดภัย
ดังนั้น หากคุณเคยคิดว่าแมวชอบรสหวาน ความจริงแล้วอาจไม่ใช่อย่างที่คิด สิ่งที่มันสนใจในอาหารไม่ได้มาจากรสชาติหวานเหมือนที่มนุษย์สัมผัสได้ แต่เป็นเพราะองค์ประกอบอื่น เช่น กลิ่นหรือความนุ่มของอาหาร แมวจึงไม่แสวงหาของหวานโดยธรรมชาติ และการบังคับให้มันกินอาหารประเภทนี้ไม่เพียงแค่ขัดกับธรรมชาติของมัน แต่ยังอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้อีกด้วย สิ่งนี้สะท้อนถึงวิวัฒนาการอันชาญฉลาดที่ปรับตัวให้แมวสามารถอยู่รอดในโลกธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แล้วกูต้องรู้มั๊ย 55555 คืองี้ครับ
มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการดัดแปลงยีนที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อน้ำตาลในมนุษย์ ไม่ว่าจะที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore, NUS) มหาวิทยาลัยอริโซนา (University of Arizona)
แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระยะแรกของการศึกษาในระดับทดลองหรือเป็นการวิเคราะห์ทางทฤษฎี แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนการทำงานของยีนที่เกี่ยวข้องกับการรับรสหรือการตอบสนองต่อกลูโคสและน้ำตาลในระบบประสาทและระบบเผาผลาญของร่างกาย
ในมนุษย์ การรับรสน้ำตาลเกิดจากตัวรับรสหวานที่มีพื้นฐานจากโปรตีนสองชนิดคือ TAS1R2 และ TAS1R3 ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อรับรู้รสชาติหวานของน้ำตาลหรือสารให้ความหวาน งานวิจัยบางชิ้นกำลังพยายามศึกษาเกี่ยวกับการดัดแปลงหรือยับยั้งการแสดงออกของยีนเหล่านี้เพื่อทำให้มนุษย์ไม่ตอบสนองต่อรสหวาน
แม้ว่าการดัดแปลงยีน TAS1R2 และ TAS1R3 ในมนุษย์จะยังไม่ถึงขั้นทดลองในคนจริง ๆ แต่ในสัตว์ทดลอง เช่น หนู มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้อย่างน่าสนใจ งานวิจัยหลายชิ้นได้ใช้เทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรม เช่น CRISPR-Cas9 เพื่อปิดการทำงานของยีนทั้งสองนี้ในหนู ผลการทดลองพบว่า หนูที่ถูกดัดแปลงไม่สามารถรับรู้รสหวานจากน้ำตาลหรือสารให้ความหวานได้อีกต่อไป และพฤติกรรมการเลือกอาหารของพวกมันเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หนูเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะกินอาหารที่มีรสจืดหรือรสขมได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับหนูที่ยังคงมียีนทำงานตามปกติ นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าการดัดแปลงยีนไม่ได้ส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญในหนูทดลองแต่อย่างใด ซึ่งเป็นข้อค้นพบที่ช่วยเปิดประตูไปสู่การประยุกต์ในมนุษย์ในอนาคต
ในกรณีของมนุษย์ ยังมีการศึกษาในระดับเซลล์และแบบจำลองในห้องปฏิบัติการที่พยายามเลียนแบบการปิดยีน TAS1R2 และ TAS1R3 อีกด้วย
นักวิจัยกำลังมองหาวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการปรับเปลี่ยนการแสดงออกของยีนเหล่านี้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ในร่างกาย และการวิจัยในห้องปฏิบัติการที่ใช้แบบจำลองเซลล์ก็ได้รับการสนับสนุนจากหลายสถาบันและหน่วยงานวิจัยทางการแพทย์เพื่อพัฒนาเทคนิคการดัดแปลงยีนที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการควบคุมการตอบสนองต่อน้ำตาลในร่างกาย เช่น การทำงานของระบบประสาทหรือฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรสหวานเกี่ยวข้องกับสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับโดปามีน การทดลองกับมนุษย์จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นต่ออารมณ์และพฤติกรรมในระยะยาว
แม้ว่าการดัดแปลงยีน TAS1R2 และ TAS1R3 เพื่อให้มนุษย์ไม่ตอบสนองต่อรสหวานยังไม่ถูกนำไปใช้จริง แต่ผลการทดลองในหนูและการวิจัยเบื้องต้นในระดับเซลล์ให้ความหวังว่าในอนาคต การดัดแปลงยีนเหล่านี้อาจกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำตาล เช่น โรคอ้วนหรือเบาหวาน หากสามารถพัฒนาวิธีการที่ปลอดภัยและคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวได้อย่างเหมาะสม
ปิดท้ายด้วยความลับของแมวคือ ยีน Tas1r1 และ Tas1r3 ทำให้พวกมันรับรสอูมามิ ได้แบบสุขสุดๆๆๆๆๆ 5555
#กูต้องรู้มั๊ย #pirateketo
แมวเป็นสัตว์ที่มีลักษณะเฉพาะตัวหลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการที่มันไม่สามารถรับรสหวานได้ครับ 55555
แมวไม่มีต่อมรับรสหวานหรือ “sweet taste receptors” ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์และสัตว์กินพืชหลายชนิดที่สามารถรับรสหวานได้อย่างชัดเจน สาเหตุของเรื่องนี้เกิดจากการกลายพันธุ์ในยีน TAS1R2 ซึ่งเป็นยีนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับตัวรับรสหวานในแมว
ยีนนี้กลายพันธุ์จนไม่สามารถทำงานได้ ส่งผลให้แมวไม่สามารถรับรู้รสชาติของน้ำตาลหรือสารให้ความหวานใดๆ
การไม่มีต่อมรับรสหวานของแมวนั้นสอดคล้องโดยตรงกับพฤติกรรมการกินอาหารในธรรมชาติของแมว เนื่องจากแมวเป็นสัตว์กินเนื้อโดยสมบูรณ์ หรือที่เรียกว่า obligate carnivore อาหารหลักของแมวจึงประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมันจากเนื้อสัตว์ โดยไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาคาร์โบไฮเดรตหรืออาหารที่มีรสหวาน เช่น ผลไม้
ดังนั้นแมวจึงไม่ได้มีความอยากกินของหวานไปโดยธรรมชาติและไม่เลือกอาหารหวานเป็นตัวเลือกในชีวิตประจำวันของมัน อย่างไรก็ตาม ก็อาจยังมีในบางกรณีที่มนุษย์พยายามบังคับหรือทดลองให้แมวกินของหวาน แมวอาจกินได้เพราะถูกหลอกล่อด้วยกลิ่นหรือเนื้อสัมผัสของอาหารเหล่านั้น มากกว่าที่จะสนใจในรสชาติจริงๆ
ถึงแม้แมวจะไม่มีความสามารถในการรับรสหวาน แต่บางครั้งเราอาจสังเกตเห็นว่าแมวดูเหมือนจะสนใจอาหารหวาน เช่น ไอศกรีมหรือขนมต่างๆ แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของแมวคือกลิ่นหรือเนื้อสัมผัสของอาหารเหล่านั้น ไม่ใช่รสชาติที่หวานของอาหาร การให้แมวกินอาหารที่มีน้ำตาลหรือสารให้ความหวานจึงอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมัน เช่น การเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานหรือปัญหาตับ
ที่น่าสนใจคือ แมว ไม่ได้เป็นสัตว์ชนิดเดียวที่ไม่มีตัวรับรสหวานครับ สัตว์บางชนิด เช่น โลมาและเสือชีตาห์ ก็ไม่มีตัวรับรสหวานเช่นกันงว่อออออ
แม้ว่าตัวรับรสหวานจะไม่ทำงาน แต่แมวยังคงมีตัวรับรสชาติอื่นที่ไวต่อการรับรู้ โดยเฉพาะรสขม ซึ่งช่วยป้องกันมันจากการกินอาหารที่อาจมีพิษหรือไม่ปลอดภัย
ดังนั้น หากคุณเคยคิดว่าแมวชอบรสหวาน ความจริงแล้วอาจไม่ใช่อย่างที่คิด สิ่งที่มันสนใจในอาหารไม่ได้มาจากรสชาติหวานเหมือนที่มนุษย์สัมผัสได้ แต่เป็นเพราะองค์ประกอบอื่น เช่น กลิ่นหรือความนุ่มของอาหาร แมวจึงไม่แสวงหาของหวานโดยธรรมชาติ และการบังคับให้มันกินอาหารประเภทนี้ไม่เพียงแค่ขัดกับธรรมชาติของมัน แต่ยังอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้อีกด้วย สิ่งนี้สะท้อนถึงวิวัฒนาการอันชาญฉลาดที่ปรับตัวให้แมวสามารถอยู่รอดในโลกธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แล้วกูต้องรู้มั๊ย 55555 คืองี้ครับ
มีงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการดัดแปลงยีนที่เกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อน้ำตาลในมนุษย์ ไม่ว่าจะที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore, NUS) มหาวิทยาลัยอริโซนา (University of Arizona)
แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในระยะแรกของการศึกษาในระดับทดลองหรือเป็นการวิเคราะห์ทางทฤษฎี แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการปรับเปลี่ยนการทำงานของยีนที่เกี่ยวข้องกับการรับรสหรือการตอบสนองต่อกลูโคสและน้ำตาลในระบบประสาทและระบบเผาผลาญของร่างกาย
ในมนุษย์ การรับรสน้ำตาลเกิดจากตัวรับรสหวานที่มีพื้นฐานจากโปรตีนสองชนิดคือ TAS1R2 และ TAS1R3 ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อรับรู้รสชาติหวานของน้ำตาลหรือสารให้ความหวาน งานวิจัยบางชิ้นกำลังพยายามศึกษาเกี่ยวกับการดัดแปลงหรือยับยั้งการแสดงออกของยีนเหล่านี้เพื่อทำให้มนุษย์ไม่ตอบสนองต่อรสหวาน
แม้ว่าการดัดแปลงยีน TAS1R2 และ TAS1R3 ในมนุษย์จะยังไม่ถึงขั้นทดลองในคนจริง ๆ แต่ในสัตว์ทดลอง เช่น หนู มีความก้าวหน้าในเรื่องนี้อย่างน่าสนใจ งานวิจัยหลายชิ้นได้ใช้เทคนิคการดัดแปลงพันธุกรรม เช่น CRISPR-Cas9 เพื่อปิดการทำงานของยีนทั้งสองนี้ในหนู ผลการทดลองพบว่า หนูที่ถูกดัดแปลงไม่สามารถรับรู้รสหวานจากน้ำตาลหรือสารให้ความหวานได้อีกต่อไป และพฤติกรรมการเลือกอาหารของพวกมันเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน หนูเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะกินอาหารที่มีรสจืดหรือรสขมได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับหนูที่ยังคงมียีนทำงานตามปกติ นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังพบว่าการดัดแปลงยีนไม่ได้ส่งผลเสียต่อระบบเผาผลาญในหนูทดลองแต่อย่างใด ซึ่งเป็นข้อค้นพบที่ช่วยเปิดประตูไปสู่การประยุกต์ในมนุษย์ในอนาคต
ในกรณีของมนุษย์ ยังมีการศึกษาในระดับเซลล์และแบบจำลองในห้องปฏิบัติการที่พยายามเลียนแบบการปิดยีน TAS1R2 และ TAS1R3 อีกด้วย
นักวิจัยกำลังมองหาวิธีการที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการปรับเปลี่ยนการแสดงออกของยีนเหล่านี้โดยไม่ส่งผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ในร่างกาย และการวิจัยในห้องปฏิบัติการที่ใช้แบบจำลองเซลล์ก็ได้รับการสนับสนุนจากหลายสถาบันและหน่วยงานวิจัยทางการแพทย์เพื่อพัฒนาเทคนิคการดัดแปลงยีนที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการควบคุมการตอบสนองต่อน้ำตาลในร่างกาย เช่น การทำงานของระบบประสาทหรือฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรสหวานเกี่ยวข้องกับสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับโดปามีน การทดลองกับมนุษย์จึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง เพื่อป้องกันผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นต่ออารมณ์และพฤติกรรมในระยะยาว
แม้ว่าการดัดแปลงยีน TAS1R2 และ TAS1R3 เพื่อให้มนุษย์ไม่ตอบสนองต่อรสหวานยังไม่ถูกนำไปใช้จริง แต่ผลการทดลองในหนูและการวิจัยเบื้องต้นในระดับเซลล์ให้ความหวังว่าในอนาคต การดัดแปลงยีนเหล่านี้อาจกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการโรคที่เกี่ยวข้องกับน้ำตาล เช่น โรคอ้วนหรือเบาหวาน หากสามารถพัฒนาวิธีการที่ปลอดภัยและคำนึงถึงผลกระทบระยะยาวได้อย่างเหมาะสม
ปิดท้ายด้วยความลับของแมวคือ ยีน Tas1r1 และ Tas1r3 ทำให้พวกมันรับรสอูมามิ ได้แบบสุขสุดๆๆๆๆๆ 5555
#กูต้องรู้มั๊ย #pirateketo