Jakk Goodday on Nostr: "Neo Wealth Club - EP. พิเศษกับ Jakk" (Long take) ...
"Neo Wealth Club - EP. พิเศษกับ Jakk" (Long take)
เสียงดนตรีธีมของ Neo Wealth Club ดังขึ้น เป็นการเปิดบทสนทนาที่อาจจะเปลี่ยนวิธีคิดของคุณไปตลอดกาล
พี่ช่า (ยิ้มกว้าง):
"คุณเคยคิดไหมคะว่า ผู้นำที่แท้จริง เป็นยังไง? เป็นคนที่มีตำแหน่งสูงสุด? เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจ? หรือเป็นคนที่ใครๆ ต้องเดินตาม?
แต่แขกรับเชิญของเราในวันนี้อาจทำให้คุณต้องคิดใหม่ค่ะ!
เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ได้เรียกตัวเองว่า ผู้นำ … แต่กลับเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนลุกขึ้นมาสร้างเส้นทางของตัวเอง"
กล้องเริ่มแพนไปที่ Jakk ที่นั่งอยู่ด้วยท่าทีสบายๆ มีรอยยิ้มของคนที่ผ่านอะไรมามาก และพร้อมจะแชร์ให้ทุกคนฟัง
พี่ช่า (เริ่มต้นด้วยคำถามที่แตกต่าง):
"ถ้าคุณต้องนิยามคำว่า ‘ผู้นำ’ แต่ ห้าม ใช้คำว่า ‘อำนาจ’ หรือ ‘ตำแหน่ง’ คุณจะให้นิยามมันว่าอะไรคะ Jakk?"
Jakk (หัวเราะเบาๆ ก่อนตอบ):
"โอ้โห.. คำถามนี้ดีมากเลยครับ... แต่ถ้าให้ผมตอบ ผมคิดว่าผู้นำคือ คนที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาสามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้นำของตัวเองได้ ครับ"
พี่ช่า (ตาเป็นประกาย):
"หืมมม...นี่มันตรงกันข้ามกับนิยามแบบเดิมเลยนะคะ! งั้นเรามาลองเจาะลึกกันดีกว่า ว่าทำไมคุณถึงคิดแบบนี้ และมันเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณไปยังไง?"
//ภาวะผู้นำที่ไม่ต้องการให้ใครตาม
กล้องซูมไปที่ Jakk ที่เริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
Jakk:
"ผมว่าเราถูกสอนกันมานานมากว่า.. ผู้นำคือคนที่ต้องมีคนตาม แต่ผมกลับคิดว่าผู้นำที่แท้จริงคือคนที่ทำให้คนอื่นไม่ต้องตาม แต่สามารถ เดินไปด้วยกัน ได้"
พี่ช่า (ขยายความ):
"หมายถึงการกระจายศูนย์อำนาจเหรอคะ? หรือการทำให้ทีมทำงานได้เอง?"
Jakk:
"ส่วตัวผมคิดว่ามันมากกว่านั้นครับ... ผมกำลังพูดถึง ภาวะผู้นำที่หายไปได้"
กล้องแพนไปที่พี่ช่าที่เริ่มจะขมวดคิ้วแบบสนใจสุดๆ
พี่ช่า:
"เดี๋ยวนะคะ ภาวะผู้นำที่ หายไปได้ หมายความว่าไง?"
Jakk (ยิ้ม):
"พี่ลองคิดถึงวงดนตรีที่เล่นกันเป็นทีมครับ ถ้าเราเป็นมือกีตาร์และเราต้องเล่นทุกโน้ตเองทั้งหมด วงนั้นจะไม่ไปไหนเลย เพราะทุกคนจะรอฟังเรานำ
แต่ถ้าเราเป็นมือกีตาร์ที่เล่นแค่บางจังหวะ แล้วปล่อยให้คนอื่นเข้ามาเล่นแทนกันเอง การเล่นของวงจะไหลลื่นขึ้น... และสุดท้าย ต่อให้เราออกไปจากเวที เพลงก็ยังดำเนินต่อไปได้"
พี่ช่า (พึมพำเบาๆ):
"เหมือนวงแจ๊ส..."
Jakk (พยักหน้า):
"ใช่ครับ!.. ผู้นำที่ดีไม่ใช่คนที่กำหนดทุกอย่าง แต่เป็นคนที่สร้างเงื่อนไขให้ทีมสามารถเดินหน้าได้แม้ไม่มีเขา"
//จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเลิก 'รอ' และเริ่ม 'สร้าง'
พี่ช่าหยิบประเด็นที่น่าสนใจขึ้นมาเล่นต่อ..
พี่ช่า:
"จากที่พี่เคยอ่านบทความของคุณมาเยอะมาก คุณพูดถึงช่วงเวลาที่คุณรู้สึกเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่... จนถึงจุดหนึ่งที่คุณ 'เลิก' รอ แล้วลงมือสร้างเอง จุดเปลี่ยนนั้นคืออะไรคะ?"
Jakk (ยิ้มเล็กๆ ก่อนตอบ):
"ผมจำได้ดีเลยครับ วันนั้นผมนั่งอยู่คนเดียวในคาเฟ่แห่งหนึ่ง แล้วผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า... ถ้าผมตายไปพรุ่งนี้ สิ่งที่ผมเคย 'ตั้งใจจะทำ' จะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง
ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังฝากชีวิตไว้กับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่า 'เดี๋ยววันหนึ่งโอกาสจะมา' แต่ความจริงคือ ไม่มีอะไรจะมาเองถ้าผมไม่สร้างมันขึ้นมา"
พี่ช่า (เสียงเบาลง):
"แล้วคุณทำยังไงต่อ?"
Jakk:
"ผมกลับบ้าน เปิดคอมพิวเตอร์ แล้วพิมพ์บทความแรกของตัวเองขึ้นมาโดยที่ยังไม่มีคนอ่าน ผมเริ่มจัด Meetup แรกโดยแทบที่ไม่มีใครสนใจมาสมัคร ผมเริ่มสร้างเครือข่ายของตัวเอง โดยที่ตอนแรกไม่มีใครสนใจ"
กล้องจับไปที่พี่ช่าที่กำลังฟังอย่างตั้งใจสุดๆ
Jakk (ยิ้ม):
"แต่พอเวลาผ่านไป... ผมพบว่าคนที่กล้าลงมือทำก่อน จะเป็นคนที่โอกาสวิ่งเข้าหาเสมอ"
//คุณต้องสร้างเป้าหมายที่ใหญ่กว่าตัวคุณเอง
พี่ช่าต่อยอดไปยังเรื่องของแรงจูงใจ..
พี่ช่า: "แล้วคุณให้แรงจูงใจทีมของคุณยังไงคะ? ไม่ใช่ทุกวันที่เราจะมีพลังเต็มร้อย"
Jakk (นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น): "ผมว่า… เราเข้าใจผิดเรื่องแรงจูงใจกันเยอะมากครับ... เรามักคิดว่าต้อง 'หา' แรงจูงใจ แต่ที่จริง ๆ แล้วเราไม่ต้องหา เราต้อง 'สร้าง' เป้าหมายที่ใหญ่กว่าตัวเราเอง"
พี่ช่า (ตาโต): "ขยายความหน่อยค่ะ?"
Jakk: "ลองนึกดูนะครับ ถ้าเป้าหมายของเราคือแค่ 'หาเงิน' เราจะหมดแรงจูงใจเร็วมาก แต่ถ้าเป้าหมายของเราคือ 'เปลี่ยนชีวิตคน 1 ล้านคน' หรือ 'สร้างบางสิ่งที่คนรุ่นต่อไปจะใช้ได้' เราจะไม่มีวันหมดพลัง"
กล้องแพนไปที่พี่ช่าที่กำลังครุ่นคิด..
Jakk (ยิ้ม): "เพราะตอนนั้น... แรงจูงใจมันจะไม่ได้มาจากแค่ 'ตัวเรา' อีกต่อไป แต่มันมาจาก 'ผลกระทบ' ที่เราสร้างขึ้น"
// "อย่าถามว่าคุณต้องการอะไร ถามว่าคุณสามารถให้อะไรกับโลกใบนี้ได้บ้าง"
พี่ช่าถามคำถามต่อมา..
พี่ช่า: "ก่อนเราจะปิดเบรคแรกของรายการ พี่อยากให้คุณ Jakk ช่วยฝากอะไรสักอย่างให้กับคนที่กำลังฟังอยู่ คนที่อาจจะยังลังเล ไม่แน่ใจว่าจะลงมือทำอะไรดี คุณอยากจะบอกอะไรพวกเขาคะ?"
กล้องจับไปที่ Jakk ที่นั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยพลัง
Jakk:
"อย่าถามตัวเองว่า 'ฉันต้องการอะไรจากชีวิต?'
แต่ถามตัวเองว่า 'ฉันสามารถให้โลกใบนี้อะไรได้บ้าง?'
เพราะคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้... ไม่ใช่คนที่ได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่คือคนที่ให้ทุกอย่างที่เขามี"
เสียงเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่พี่ช่าจะปรบมือ พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ
พี่ช่า (ยิ้ม): "สุดยอดค่ะ Jakk ขอบคุณนะคะที่มาแบ่งปันสิ่งดีๆ กับเรา ยังไม่จบนะคะ ยังมีอีก"
// "การสร้างทีมผ่าน ‘ความสนิทนอกงาน’ และจุดร่วมความสนใจ"
เสียงหัวเราะเบาๆ ลอยผ่านสตูดิโอเมื่อพี่ช่ายิงคำถามถัดไป
พี่ช่า: “Jakk คะ.. ฟังดูแล้วคุณเป็นคนที่เชื่อในการสร้างทีมแบบเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่การกำหนดโครงสร้างแข็งๆ แต่มันมีอะไรที่มากกว่านั้นไหม?
อย่างเรื่อง ‘ความสนิทนอกงาน’ ที่คุณพูดถึงหลายครั้ง มันสำคัญกับการเป็นผู้นำยังไง?”
Jakk (ยิ้มพร้อมพยักหน้า): “โห คำถามดีครับ..
ถ้าพูดตรงๆ ผมมองว่าการทำงานร่วมกันไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘หน้าที่’ แต่เป็นเรื่องของ ‘ความสัมพันธ์’ ด้วย ผมกับ อ.พิริยะ เป็นตัวอย่างหนึ่งเลย เราร่วมงานกันไม่ได้เพราะแค่มีเป้าหมายเดียวกัน แต่เพราะเราเริ่มสนิทกันมากในฐานะ ‘เพื่อน’ ก่อน”
// จาก ‘งาน’ สู่ ‘เพื่อนร่วมอุดมการณ์’
พี่ช่า (เลิกคิ้ว): “เพื่อนกันก่อนงาน? งั้นตอนแรกที่คุณสองคนเจอกัน คุยเรื่องอะไรคะ?”
Jakk (หัวเราะ): “ไม่ใช่เรื่องบิตคอยน์ครับ! เชื่อไหม? ตอนแรกสุดที่เราสองคนสนิทกัน เราคุยเรื่องเกม”
พี่ช่า (ตกใจเล็กน้อย): “เกม?! นี่คิดว่าจะเป็นเรื่องทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อะไรซะอีก”
Jakk (หัวเราะ): “ใช่ครับ.. เกมนี่แหละ
มันเป็นภาษากลางที่เราทั้งคู่เชื่อมถึงกันได้ คือการจะสร้างทีมที่แข็งแรง ผมคิดว่ามันเริ่มจากการ ‘เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร’ และอะไรที่ทำให้เขาตื่นเต้น มันทำให้เกิดความไว้ใจกันแบบที่โครงสร้างองค์กรทั่วไปอาจไม่มี”
// พลังของความสัมพันธ์นอกกรอบงาน
พี่ช่า: “แสดงว่าคุณมองว่าการสร้างทีมที่ดีต้องออกไปนอก ‘กรอบงาน’ บ้าง?”
Jakk (พยักหน้า): “ถูกต้องเลยครับ.. ผู้นำที่ดีไม่ได้แค่กำหนดเป้าหมายให้ทีมทำตาม แต่ต้องเข้าใจ ‘คน’ ในทีมด้วย
คนเรามักจะเปิดใจกันตอนที่อยู่ในบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ เช่น ผมกับน้อง ๆ ทีมงาน บางทีเราเล่นเกมด้วยกัน เราไปกินข้าวกัน เราแชร์เรื่องชีวิตกัน นั่นแหละครับที่สร้าง ‘ความสนิทใจ’ ที่มากกว่าการทำงาน”
พี่ช่า: “ถ้าสนิทกันมากขนาดนั้น ไม่กลัวเสียสมดุลเหรอคะ? เพราะบางคนอาจจะรู้สึกว่า ถ้าผู้นำกับลูกทีมสนิทกันเกินไป อาจเกิดปัญหาด้านการตัดสินใจหรือความเป็นมืออาชีพ?”
Jakk (ยิ้ม): “เป็นคำถามที่ดีมากครับ..
ผมเองก็เคยคิดเรื่องนี้ ตอนแรกก็กังวลนะ แต่สุดท้ายผมพบว่า ‘ความสนิท’ ไม่ได้ทำให้เสียความเป็นมืออาชีพ
ตรงกันข้ามเลยครับ.. มันทำให้ ‘การสื่อสาร’ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทีมที่สนิทกันจริงๆ จะสามารถพูดตรงๆ กันได้ เวลามีปัญหา เราจะแก้ไขได้เร็วขึ้น เพราะเราไม่ได้กลัวว่าจะ ‘ทำให้ใครไม่พอใจ’ แต่เราคิดว่า ‘เราจะช่วยกันแก้ปัญหาได้ยังไง’ มากกว่า”
// แนวคิด "Value for Value" และการสร้างเครือข่ายผู้นำ
พี่ช่า: “พี่เคยได้ยินคุณพูดถึงคำว่า Value for Value มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง?”
Jakk (ตาวาวขึ้น): “โอ้! นี่เป็นแนวคิดที่สำคัญมากครับ Value for Value คือการที่เราสร้างคุณค่าให้คนอื่นก่อน โดยไม่ต้องคาดหวังว่าผลตอบแทนจะมาในรูปแบบไหน ผมมองว่าการสร้างทีมก็ต้องใช้แนวคิดนี้”
พี่ช่า (พยักหน้า): “ขยายความหน่อยค่ะ?”
Jakk: “สมมติว่าเราอยากให้ทีมมีความสามัคคี เราต้อง ‘ให้’ ก่อน เช่น ให้ความรู้ ให้โอกาส ให้การสนับสนุน แล้ววันหนึ่ง ทีมจะ ‘ให้กลับ’ เองโดยธรรมชาติ
เช่นกันกับการสร้างความสัมพันธ์ ถ้าเราอยากให้ทีมเชื่อใจเรา เราก็ต้องเป็นคนที่เชื่อใจพวกเขาก่อน เราต้องลงทุนในความสัมพันธ์แบบระยะยาว ไม่ใช่แค่หวังผลลัพธ์ระยะสั้น”
พี่ช่า: “แล้วผลลัพธ์ที่คุณเห็นจากแนวคิดนี้ล่ะคะ?”
Jakk: “ผมเห็นว่าคนในทีมของผมลุกขึ้นมารับผิดชอบมากขึ้น กล้าที่จะเป็นผู้นำในแบบของตัวเอง เพราะพวกเขารู้สึกว่า ‘นี่เป็นทีมของเขาด้วย’ ไม่ใช่แค่ ‘ทำงานให้ Jakk ทำงานให้ อ.พิริยะ’ แต่เป็น ‘สร้างสิ่งที่เขาเชื่อไปพร้อมกับ Right Shift’”
// จากทีมงานสู่เครือข่ายที่ยั่งยืน (Decentralized Leadership)
พี่ช่า: “แล้วสุดท้ายคุณทำให้แนวคิดนี้กลายเป็น ‘ระบบ’ ที่อยู่ได้โดยไม่ต้องมีคุณได้ยังไง?”
Jakk: “ผมพยายามกระจายอำนาจครับ ผมเชื่อว่า.. ผู้นำที่แท้จริงไม่ใช่คนที่ ‘ต้องมีอำนาจตลอดเวลา’ แต่คือคนที่สามารถสร้างระบบที่อยู่รอดได้แม้ตัวเองจะไม่อยู่ ผมเรียกมันว่า Decentralized Leadership”
พี่ช่า (ยิ้มกว้าง): “นี่มัน Spontaneous Order Leadership ที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”
Jakk (พยักหน้า): “ใช่เลยครับ ผู้นำไม่ควรเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ถ้าระบบต้องพึ่งพาผู้นำคนเดียว มันไม่มีวันยั่งยืน ผมเชื่อในการสร้างเครือข่ายที่ ‘กระจายศูนย์’ ไม่ใช่การสร้างองค์กรที่พึ่งพาผู้นำคนเดียว นั่นแหละคือเป้าหมายของผม”
// ผู้นำที่แท้จริงสร้าง ‘พื้นที่’ มากกว่าสร้าง ‘อำนาจ’
พี่ช่า (ยิ้ม): “สรุปแล้ว ฟังดูเหมือนว่าการเป็นผู้นำที่ดีไม่ใช่แค่การ ‘ทำให้คนอื่นทำตาม’ แต่เป็นการ ‘สร้างพื้นที่ให้คนอื่นลุกขึ้นมาเป็นผู้นำได้เอง’”
Jakk (ยิ้มตอบ): “ถูกต้องเลยครับ ผู้นำที่แท้จริงไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งสูงสุด แต่เป็นคนที่ทำให้คนรอบตัวมีโอกาสเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำในแบบของตัวเอง”
พี่ช่า (ยิ้มกว้าง): “วันนี้เราได้เห็นมุมมองของ Jakk ด้านภาวะผู้นำ ขอบคุณ Jakk มากๆ สำหรับบทสนทนา
จะเห็นได้เลยว่าคุณ Jakk ไม่ได้มองภาวะผู้นำเป็นเรื่องของอำนาจหรือการควบคุม แต่เป็นเรื่องของการสร้าง ‘สภาพแวดล้อม’ ให้ผู้อื่นเติบโต ผู้นำที่แท้จริงต้องสามารถปล่อยมือ และให้คนอื่นลุกขึ้นมาเป็นผู้นำได้เอง นี่คือหลักการที่ทำให้เขาสามารถสร้างชุมชนและเครือข่ายที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง”
// การสร้างวัฒนธรรมองค์กร และการให้แรงจูงใจในทีม
บรรยากาศในสตูดิโอเริ่มเข้มข้นขึ้น เมื่อพี่ช่าเดินหน้าขยี้ประเด็นสำคัญเรื่องภาวะผู้นำในมิติของการสร้างวัฒนธรรมองค์กรและการให้แรงจูงใจแก่ทีม
พี่ช่า (เอนตัวไปข้างหน้า สนใจสุดๆ): “Jakk คะ ฟังดูเหมือนว่าคุณไม่ได้มองผู้นำเป็นแค่คนที่ ‘ตัดสินใจ’ แต่เป็นคนที่สร้าง ‘วัฒนธรรม’ ให้ทีมเดินไปด้วยกัน วัฒนธรรมองค์กรที่ดีในมุมมองของคุณคืออะไรคะ?”
Jakk (ยิ้มก่อนตอบ): “โอ้.. นี่เป็นประเด็นที่ผมให้ความสำคัญมากเลยครับ
ผมมองว่าวัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่แค่ ‘กฎระเบียบ’ หรือ ‘ค่านิยมที่ติดอยู่บนผนัง’ แต่มันคือ ‘พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันของทีม’ ถ้าอยากให้ทีมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำต้องสร้าง ‘สภาพแวดล้อม’ ที่เอื้อให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นเอง”
พี่ช่า (พยักหน้า): “แล้วคุณสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีขึ้นมาได้ยังไง?”
Jakk: “มี 3 อย่างที่ผมให้ความสำคัญครับ คือ ‘Trust, Ownership, และ Growth’”
Trust คือ ความไว้วางใจที่มาก่อนทุกอย่าง
Jakk: “ความไว้วางใจเป็นพื้นฐานของทุกทีมครับ ถ้าคนในองค์กรไม่เชื่อใจกัน ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ทีมจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้เลย
ผมเลยตั้งหลักไว้ว่าทุกคนในทีมต้องกล้าพูด กล้าถกเถียงกันแบบตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องกลัวว่าความเห็นของตัวเองจะถูกมองว่า ‘โง่’ หรือ ‘ไม่เข้าท่า’ เพราะบางทีไอเดียที่ดูแปลกที่สุดตอนแรก อาจกลายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนเกมได้”
พี่ช่า: “แต่ความไว้วางใจไม่ได้เกิดขึ้นเอง คุณทำยังไงให้ทีมรู้สึกว่าพวกเขาสามารถไว้ใจคุณได้?”
Jakk (ยิ้ม): “ผู้นำต้อง ‘ทำให้ดู’ ก่อนครับ ถ้าผู้นำยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้ ไม่พยายามซ่อนหรือกลัวเสียหน้า คนในทีมก็จะกล้าพูด กล้ารับผิด กล้าปรับปรุงตัวเอง
ผมเชื่อว่าคำว่า ‘ผมไม่รู้’ หรือ ‘ผมผิด’ จากปากผู้นำเป็นสิ่งที่สร้างความไว้วางใจได้ดีที่สุด”
// Ownership คือ การทำให้ทีมรู้สึกเป็นเจ้าของเป้าหมาย
พี่ช่า: “ข้อนี้น่าสนใจ! ทำยังไงให้คนในทีมรู้สึกว่า ‘นี่เป็นของฉัน’ ไม่ใช่แค่ ‘งานของบริษัท’?”
Jakk (เน้นเสียง): “เราต้องให้เขามี ‘สิทธิ์ในการตัดสินใจ’ ครับ
ผมเคยเห็นทีมที่ทำงานไปวันๆ เพราะพวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาทำ ‘ไม่ใช่ของตัวเอง’ คือแค่ทำตามคำสั่ง พอหมดเวลางานก็จบกันไป
แต่ถ้าเราให้พวกเขาตัดสินใจเอง ให้พวกเขารู้สึกว่า ‘นี่เป็นโปรเจกต์ของเรา’ คนจะเริ่มใส่ใจและรู้สึกเป็นเจ้าของงานของตัวเอง”
พี่ช่า (เสริม): “หมายถึงให้พวกเขามีอิสระในการคิดและเลือกเส้นทางเอง?”
Jakk (พยักหน้า): “ใช่เลยครับ! ถ้าทำได้ คนจะเริ่มมี Intrinsic Motivation หรือแรงจูงใจที่มาจากภายใน ไม่ต้องมีเจ้านายมาคอยบอกให้ทำ พวกเขาจะทำเอง เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่ทำจริงๆ”
// Growth คือ การพัฒนาทั้งทีม ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ระยะสั้น
พี่ช่า: “สุดท้ายแล้วคุณต้องการให้ทีมของคุณ ‘เติบโต’ ยังไง?”
Jakk: “ผมมีหลักคิดง่ายๆ ครับ คือ ‘ทุกคนในทีมต้องเก่งขึ้นกว่าปีที่แล้ว’
ถ้าผู้นำแค่เน้นเป้าหมายขององค์กรอย่างเดียว แต่ไม่สนใจว่าแต่ละคนจะเติบโตขึ้นหรือไม่ มันไม่ใช่ภาวะผู้นำที่แท้จริง
ทีมที่ดีต้องเป็นทีมที่คนในนั้น ‘กลายเป็นคนที่เก่งขึ้น’ ไม่ใช่แค่ทำงานได้ดีขึ้น”
พี่ช่า: “แสดงว่าคุณให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของคนในทีม มากกว่าการได้เป้าหมายระยะสั้น?”
Jakk: “ใช่ครับ! ผมสนับสนุนให้คนในทีมเรียนรู้ตลอดเวลา บางครั้งการให้คนหยุดทำงานสักพักเพื่อไปศึกษาอะไรใหม่ๆ อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการเร่งให้ทำงานตลอดเวลาด้วยซ้ำ”
// การให้แรงจูงใจและแรงบันดาลใจในทีม
พี่ช่า (หัวเราะ): “พูดถึงแรงจูงใจ ทีนี้อยากรู้ว่าคุณ ‘ปลุกพลัง’ คนในทีมยังไง? ไม่ใช่ทุกวันที่ทุกคนจะมีแรงฮึดขึ้นมาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่นะคะ”
Jakk (ยิ้ม): “ใช่เลยครับ ผมคิดว่าแรงจูงใจมีสองแบบ คือ External Motivation (แรงจูงใจภายนอก) กับ Intrinsic Motivation (แรงจูงใจภายใน) เราต้องรู้ว่าแต่ละคนตอบสนองกับอะไร”
พี่ช่า (พยักหน้า): “ขยายความหน่อยค่ะ?”
Jakk: “External Motivation ก็คือพวกโบนัส การยกย่อง การเลื่อนตำแหน่ง อะไรแบบนี้ ซึ่งมันจำเป็นนะครับ แต่ถ้าองค์กรพึ่งแรงจูงใจภายนอกอย่างเดียว คนจะทำเพราะ ‘อยากได้รางวัล’ ไม่ใช่เพราะ ‘รักในสิ่งที่ทำ’
ผมเลยให้ความสำคัญกับ Intrinsic Motivation มากกว่า นั่นคือการทำให้คน ‘อิน’ กับสิ่งที่เขาทำอยู่”
// เปลี่ยน "งาน" ให้กลายเป็น "ภารกิจ" ที่มีความหมาย
พี่ช่า: “แล้วทำยังไงให้คน ‘อิน’ กับสิ่งที่เขาทำหรอคะ?”
Jakk: “เราต้องทำให้พวกเขาเห็นว่า ‘งานที่พวกเขาทำมันส่งผลกระทบต่อสังคมหรือโลกยังไง’ ผมเชื่อว่าคนเราไม่ได้ต้องการแค่เงินเดือนสูงๆ แต่เราต้องการรู้ว่าสิ่งที่เราทำมันมีความหมาย”
พี่ช่า (ตาวาว): “โห! นี่มันเป็นเรื่องของ Purpose-driven Leadership แล้วนะคะ!”
Jakk (หัวเราะ): “ใช่เลยครับ ผมพยายามเปลี่ยน ‘งาน’ ให้กลายเป็น ‘ภารกิจ’
ผมบอกทีมเสมอว่า ‘เราไม่ได้แค่ทำคอนเทนต์ เรากำลังเปลี่ยนความคิดคน เรากำลังสร้างสิ่งที่โลกต้องการ’ ถ้าคุณทำให้คนรู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แรงจูงใจของพวกเขาจะมาจากข้างในโดยอัตโนมัติ”
>> สร้างเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ แล้วให้ทีมรู้สึกว่าพวกเขามีบทบาทสำคัญ
เสียงดนตรีเบาๆ คลออยู่เบื้องหลัง พี่ช่าหยุดนิ่งสักครู่ ก่อนจะหันมามอง Jakk ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ
พี่ช่า: “Jakk วันนี้เราได้คุยกันเยอะมาก เรื่องภาวะผู้นำ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร การสร้างแรงบันดาลใจให้ทีม…
พี่เชื่อว่าหลายคนที่ดูอยู่ คงกำลังคิดว่าจะเอาแนวคิดเหล่านี้ไปใช้ยังไงในชีวิตของตัวเอง งั้นก่อนปิดรายการ… คุณอยากฝากอะไรให้กับคนที่กำลังสร้างอนาคตของตัวเอง?”
กล้องซูมไปที่ Jakk เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นแต่เต็มไปด้วยพลัง…
// "ไม่มีใครจะมาเปลี่ยนชีวิตคุณได้ นอกจากตัวคุณเอง"
Jakk:
"ผมอยากให้ทุกคนที่ฟังอยู่ตอนนี้… ลองหลับตาสัก 10 วินาที แล้วคิดถึงตัวเองในอีก 5 ปีข้างหน้า
ตัวคุณที่ประสบความสำเร็จ ตัวคุณที่ทำในสิ่งที่คุณอยากทำ ตัวคุณที่มีชีวิตที่คุณใฝ่ฝันมาตลอด
คุณเห็นภาพนั้นชัดเจนแค่ไหน? คุณรู้สึกยังไงกับตัวเองในวันนั้น?
ตอนนี้ลืมตา… แล้วถามตัวเองว่า
'ถ้าผมไม่ทำอะไรเลยในวันนี้ ภาพนั้นมันจะเกิดขึ้นจริงได้ยังไง?'
โลกนี้ไม่มีใครจะมามอบอนาคตให้คุณ ไม่มีใครจะมาลากคุณขึ้นจากจุดที่คุณอยู่ตอนนี้ มีแต่ตัวคุณเองที่จะต้อง ลุกขึ้นมา และ เดินไปหามันเอง
อย่ารอให้โอกาสมาถึง เพราะโอกาสไม่ได้มีไว้ให้รอ มันมีไว้ให้สร้าง
อย่ารอให้ใครอนุญาต เพราะคุณไม่ต้องการการอนุญาตจากใครเพื่อเริ่มต้นทำในสิ่งที่คุณอยากทำ
อย่ารอให้คุณพร้อม เพราะความพร้อมไม่มีวันมาถึง คนที่รอให้ตัวเองพร้อมคือคนที่ไม่ได้เริ่มต้นอะไรเลย
คุณอาจจะกลัว… ทุกคนกลัวเวลาต้องเริ่มต้นใหม่ แต่ความกลัวไม่ใช่สัญญาณให้คุณถอยหลัง มันคือสัญญาณบอกว่าคุณกำลังก้าวเข้าสู่บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่คุณเคยเป็น
ถ้าคุณอยากเป็นผู้นำ เริ่มจากการเป็นผู้นำของตัวเอง
ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ถ้าคุณอยากเห็นโลกที่ดีกว่า เริ่มจากการทำให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น
ทุกความสำเร็จที่คุณเห็นในวันนี้… มันไม่ได้เกิดจากคนที่นั่งรอ แต่มันเกิดจากคนที่ลุกขึ้นมา สร้าง
และสุดท้าย…
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะมาจากไหน คุณสามารถสร้างอนาคตของคุณเองได้เสมอ
คุณแค่ต้อง เลือก ว่าคุณจะเป็นคนที่ ‘ทำ’ หรือเป็นแค่คนที่ ‘ฝัน’"
เสียงในห้องส่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่พี่ช่าจะปรบมือเบาๆ ตามมาด้วยทีมงานและผู้ชมที่อยู่ในสตูดิโอ
พี่ช่า (ตาเป็นประกาย): “นี่แหละค่ะ! นี่คือคำพูดของคนที่ลงมือทำจริง! Jakk ขอบคุณมากสำหรับวันนี้นะคะ พี่ไม่ต้องขมวดเองแล้ว 555”
Jakk (ยิ้ม): “ขอบคุณพี่ช่า และขอบคุณทุกคนที่ฟังด้วยครับ ขอให้ทุกคนกล้าที่จะลุกขึ้นมาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง”
เสียงดนตรีธีมของ Neo Wealth Club ดังขึ้นเบาๆ เป็นสัญญาณปิดรายการ
พี่ช่าหันมามองกล้อง พร้อมส่งข้อความสุดท้ายให้ผู้ชม
พี่ช่า:
“นี่อาจไม่ใช่แค่บทสนทนา แต่นี่คือคำท้าทายให้คุณลุกขึ้นมาสร้างชีวิตที่คุณอยากมี
คุณไม่ต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุด คุณไม่ต้องรอให้ใครมาให้โอกาสคุณ แต่คุณต้องเป็นคนที่ ลงมือทำ
เพราะไม่มีใครจะมาเปลี่ยนชีวิตคุณได้.. นอกจากตัวคุณเอง
นี่คือ Neo Wealth Club และเราจะเจอกันใหม่ในเอพีหน้า สวัสดีค่ะ!”
จอค่อยๆ มืดลง พร้อมเสียงปรบมือจากทีมงานและแขกรับเชิญ เป็นการปิดฉากอีพีของ Neo Wealth Club
#NeoWealthClub #leadership #Siamtr

เสียงดนตรีธีมของ Neo Wealth Club ดังขึ้น เป็นการเปิดบทสนทนาที่อาจจะเปลี่ยนวิธีคิดของคุณไปตลอดกาล
พี่ช่า (ยิ้มกว้าง):
"คุณเคยคิดไหมคะว่า ผู้นำที่แท้จริง เป็นยังไง? เป็นคนที่มีตำแหน่งสูงสุด? เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจ? หรือเป็นคนที่ใครๆ ต้องเดินตาม?
แต่แขกรับเชิญของเราในวันนี้อาจทำให้คุณต้องคิดใหม่ค่ะ!
เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ได้เรียกตัวเองว่า ผู้นำ … แต่กลับเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนลุกขึ้นมาสร้างเส้นทางของตัวเอง"
กล้องเริ่มแพนไปที่ Jakk ที่นั่งอยู่ด้วยท่าทีสบายๆ มีรอยยิ้มของคนที่ผ่านอะไรมามาก และพร้อมจะแชร์ให้ทุกคนฟัง
พี่ช่า (เริ่มต้นด้วยคำถามที่แตกต่าง):
"ถ้าคุณต้องนิยามคำว่า ‘ผู้นำ’ แต่ ห้าม ใช้คำว่า ‘อำนาจ’ หรือ ‘ตำแหน่ง’ คุณจะให้นิยามมันว่าอะไรคะ Jakk?"
Jakk (หัวเราะเบาๆ ก่อนตอบ):
"โอ้โห.. คำถามนี้ดีมากเลยครับ... แต่ถ้าให้ผมตอบ ผมคิดว่าผู้นำคือ คนที่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาสามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้นำของตัวเองได้ ครับ"
พี่ช่า (ตาเป็นประกาย):
"หืมมม...นี่มันตรงกันข้ามกับนิยามแบบเดิมเลยนะคะ! งั้นเรามาลองเจาะลึกกันดีกว่า ว่าทำไมคุณถึงคิดแบบนี้ และมันเปลี่ยนแปลงชีวิตคุณไปยังไง?"
//ภาวะผู้นำที่ไม่ต้องการให้ใครตาม
กล้องซูมไปที่ Jakk ที่เริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง
Jakk:
"ผมว่าเราถูกสอนกันมานานมากว่า.. ผู้นำคือคนที่ต้องมีคนตาม แต่ผมกลับคิดว่าผู้นำที่แท้จริงคือคนที่ทำให้คนอื่นไม่ต้องตาม แต่สามารถ เดินไปด้วยกัน ได้"
พี่ช่า (ขยายความ):
"หมายถึงการกระจายศูนย์อำนาจเหรอคะ? หรือการทำให้ทีมทำงานได้เอง?"
Jakk:
"ส่วตัวผมคิดว่ามันมากกว่านั้นครับ... ผมกำลังพูดถึง ภาวะผู้นำที่หายไปได้"
กล้องแพนไปที่พี่ช่าที่เริ่มจะขมวดคิ้วแบบสนใจสุดๆ
พี่ช่า:
"เดี๋ยวนะคะ ภาวะผู้นำที่ หายไปได้ หมายความว่าไง?"
Jakk (ยิ้ม):
"พี่ลองคิดถึงวงดนตรีที่เล่นกันเป็นทีมครับ ถ้าเราเป็นมือกีตาร์และเราต้องเล่นทุกโน้ตเองทั้งหมด วงนั้นจะไม่ไปไหนเลย เพราะทุกคนจะรอฟังเรานำ
แต่ถ้าเราเป็นมือกีตาร์ที่เล่นแค่บางจังหวะ แล้วปล่อยให้คนอื่นเข้ามาเล่นแทนกันเอง การเล่นของวงจะไหลลื่นขึ้น... และสุดท้าย ต่อให้เราออกไปจากเวที เพลงก็ยังดำเนินต่อไปได้"
พี่ช่า (พึมพำเบาๆ):
"เหมือนวงแจ๊ส..."
Jakk (พยักหน้า):
"ใช่ครับ!.. ผู้นำที่ดีไม่ใช่คนที่กำหนดทุกอย่าง แต่เป็นคนที่สร้างเงื่อนไขให้ทีมสามารถเดินหน้าได้แม้ไม่มีเขา"
//จุดเปลี่ยนที่ทำให้ผมเลิก 'รอ' และเริ่ม 'สร้าง'
พี่ช่าหยิบประเด็นที่น่าสนใจขึ้นมาเล่นต่อ..
พี่ช่า:
"จากที่พี่เคยอ่านบทความของคุณมาเยอะมาก คุณพูดถึงช่วงเวลาที่คุณรู้สึกเหมือนกำลังรออะไรบางอย่างอยู่... จนถึงจุดหนึ่งที่คุณ 'เลิก' รอ แล้วลงมือสร้างเอง จุดเปลี่ยนนั้นคืออะไรคะ?"
Jakk (ยิ้มเล็กๆ ก่อนตอบ):
"ผมจำได้ดีเลยครับ วันนั้นผมนั่งอยู่คนเดียวในคาเฟ่แห่งหนึ่ง แล้วผมก็คิดขึ้นมาได้ว่า... ถ้าผมตายไปพรุ่งนี้ สิ่งที่ผมเคย 'ตั้งใจจะทำ' จะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง
ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังฝากชีวิตไว้กับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่า 'เดี๋ยววันหนึ่งโอกาสจะมา' แต่ความจริงคือ ไม่มีอะไรจะมาเองถ้าผมไม่สร้างมันขึ้นมา"
พี่ช่า (เสียงเบาลง):
"แล้วคุณทำยังไงต่อ?"
Jakk:
"ผมกลับบ้าน เปิดคอมพิวเตอร์ แล้วพิมพ์บทความแรกของตัวเองขึ้นมาโดยที่ยังไม่มีคนอ่าน ผมเริ่มจัด Meetup แรกโดยแทบที่ไม่มีใครสนใจมาสมัคร ผมเริ่มสร้างเครือข่ายของตัวเอง โดยที่ตอนแรกไม่มีใครสนใจ"
กล้องจับไปที่พี่ช่าที่กำลังฟังอย่างตั้งใจสุดๆ
Jakk (ยิ้ม):
"แต่พอเวลาผ่านไป... ผมพบว่าคนที่กล้าลงมือทำก่อน จะเป็นคนที่โอกาสวิ่งเข้าหาเสมอ"
//คุณต้องสร้างเป้าหมายที่ใหญ่กว่าตัวคุณเอง
พี่ช่าต่อยอดไปยังเรื่องของแรงจูงใจ..
พี่ช่า: "แล้วคุณให้แรงจูงใจทีมของคุณยังไงคะ? ไม่ใช่ทุกวันที่เราจะมีพลังเต็มร้อย"
Jakk (นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น): "ผมว่า… เราเข้าใจผิดเรื่องแรงจูงใจกันเยอะมากครับ... เรามักคิดว่าต้อง 'หา' แรงจูงใจ แต่ที่จริง ๆ แล้วเราไม่ต้องหา เราต้อง 'สร้าง' เป้าหมายที่ใหญ่กว่าตัวเราเอง"
พี่ช่า (ตาโต): "ขยายความหน่อยค่ะ?"
Jakk: "ลองนึกดูนะครับ ถ้าเป้าหมายของเราคือแค่ 'หาเงิน' เราจะหมดแรงจูงใจเร็วมาก แต่ถ้าเป้าหมายของเราคือ 'เปลี่ยนชีวิตคน 1 ล้านคน' หรือ 'สร้างบางสิ่งที่คนรุ่นต่อไปจะใช้ได้' เราจะไม่มีวันหมดพลัง"
กล้องแพนไปที่พี่ช่าที่กำลังครุ่นคิด..
Jakk (ยิ้ม): "เพราะตอนนั้น... แรงจูงใจมันจะไม่ได้มาจากแค่ 'ตัวเรา' อีกต่อไป แต่มันมาจาก 'ผลกระทบ' ที่เราสร้างขึ้น"
// "อย่าถามว่าคุณต้องการอะไร ถามว่าคุณสามารถให้อะไรกับโลกใบนี้ได้บ้าง"
พี่ช่าถามคำถามต่อมา..
พี่ช่า: "ก่อนเราจะปิดเบรคแรกของรายการ พี่อยากให้คุณ Jakk ช่วยฝากอะไรสักอย่างให้กับคนที่กำลังฟังอยู่ คนที่อาจจะยังลังเล ไม่แน่ใจว่าจะลงมือทำอะไรดี คุณอยากจะบอกอะไรพวกเขาคะ?"
กล้องจับไปที่ Jakk ที่นั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยพลัง
Jakk:
"อย่าถามตัวเองว่า 'ฉันต้องการอะไรจากชีวิต?'
แต่ถามตัวเองว่า 'ฉันสามารถให้โลกใบนี้อะไรได้บ้าง?'
เพราะคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้... ไม่ใช่คนที่ได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ แต่คือคนที่ให้ทุกอย่างที่เขามี"
เสียงเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่พี่ช่าจะปรบมือ พร้อมกับรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ
พี่ช่า (ยิ้ม): "สุดยอดค่ะ Jakk ขอบคุณนะคะที่มาแบ่งปันสิ่งดีๆ กับเรา ยังไม่จบนะคะ ยังมีอีก"
// "การสร้างทีมผ่าน ‘ความสนิทนอกงาน’ และจุดร่วมความสนใจ"
เสียงหัวเราะเบาๆ ลอยผ่านสตูดิโอเมื่อพี่ช่ายิงคำถามถัดไป
พี่ช่า: “Jakk คะ.. ฟังดูแล้วคุณเป็นคนที่เชื่อในการสร้างทีมแบบเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่การกำหนดโครงสร้างแข็งๆ แต่มันมีอะไรที่มากกว่านั้นไหม?
อย่างเรื่อง ‘ความสนิทนอกงาน’ ที่คุณพูดถึงหลายครั้ง มันสำคัญกับการเป็นผู้นำยังไง?”
Jakk (ยิ้มพร้อมพยักหน้า): “โห คำถามดีครับ..
ถ้าพูดตรงๆ ผมมองว่าการทำงานร่วมกันไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘หน้าที่’ แต่เป็นเรื่องของ ‘ความสัมพันธ์’ ด้วย ผมกับ อ.พิริยะ เป็นตัวอย่างหนึ่งเลย เราร่วมงานกันไม่ได้เพราะแค่มีเป้าหมายเดียวกัน แต่เพราะเราเริ่มสนิทกันมากในฐานะ ‘เพื่อน’ ก่อน”
// จาก ‘งาน’ สู่ ‘เพื่อนร่วมอุดมการณ์’
พี่ช่า (เลิกคิ้ว): “เพื่อนกันก่อนงาน? งั้นตอนแรกที่คุณสองคนเจอกัน คุยเรื่องอะไรคะ?”
Jakk (หัวเราะ): “ไม่ใช่เรื่องบิตคอยน์ครับ! เชื่อไหม? ตอนแรกสุดที่เราสองคนสนิทกัน เราคุยเรื่องเกม”
พี่ช่า (ตกใจเล็กน้อย): “เกม?! นี่คิดว่าจะเป็นเรื่องทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อะไรซะอีก”
Jakk (หัวเราะ): “ใช่ครับ.. เกมนี่แหละ
มันเป็นภาษากลางที่เราทั้งคู่เชื่อมถึงกันได้ คือการจะสร้างทีมที่แข็งแรง ผมคิดว่ามันเริ่มจากการ ‘เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร’ และอะไรที่ทำให้เขาตื่นเต้น มันทำให้เกิดความไว้ใจกันแบบที่โครงสร้างองค์กรทั่วไปอาจไม่มี”
// พลังของความสัมพันธ์นอกกรอบงาน
พี่ช่า: “แสดงว่าคุณมองว่าการสร้างทีมที่ดีต้องออกไปนอก ‘กรอบงาน’ บ้าง?”
Jakk (พยักหน้า): “ถูกต้องเลยครับ.. ผู้นำที่ดีไม่ได้แค่กำหนดเป้าหมายให้ทีมทำตาม แต่ต้องเข้าใจ ‘คน’ ในทีมด้วย
คนเรามักจะเปิดใจกันตอนที่อยู่ในบรรยากาศที่ไม่เป็นทางการ เช่น ผมกับน้อง ๆ ทีมงาน บางทีเราเล่นเกมด้วยกัน เราไปกินข้าวกัน เราแชร์เรื่องชีวิตกัน นั่นแหละครับที่สร้าง ‘ความสนิทใจ’ ที่มากกว่าการทำงาน”
พี่ช่า: “ถ้าสนิทกันมากขนาดนั้น ไม่กลัวเสียสมดุลเหรอคะ? เพราะบางคนอาจจะรู้สึกว่า ถ้าผู้นำกับลูกทีมสนิทกันเกินไป อาจเกิดปัญหาด้านการตัดสินใจหรือความเป็นมืออาชีพ?”
Jakk (ยิ้ม): “เป็นคำถามที่ดีมากครับ..
ผมเองก็เคยคิดเรื่องนี้ ตอนแรกก็กังวลนะ แต่สุดท้ายผมพบว่า ‘ความสนิท’ ไม่ได้ทำให้เสียความเป็นมืออาชีพ
ตรงกันข้ามเลยครับ.. มันทำให้ ‘การสื่อสาร’ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทีมที่สนิทกันจริงๆ จะสามารถพูดตรงๆ กันได้ เวลามีปัญหา เราจะแก้ไขได้เร็วขึ้น เพราะเราไม่ได้กลัวว่าจะ ‘ทำให้ใครไม่พอใจ’ แต่เราคิดว่า ‘เราจะช่วยกันแก้ปัญหาได้ยังไง’ มากกว่า”
// แนวคิด "Value for Value" และการสร้างเครือข่ายผู้นำ
พี่ช่า: “พี่เคยได้ยินคุณพูดถึงคำว่า Value for Value มันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง?”
Jakk (ตาวาวขึ้น): “โอ้! นี่เป็นแนวคิดที่สำคัญมากครับ Value for Value คือการที่เราสร้างคุณค่าให้คนอื่นก่อน โดยไม่ต้องคาดหวังว่าผลตอบแทนจะมาในรูปแบบไหน ผมมองว่าการสร้างทีมก็ต้องใช้แนวคิดนี้”
พี่ช่า (พยักหน้า): “ขยายความหน่อยค่ะ?”
Jakk: “สมมติว่าเราอยากให้ทีมมีความสามัคคี เราต้อง ‘ให้’ ก่อน เช่น ให้ความรู้ ให้โอกาส ให้การสนับสนุน แล้ววันหนึ่ง ทีมจะ ‘ให้กลับ’ เองโดยธรรมชาติ
เช่นกันกับการสร้างความสัมพันธ์ ถ้าเราอยากให้ทีมเชื่อใจเรา เราก็ต้องเป็นคนที่เชื่อใจพวกเขาก่อน เราต้องลงทุนในความสัมพันธ์แบบระยะยาว ไม่ใช่แค่หวังผลลัพธ์ระยะสั้น”
พี่ช่า: “แล้วผลลัพธ์ที่คุณเห็นจากแนวคิดนี้ล่ะคะ?”
Jakk: “ผมเห็นว่าคนในทีมของผมลุกขึ้นมารับผิดชอบมากขึ้น กล้าที่จะเป็นผู้นำในแบบของตัวเอง เพราะพวกเขารู้สึกว่า ‘นี่เป็นทีมของเขาด้วย’ ไม่ใช่แค่ ‘ทำงานให้ Jakk ทำงานให้ อ.พิริยะ’ แต่เป็น ‘สร้างสิ่งที่เขาเชื่อไปพร้อมกับ Right Shift’”
// จากทีมงานสู่เครือข่ายที่ยั่งยืน (Decentralized Leadership)
พี่ช่า: “แล้วสุดท้ายคุณทำให้แนวคิดนี้กลายเป็น ‘ระบบ’ ที่อยู่ได้โดยไม่ต้องมีคุณได้ยังไง?”
Jakk: “ผมพยายามกระจายอำนาจครับ ผมเชื่อว่า.. ผู้นำที่แท้จริงไม่ใช่คนที่ ‘ต้องมีอำนาจตลอดเวลา’ แต่คือคนที่สามารถสร้างระบบที่อยู่รอดได้แม้ตัวเองจะไม่อยู่ ผมเรียกมันว่า Decentralized Leadership”
พี่ช่า (ยิ้มกว้าง): “นี่มัน Spontaneous Order Leadership ที่คุณพูดถึงก่อนหน้านี้ใช่ไหม?”
Jakk (พยักหน้า): “ใช่เลยครับ ผู้นำไม่ควรเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ถ้าระบบต้องพึ่งพาผู้นำคนเดียว มันไม่มีวันยั่งยืน ผมเชื่อในการสร้างเครือข่ายที่ ‘กระจายศูนย์’ ไม่ใช่การสร้างองค์กรที่พึ่งพาผู้นำคนเดียว นั่นแหละคือเป้าหมายของผม”
// ผู้นำที่แท้จริงสร้าง ‘พื้นที่’ มากกว่าสร้าง ‘อำนาจ’
พี่ช่า (ยิ้ม): “สรุปแล้ว ฟังดูเหมือนว่าการเป็นผู้นำที่ดีไม่ใช่แค่การ ‘ทำให้คนอื่นทำตาม’ แต่เป็นการ ‘สร้างพื้นที่ให้คนอื่นลุกขึ้นมาเป็นผู้นำได้เอง’”
Jakk (ยิ้มตอบ): “ถูกต้องเลยครับ ผู้นำที่แท้จริงไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งสูงสุด แต่เป็นคนที่ทำให้คนรอบตัวมีโอกาสเติบโตขึ้นมาเป็นผู้นำในแบบของตัวเอง”
พี่ช่า (ยิ้มกว้าง): “วันนี้เราได้เห็นมุมมองของ Jakk ด้านภาวะผู้นำ ขอบคุณ Jakk มากๆ สำหรับบทสนทนา
จะเห็นได้เลยว่าคุณ Jakk ไม่ได้มองภาวะผู้นำเป็นเรื่องของอำนาจหรือการควบคุม แต่เป็นเรื่องของการสร้าง ‘สภาพแวดล้อม’ ให้ผู้อื่นเติบโต ผู้นำที่แท้จริงต้องสามารถปล่อยมือ และให้คนอื่นลุกขึ้นมาเป็นผู้นำได้เอง นี่คือหลักการที่ทำให้เขาสามารถสร้างชุมชนและเครือข่ายที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง”
// การสร้างวัฒนธรรมองค์กร และการให้แรงจูงใจในทีม
บรรยากาศในสตูดิโอเริ่มเข้มข้นขึ้น เมื่อพี่ช่าเดินหน้าขยี้ประเด็นสำคัญเรื่องภาวะผู้นำในมิติของการสร้างวัฒนธรรมองค์กรและการให้แรงจูงใจแก่ทีม
พี่ช่า (เอนตัวไปข้างหน้า สนใจสุดๆ): “Jakk คะ ฟังดูเหมือนว่าคุณไม่ได้มองผู้นำเป็นแค่คนที่ ‘ตัดสินใจ’ แต่เป็นคนที่สร้าง ‘วัฒนธรรม’ ให้ทีมเดินไปด้วยกัน วัฒนธรรมองค์กรที่ดีในมุมมองของคุณคืออะไรคะ?”
Jakk (ยิ้มก่อนตอบ): “โอ้.. นี่เป็นประเด็นที่ผมให้ความสำคัญมากเลยครับ
ผมมองว่าวัฒนธรรมองค์กรไม่ใช่แค่ ‘กฎระเบียบ’ หรือ ‘ค่านิยมที่ติดอยู่บนผนัง’ แต่มันคือ ‘พฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันของทีม’ ถ้าอยากให้ทีมทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำต้องสร้าง ‘สภาพแวดล้อม’ ที่เอื้อให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นเอง”
พี่ช่า (พยักหน้า): “แล้วคุณสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีขึ้นมาได้ยังไง?”
Jakk: “มี 3 อย่างที่ผมให้ความสำคัญครับ คือ ‘Trust, Ownership, และ Growth’”
Trust คือ ความไว้วางใจที่มาก่อนทุกอย่าง
Jakk: “ความไว้วางใจเป็นพื้นฐานของทุกทีมครับ ถ้าคนในองค์กรไม่เชื่อใจกัน ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ทีมจะเดินไปข้างหน้าไม่ได้เลย
ผมเลยตั้งหลักไว้ว่าทุกคนในทีมต้องกล้าพูด กล้าถกเถียงกันแบบตรงไปตรงมา โดยไม่ต้องกลัวว่าความเห็นของตัวเองจะถูกมองว่า ‘โง่’ หรือ ‘ไม่เข้าท่า’ เพราะบางทีไอเดียที่ดูแปลกที่สุดตอนแรก อาจกลายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนเกมได้”
พี่ช่า: “แต่ความไว้วางใจไม่ได้เกิดขึ้นเอง คุณทำยังไงให้ทีมรู้สึกว่าพวกเขาสามารถไว้ใจคุณได้?”
Jakk (ยิ้ม): “ผู้นำต้อง ‘ทำให้ดู’ ก่อนครับ ถ้าผู้นำยอมรับความผิดพลาดของตัวเองได้ ไม่พยายามซ่อนหรือกลัวเสียหน้า คนในทีมก็จะกล้าพูด กล้ารับผิด กล้าปรับปรุงตัวเอง
ผมเชื่อว่าคำว่า ‘ผมไม่รู้’ หรือ ‘ผมผิด’ จากปากผู้นำเป็นสิ่งที่สร้างความไว้วางใจได้ดีที่สุด”
// Ownership คือ การทำให้ทีมรู้สึกเป็นเจ้าของเป้าหมาย
พี่ช่า: “ข้อนี้น่าสนใจ! ทำยังไงให้คนในทีมรู้สึกว่า ‘นี่เป็นของฉัน’ ไม่ใช่แค่ ‘งานของบริษัท’?”
Jakk (เน้นเสียง): “เราต้องให้เขามี ‘สิทธิ์ในการตัดสินใจ’ ครับ
ผมเคยเห็นทีมที่ทำงานไปวันๆ เพราะพวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่พวกเขาทำ ‘ไม่ใช่ของตัวเอง’ คือแค่ทำตามคำสั่ง พอหมดเวลางานก็จบกันไป
แต่ถ้าเราให้พวกเขาตัดสินใจเอง ให้พวกเขารู้สึกว่า ‘นี่เป็นโปรเจกต์ของเรา’ คนจะเริ่มใส่ใจและรู้สึกเป็นเจ้าของงานของตัวเอง”
พี่ช่า (เสริม): “หมายถึงให้พวกเขามีอิสระในการคิดและเลือกเส้นทางเอง?”
Jakk (พยักหน้า): “ใช่เลยครับ! ถ้าทำได้ คนจะเริ่มมี Intrinsic Motivation หรือแรงจูงใจที่มาจากภายใน ไม่ต้องมีเจ้านายมาคอยบอกให้ทำ พวกเขาจะทำเอง เพราะเขาเชื่อในสิ่งที่ทำจริงๆ”
// Growth คือ การพัฒนาทั้งทีม ไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ระยะสั้น
พี่ช่า: “สุดท้ายแล้วคุณต้องการให้ทีมของคุณ ‘เติบโต’ ยังไง?”
Jakk: “ผมมีหลักคิดง่ายๆ ครับ คือ ‘ทุกคนในทีมต้องเก่งขึ้นกว่าปีที่แล้ว’
ถ้าผู้นำแค่เน้นเป้าหมายขององค์กรอย่างเดียว แต่ไม่สนใจว่าแต่ละคนจะเติบโตขึ้นหรือไม่ มันไม่ใช่ภาวะผู้นำที่แท้จริง
ทีมที่ดีต้องเป็นทีมที่คนในนั้น ‘กลายเป็นคนที่เก่งขึ้น’ ไม่ใช่แค่ทำงานได้ดีขึ้น”
พี่ช่า: “แสดงว่าคุณให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของคนในทีม มากกว่าการได้เป้าหมายระยะสั้น?”
Jakk: “ใช่ครับ! ผมสนับสนุนให้คนในทีมเรียนรู้ตลอดเวลา บางครั้งการให้คนหยุดทำงานสักพักเพื่อไปศึกษาอะไรใหม่ๆ อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการเร่งให้ทำงานตลอดเวลาด้วยซ้ำ”
// การให้แรงจูงใจและแรงบันดาลใจในทีม
พี่ช่า (หัวเราะ): “พูดถึงแรงจูงใจ ทีนี้อยากรู้ว่าคุณ ‘ปลุกพลัง’ คนในทีมยังไง? ไม่ใช่ทุกวันที่ทุกคนจะมีแรงฮึดขึ้นมาทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่นะคะ”
Jakk (ยิ้ม): “ใช่เลยครับ ผมคิดว่าแรงจูงใจมีสองแบบ คือ External Motivation (แรงจูงใจภายนอก) กับ Intrinsic Motivation (แรงจูงใจภายใน) เราต้องรู้ว่าแต่ละคนตอบสนองกับอะไร”
พี่ช่า (พยักหน้า): “ขยายความหน่อยค่ะ?”
Jakk: “External Motivation ก็คือพวกโบนัส การยกย่อง การเลื่อนตำแหน่ง อะไรแบบนี้ ซึ่งมันจำเป็นนะครับ แต่ถ้าองค์กรพึ่งแรงจูงใจภายนอกอย่างเดียว คนจะทำเพราะ ‘อยากได้รางวัล’ ไม่ใช่เพราะ ‘รักในสิ่งที่ทำ’
ผมเลยให้ความสำคัญกับ Intrinsic Motivation มากกว่า นั่นคือการทำให้คน ‘อิน’ กับสิ่งที่เขาทำอยู่”
// เปลี่ยน "งาน" ให้กลายเป็น "ภารกิจ" ที่มีความหมาย
พี่ช่า: “แล้วทำยังไงให้คน ‘อิน’ กับสิ่งที่เขาทำหรอคะ?”
Jakk: “เราต้องทำให้พวกเขาเห็นว่า ‘งานที่พวกเขาทำมันส่งผลกระทบต่อสังคมหรือโลกยังไง’ ผมเชื่อว่าคนเราไม่ได้ต้องการแค่เงินเดือนสูงๆ แต่เราต้องการรู้ว่าสิ่งที่เราทำมันมีความหมาย”
พี่ช่า (ตาวาว): “โห! นี่มันเป็นเรื่องของ Purpose-driven Leadership แล้วนะคะ!”
Jakk (หัวเราะ): “ใช่เลยครับ ผมพยายามเปลี่ยน ‘งาน’ ให้กลายเป็น ‘ภารกิจ’
ผมบอกทีมเสมอว่า ‘เราไม่ได้แค่ทำคอนเทนต์ เรากำลังเปลี่ยนความคิดคน เรากำลังสร้างสิ่งที่โลกต้องการ’ ถ้าคุณทำให้คนรู้สึกว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แรงจูงใจของพวกเขาจะมาจากข้างในโดยอัตโนมัติ”
>> สร้างเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ แล้วให้ทีมรู้สึกว่าพวกเขามีบทบาทสำคัญ
เสียงดนตรีเบาๆ คลออยู่เบื้องหลัง พี่ช่าหยุดนิ่งสักครู่ ก่อนจะหันมามอง Jakk ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ
พี่ช่า: “Jakk วันนี้เราได้คุยกันเยอะมาก เรื่องภาวะผู้นำ การสร้างวัฒนธรรมองค์กร การสร้างแรงบันดาลใจให้ทีม…
พี่เชื่อว่าหลายคนที่ดูอยู่ คงกำลังคิดว่าจะเอาแนวคิดเหล่านี้ไปใช้ยังไงในชีวิตของตัวเอง งั้นก่อนปิดรายการ… คุณอยากฝากอะไรให้กับคนที่กำลังสร้างอนาคตของตัวเอง?”
กล้องซูมไปที่ Jakk เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะสูดหายใจลึก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นแต่เต็มไปด้วยพลัง…
// "ไม่มีใครจะมาเปลี่ยนชีวิตคุณได้ นอกจากตัวคุณเอง"
Jakk:
"ผมอยากให้ทุกคนที่ฟังอยู่ตอนนี้… ลองหลับตาสัก 10 วินาที แล้วคิดถึงตัวเองในอีก 5 ปีข้างหน้า
ตัวคุณที่ประสบความสำเร็จ ตัวคุณที่ทำในสิ่งที่คุณอยากทำ ตัวคุณที่มีชีวิตที่คุณใฝ่ฝันมาตลอด
คุณเห็นภาพนั้นชัดเจนแค่ไหน? คุณรู้สึกยังไงกับตัวเองในวันนั้น?
ตอนนี้ลืมตา… แล้วถามตัวเองว่า
'ถ้าผมไม่ทำอะไรเลยในวันนี้ ภาพนั้นมันจะเกิดขึ้นจริงได้ยังไง?'
โลกนี้ไม่มีใครจะมามอบอนาคตให้คุณ ไม่มีใครจะมาลากคุณขึ้นจากจุดที่คุณอยู่ตอนนี้ มีแต่ตัวคุณเองที่จะต้อง ลุกขึ้นมา และ เดินไปหามันเอง
อย่ารอให้โอกาสมาถึง เพราะโอกาสไม่ได้มีไว้ให้รอ มันมีไว้ให้สร้าง
อย่ารอให้ใครอนุญาต เพราะคุณไม่ต้องการการอนุญาตจากใครเพื่อเริ่มต้นทำในสิ่งที่คุณอยากทำ
อย่ารอให้คุณพร้อม เพราะความพร้อมไม่มีวันมาถึง คนที่รอให้ตัวเองพร้อมคือคนที่ไม่ได้เริ่มต้นอะไรเลย
คุณอาจจะกลัว… ทุกคนกลัวเวลาต้องเริ่มต้นใหม่ แต่ความกลัวไม่ใช่สัญญาณให้คุณถอยหลัง มันคือสัญญาณบอกว่าคุณกำลังก้าวเข้าสู่บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่คุณเคยเป็น
ถ้าคุณอยากเป็นผู้นำ เริ่มจากการเป็นผู้นำของตัวเอง
ถ้าคุณอยากเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ถ้าคุณอยากเห็นโลกที่ดีกว่า เริ่มจากการทำให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น
ทุกความสำเร็จที่คุณเห็นในวันนี้… มันไม่ได้เกิดจากคนที่นั่งรอ แต่มันเกิดจากคนที่ลุกขึ้นมา สร้าง
และสุดท้าย…
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ไม่ว่าคุณจะมาจากไหน คุณสามารถสร้างอนาคตของคุณเองได้เสมอ
คุณแค่ต้อง เลือก ว่าคุณจะเป็นคนที่ ‘ทำ’ หรือเป็นแค่คนที่ ‘ฝัน’"
เสียงในห้องส่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่พี่ช่าจะปรบมือเบาๆ ตามมาด้วยทีมงานและผู้ชมที่อยู่ในสตูดิโอ
พี่ช่า (ตาเป็นประกาย): “นี่แหละค่ะ! นี่คือคำพูดของคนที่ลงมือทำจริง! Jakk ขอบคุณมากสำหรับวันนี้นะคะ พี่ไม่ต้องขมวดเองแล้ว 555”
Jakk (ยิ้ม): “ขอบคุณพี่ช่า และขอบคุณทุกคนที่ฟังด้วยครับ ขอให้ทุกคนกล้าที่จะลุกขึ้นมาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง”
เสียงดนตรีธีมของ Neo Wealth Club ดังขึ้นเบาๆ เป็นสัญญาณปิดรายการ
พี่ช่าหันมามองกล้อง พร้อมส่งข้อความสุดท้ายให้ผู้ชม
พี่ช่า:
“นี่อาจไม่ใช่แค่บทสนทนา แต่นี่คือคำท้าทายให้คุณลุกขึ้นมาสร้างชีวิตที่คุณอยากมี
คุณไม่ต้องเป็นคนที่ฉลาดที่สุด คุณไม่ต้องรอให้ใครมาให้โอกาสคุณ แต่คุณต้องเป็นคนที่ ลงมือทำ
เพราะไม่มีใครจะมาเปลี่ยนชีวิตคุณได้.. นอกจากตัวคุณเอง
นี่คือ Neo Wealth Club และเราจะเจอกันใหม่ในเอพีหน้า สวัสดีค่ะ!”
จอค่อยๆ มืดลง พร้อมเสียงปรบมือจากทีมงานและแขกรับเชิญ เป็นการปิดฉากอีพีของ Neo Wealth Club
#NeoWealthClub #leadership #Siamtr