Jakk Goodday on Nostr: “เชื่อมต่อกันมากกว่าเดิม” ...
“เชื่อมต่อกันมากกว่าเดิม” หัวใจของทุกๆ คอมมูนิตี้
เราทุกคนคงรู้จัก “คอมมูนิตี้ออนไลน์” กันดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มในโซเชียลมีเดีย แชทกลุ่ม หรือฟอรั่มต่าง ๆ ที่เราสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนที่มีความสนใจเหมือนกันได้
ไม่ว่าจะเป็น บิตคอยน์, เศรษฐศาสตร์, การเมือง, หรือแม้แต่ การ์ดเกมและซีรีส์ที่กำลังฮิต
แต่เคยสงสัยไหมว่า.. ทำไมบางกลุ่มถึงแน่นแฟ้นและยั่งยืนกว่ากลุ่มอื่น?
ผมเชื่อว่า.. จุดเริ่มต้น ของคอมมูนิตี้มักเกิดขึ้นจาก “สิ่งที่เราสนใจร่วมกัน” ใช่, นั่นคือเชื้อไฟแรกที่จุดประกายให้เราเข้าหากัน
แต่.. ความเหนียวแน่นที่แท้จริง กลับไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสนใจเพียงอย่างเดียว
มันเกิดจากการเชื่อมต่อที่มากกว่า ‘ความสนใจร่วม’
ในโลกออนไลน์ เราอาจคุยกันเรื่อง บิตคอยน์ หรือ เศรษฐกิจโลก แต่สิ่งที่ทำให้เรา รู้สึกเชื่อมโยงกันจริง ๆ กลับเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่เราแบ่งปันกันระหว่างบรรทัด
เช่น “เมื่อวานลูกชายผมเพิ่งหัดปั่นจักรยานได้” หรือ “ใครดูซีรีส์เรื่องนี้บ้าง?”
Hobbies เล็ก ๆ เหล่านี้ หรือแม้แต่เรื่องราวในชีวิตประจำวัน ทำให้เรามองเห็นว่า “อีกฝ่ายคือมนุษย์เหมือนกัน”
ไม่ใช่แค่เพียงไอคอนหรือชื่อผู้ใช้ในโลกออนไลน์
“We are not thinking machines that feel, we are feeling machines that think.”
— Antonio Damasio
(เราไม่ใช่เครื่องจักรที่คิดแล้วรู้สึก แต่เราเป็นเครื่องจักรที่รู้สึกแล้วค่อยคิดต่างหากล่ะ)
ในท้ายที่สุด.. เราคอนเนคกันด้วยความรู้สึก ไม่ใช่แค่ข้อมูล
การแชร์เรื่องฟุตบอล งานวิ่ง หนังสือ หรือครอบครัว ทำให้เราเริ่ม “รู้สึกดีต่อกัน” ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่แท้จริง
โลกออฟไลน์ คือ สถานที่ที่ความสัมพันธ์เบ่งบาน
เมื่อเรารู้จักกันมากขึ้นในโลกออนไลน์ หัวใจของเราจะเริ่มเรียกร้องการพบเจอกันในโลกออฟไลน์
เราอยากจะ เห็นสีหน้า เวลาที่อีกฝ่ายพูดถึงเรื่องที่ชอบ (ผมรู้ว่าอาจไม่ใช่กับทุกคน แต่ส่วนใหญ่มักจะรู้สึกแบบนี้)
เราอยากจะ หัวเราะร่วมกันจริง ๆ ไม่ใช่แค่พิมพ์ “555+”
แต่การพบปะกันในโลกจริง ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับหัวข้อหลักที่ทำให้เรารู้จักกันแต่แรก
เราต้องการ สถานที่ที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจที่จะเป็นตัวเอง
บรรยากาศที่ไม่ต้องมีกรอบหรือหมวดหมู่มาจำกัดว่า “เราคือใคร”
“Sometimes the best conversations happen when you forget the agenda.”
— Jakk Goodday
“บางครั้ง.. บทสนทนาที่ดีที่สุดก็เกิดขึ้นเมื่อเราลืมไปว่ามีวาระอะไรอยู่"
ในสถานที่แบบนั้น.. เราจะ เปิดใจฟังกันมากขึ้น ไม่ใช่เพื่อหาข้อโต้แย้ง แต่เพื่อ เข้าใจว่าแต่ละคนมีเรื่องราวอะไรบ้าง
เราอาจจะ ไม่ชอบทุกอย่าง ในตัวของอีกฝ่าย และนั่นก็ไม่เป็นไร เพราะเราสามารถเลือกที่จะ เชื่อมต่อในส่วนที่สร้าง 'พลังบวก' ให้กันและกันได้
การพบเจอมักสร้างพลังที่คาดไม่ถึง
การได้เจอกันจริง ๆ ไม่เพียงแค่ทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นเท่านั้น แต่มันยังเปิดประตูสู่ความร่วมมือและนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้วย
พวกเราเคยสังเกตไหมว่า.. ความคิดดี ๆ มักเกิดขึ้นในบทสนทนาที่ดูเหมือนไม่มีสาระ?
การนั่งคุยเรื่องฟุตบอลอาจนำไปสู่โปรเจกต์ธุรกิจใหม่ (เช่น หนังสือเงินเฟ้อคืออคดีอาญา เป็นต้น)
หรือการถกเถียงกันเรื่องหนังสือเล่มหนึ่งอาจจุดประกายให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการที่เราไม่เคยคาดคิด
“Innovation is born from the unexpected intersections of diverse minds.”
— Frans Johansson, The Medici Effect
(นวัตกรรมเกิดขึ้นเมื่อความคิดที่แตกต่างกันมาบรรจบกันอย่างไม่คาดฝัน)
คอมมูนิตี้ที่แท้จริง มันจึงมากกว่าแค่กลุ่มคนที่มีความสนใจร่วมกัน
ในที่สุดแล้ว คอมมูนิตี้ที่ยั่งยืน ไม่ได้เกิดจากแค่หัวข้อที่เราพูดถึงเท่านั้น
แต่มันเกิดจาก ความเชื่อมโยงทางอารมณ์ ความไว้วางใจ และการเปิดใจรับฟังกันอย่างแท้จริง
เราอาจเริ่มต้นจากการพูดคุยเรื่อง บิตคอยน์ หรือ เศรษฐศาสตร์
แต่สิ่งที่จะทำให้เรา “อยู่ด้วยกันต่อไป” คือการแบ่งปันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่า
“เรามีค่าต่อกันและกัน ในแบบที่มากกว่าแค่หัวข้อสนทนา”
ในโลกที่เชื่อมโยงกันด้วยเทคโนโลยีได้ง่าย การสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกลับต้องการสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น
เช่น การเปิดใจรับฟังและการแบ่งปันความเป็นมนุษย์ให้กันและกัน
#Siamstr #LifeShift #RightShift
ขอบคุณอีเว้นท์ดีๆ แสนอบอุ่น #BlockMountain2025 ครับ
เราทุกคนคงรู้จัก “คอมมูนิตี้ออนไลน์” กันดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มในโซเชียลมีเดีย แชทกลุ่ม หรือฟอรั่มต่าง ๆ ที่เราสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้คนที่มีความสนใจเหมือนกันได้
ไม่ว่าจะเป็น บิตคอยน์, เศรษฐศาสตร์, การเมือง, หรือแม้แต่ การ์ดเกมและซีรีส์ที่กำลังฮิต
แต่เคยสงสัยไหมว่า.. ทำไมบางกลุ่มถึงแน่นแฟ้นและยั่งยืนกว่ากลุ่มอื่น?
ผมเชื่อว่า.. จุดเริ่มต้น ของคอมมูนิตี้มักเกิดขึ้นจาก “สิ่งที่เราสนใจร่วมกัน” ใช่, นั่นคือเชื้อไฟแรกที่จุดประกายให้เราเข้าหากัน
แต่.. ความเหนียวแน่นที่แท้จริง กลับไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสนใจเพียงอย่างเดียว
มันเกิดจากการเชื่อมต่อที่มากกว่า ‘ความสนใจร่วม’
ในโลกออนไลน์ เราอาจคุยกันเรื่อง บิตคอยน์ หรือ เศรษฐกิจโลก แต่สิ่งที่ทำให้เรา รู้สึกเชื่อมโยงกันจริง ๆ กลับเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่เราแบ่งปันกันระหว่างบรรทัด
เช่น “เมื่อวานลูกชายผมเพิ่งหัดปั่นจักรยานได้” หรือ “ใครดูซีรีส์เรื่องนี้บ้าง?”
Hobbies เล็ก ๆ เหล่านี้ หรือแม้แต่เรื่องราวในชีวิตประจำวัน ทำให้เรามองเห็นว่า “อีกฝ่ายคือมนุษย์เหมือนกัน”
ไม่ใช่แค่เพียงไอคอนหรือชื่อผู้ใช้ในโลกออนไลน์
“We are not thinking machines that feel, we are feeling machines that think.”
— Antonio Damasio
(เราไม่ใช่เครื่องจักรที่คิดแล้วรู้สึก แต่เราเป็นเครื่องจักรที่รู้สึกแล้วค่อยคิดต่างหากล่ะ)
ในท้ายที่สุด.. เราคอนเนคกันด้วยความรู้สึก ไม่ใช่แค่ข้อมูล
การแชร์เรื่องฟุตบอล งานวิ่ง หนังสือ หรือครอบครัว ทำให้เราเริ่ม “รู้สึกดีต่อกัน” ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่แท้จริง
โลกออฟไลน์ คือ สถานที่ที่ความสัมพันธ์เบ่งบาน
เมื่อเรารู้จักกันมากขึ้นในโลกออนไลน์ หัวใจของเราจะเริ่มเรียกร้องการพบเจอกันในโลกออฟไลน์
เราอยากจะ เห็นสีหน้า เวลาที่อีกฝ่ายพูดถึงเรื่องที่ชอบ (ผมรู้ว่าอาจไม่ใช่กับทุกคน แต่ส่วนใหญ่มักจะรู้สึกแบบนี้)
เราอยากจะ หัวเราะร่วมกันจริง ๆ ไม่ใช่แค่พิมพ์ “555+”
แต่การพบปะกันในโลกจริง ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับหัวข้อหลักที่ทำให้เรารู้จักกันแต่แรก
เราต้องการ สถานที่ที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจที่จะเป็นตัวเอง
บรรยากาศที่ไม่ต้องมีกรอบหรือหมวดหมู่มาจำกัดว่า “เราคือใคร”
“Sometimes the best conversations happen when you forget the agenda.”
— Jakk Goodday
“บางครั้ง.. บทสนทนาที่ดีที่สุดก็เกิดขึ้นเมื่อเราลืมไปว่ามีวาระอะไรอยู่"
ในสถานที่แบบนั้น.. เราจะ เปิดใจฟังกันมากขึ้น ไม่ใช่เพื่อหาข้อโต้แย้ง แต่เพื่อ เข้าใจว่าแต่ละคนมีเรื่องราวอะไรบ้าง
เราอาจจะ ไม่ชอบทุกอย่าง ในตัวของอีกฝ่าย และนั่นก็ไม่เป็นไร เพราะเราสามารถเลือกที่จะ เชื่อมต่อในส่วนที่สร้าง 'พลังบวก' ให้กันและกันได้
การพบเจอมักสร้างพลังที่คาดไม่ถึง
การได้เจอกันจริง ๆ ไม่เพียงแค่ทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นเท่านั้น แต่มันยังเปิดประตูสู่ความร่วมมือและนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้วย
พวกเราเคยสังเกตไหมว่า.. ความคิดดี ๆ มักเกิดขึ้นในบทสนทนาที่ดูเหมือนไม่มีสาระ?
การนั่งคุยเรื่องฟุตบอลอาจนำไปสู่โปรเจกต์ธุรกิจใหม่ (เช่น หนังสือเงินเฟ้อคืออคดีอาญา เป็นต้น)
หรือการถกเถียงกันเรื่องหนังสือเล่มหนึ่งอาจจุดประกายให้เกิดความร่วมมือทางวิชาการที่เราไม่เคยคาดคิด
“Innovation is born from the unexpected intersections of diverse minds.”
— Frans Johansson, The Medici Effect
(นวัตกรรมเกิดขึ้นเมื่อความคิดที่แตกต่างกันมาบรรจบกันอย่างไม่คาดฝัน)
คอมมูนิตี้ที่แท้จริง มันจึงมากกว่าแค่กลุ่มคนที่มีความสนใจร่วมกัน
ในที่สุดแล้ว คอมมูนิตี้ที่ยั่งยืน ไม่ได้เกิดจากแค่หัวข้อที่เราพูดถึงเท่านั้น
แต่มันเกิดจาก ความเชื่อมโยงทางอารมณ์ ความไว้วางใจ และการเปิดใจรับฟังกันอย่างแท้จริง
เราอาจเริ่มต้นจากการพูดคุยเรื่อง บิตคอยน์ หรือ เศรษฐศาสตร์
แต่สิ่งที่จะทำให้เรา “อยู่ด้วยกันต่อไป” คือการแบ่งปันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่า
“เรามีค่าต่อกันและกัน ในแบบที่มากกว่าแค่หัวข้อสนทนา”
ในโลกที่เชื่อมโยงกันด้วยเทคโนโลยีได้ง่าย การสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงกลับต้องการสิ่งที่ลึกซึ้งกว่านั้น
เช่น การเปิดใจรับฟังและการแบ่งปันความเป็นมนุษย์ให้กันและกัน
#Siamstr #LifeShift #RightShift
ขอบคุณอีเว้นท์ดีๆ แสนอบอุ่น #BlockMountain2025 ครับ