piriya on Nostr: ความตาย ภาษี และ 21ล้าน ...
ความตาย ภาษี และ 21ล้าน
มีคำพูดที่พูดต่อกันมาเป็นเวลานาน ว่าโลกใบนี้มีเพียงสองสิ่งที่แน่นอน นั่นคือความตาย และ ภาษี
ผมเคยตั้งคำถามว่า แล้วเงินเฟ้อล่ะ การที่ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นจากกระบวนการผลิตสินเชื่อทำให้ข้าวของทุกอย่างแพงขึ้นก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งแน่นอนอีกสิ่งหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา หลังจากการก่อตั้ง Federal Reserve หรือเปล่านะ
แต่เมื่อคิดดูดี ๆ เงินเฟ้อก็คือภาษีรูปแบบหนึ่งนั่นเอง
เมื่อรัฐบาลต้องการใช้เงินเพื่อการใดก็ตาม รัฐบาลมีวิธีหาเงินหลัก ๆ อยู่สองวิธี ได้แก่การเก็บภาษี หรือการขายพันธบัตร แต่ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลได้ค้นพบวิธีใหม่ นั่นคือการนำเอาเงินในอนาคตมาเป็นสินทรัพย์ในการผลิตเงินในปัจจุบัน สิ่งนี้ทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกามีอำนาจผลิตเงินขึ้นมาจากอากาศได้อย่างไม่จำกัด
หลังจากการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีทางการบัญชีอันทรงพลานุภาพนี้ รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องเก็บภาษี หรือขายพันธบัตรให้กับประชาชนอีกต่อไป รัฐจะทำสงครามกับใคร ก็พิมพ์เงินเอ รัฐจากสร้างทางหลวงไปไหน ก็พิมพ์เงินเอา รัฐจะสร้างบ้านให้คนจน ก็พิมพ์เงินเอา
ฟังดูเหมือนประชาชนจะไม่ได้เสียหายอะไรจากการกระทำเช่นนี้ เพราะเงินของพวกเขายังอยู่ดี
แต่ไม่ใช่
เงินที่ถูกผลิตออกมาใหม่ เมื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ก็จะนำมาสู่อำนาจในการจับจ่ายและความต้องการซื้อสินค้าที่มาแข่งขันกันกับความต้องการเดิมของตลาด ส่งผลให้เกิดการยกระดับราคาสินค้าขึ้นโดยเฉลี่ย
ผลก็คือเงินของทุกคน ซื้อของได้น้อยลง
สุดท้ายแล้ว การพิมพ์เงิน ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการเก็บภาษีนั่นเอง
แต่ต่างกันที่ภาษีนั้น ถ้าเก็บมากเกินไป ประชาชนก็อาจต่อต้าน ไม่เสียภาษี หรือลุกขึ้นปฏิวัติรัฐบาลได้นั่นเอง แม้การขึ้นอัตราภาษีและการสอดแทรกกฎหมายภาษีวิปลาศรูปแบบใหม่ ๆ มาตลอดเกือบหนึ่งร้อยปี จะประสบความสำเร็จในการต้มกบ ให้ประชาชนทั่วโลกจำเป็นต้องแบ่งส่วนแบ่งของผลกำไรของพวกเขาตั้งแต่ 30 ไปจนถึงมากกว่า 60% ให้กับรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่พวกเขาต้องแบกรับความเสี่ยงทั้งหมดเต็มจำนวน แต่มันก็ทำได้เพียงช้า ๆ
แต่การพิมพ์เงินสามารถสร้างเงินและอำนาจการจับจ่ายให้กับรัฐที่มีแต่ความต้องการใช้จ่ายแต่ไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้จ่ายได้อย่างไม่จำกัด
การเก็บภาษีผ่านเงินเฟ้อ ทำให้เงินในกระเป๋าของประชาชนทุกคน ถูกสูบเอามูลค่าออกไปทีละน้อย แต่ต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 50 ปี
ในวันนี้เงินเก็บจากห้าสิบกว่าปีที่แล้ว สูญเสียอำนาจการจับจ่ายไปแล้วกว่า 95% และนี่คือภาษีที่โหดร้ายที่สุด ที่ทำร้ายประชาชนไม่เลือกหน้า ลงโทษประชาชนผู้มีวินัยทางการเงิน และคอยให้ท้ายผู้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ถึงเวลาแล้วที่เราจะมีสิ่งที่แน่นอนเพิ่มอีกสิ่ง
ด้วยบิตคอยน์ที่มีจำนวนจำกัด รัฐบาลจะไม่สามารถเสกเงินออกจากกระเป๋าของประชาชนได้อีกต่อไป เงินที่มีนโยบายการเงินมั่นคงแข็งแกร่งไม่มีมนุษย์หน้าไหนจะเปลี่ยนแปลงได้ จะพาสมดุลย์กลับมาสู่สังคมมนุษย์อีกครั้ง ด้วยการทำให้การออมเป็นสิ่งที่สามารถทำได้อีกครั้ง ด้วยการเปลี่ยนเงินลงทุนจากหนี้ที่เสกขึ้นมาในบัญชี เป็นเงินออมที่ผ่านการสั่งสมมาเป็นเวลานาน
ความตาย ภาษี และ 21 ล้าน
มีคำพูดที่พูดต่อกันมาเป็นเวลานาน ว่าโลกใบนี้มีเพียงสองสิ่งที่แน่นอน นั่นคือความตาย และ ภาษี
ผมเคยตั้งคำถามว่า แล้วเงินเฟ้อล่ะ การที่ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นจากกระบวนการผลิตสินเชื่อทำให้ข้าวของทุกอย่างแพงขึ้นก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งแน่นอนอีกสิ่งหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา หลังจากการก่อตั้ง Federal Reserve หรือเปล่านะ
แต่เมื่อคิดดูดี ๆ เงินเฟ้อก็คือภาษีรูปแบบหนึ่งนั่นเอง
เมื่อรัฐบาลต้องการใช้เงินเพื่อการใดก็ตาม รัฐบาลมีวิธีหาเงินหลัก ๆ อยู่สองวิธี ได้แก่การเก็บภาษี หรือการขายพันธบัตร แต่ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลได้ค้นพบวิธีใหม่ นั่นคือการนำเอาเงินในอนาคตมาเป็นสินทรัพย์ในการผลิตเงินในปัจจุบัน สิ่งนี้ทำให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกามีอำนาจผลิตเงินขึ้นมาจากอากาศได้อย่างไม่จำกัด
หลังจากการประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีทางการบัญชีอันทรงพลานุภาพนี้ รัฐบาลก็ไม่จำเป็นต้องเก็บภาษี หรือขายพันธบัตรให้กับประชาชนอีกต่อไป รัฐจะทำสงครามกับใคร ก็พิมพ์เงินเอ รัฐจากสร้างทางหลวงไปไหน ก็พิมพ์เงินเอา รัฐจะสร้างบ้านให้คนจน ก็พิมพ์เงินเอา
ฟังดูเหมือนประชาชนจะไม่ได้เสียหายอะไรจากการกระทำเช่นนี้ เพราะเงินของพวกเขายังอยู่ดี
แต่ไม่ใช่
เงินที่ถูกผลิตออกมาใหม่ เมื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ก็จะนำมาสู่อำนาจในการจับจ่ายและความต้องการซื้อสินค้าที่มาแข่งขันกันกับความต้องการเดิมของตลาด ส่งผลให้เกิดการยกระดับราคาสินค้าขึ้นโดยเฉลี่ย
ผลก็คือเงินของทุกคน ซื้อของได้น้อยลง
สุดท้ายแล้ว การพิมพ์เงิน ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการเก็บภาษีนั่นเอง
แต่ต่างกันที่ภาษีนั้น ถ้าเก็บมากเกินไป ประชาชนก็อาจต่อต้าน ไม่เสียภาษี หรือลุกขึ้นปฏิวัติรัฐบาลได้นั่นเอง แม้การขึ้นอัตราภาษีและการสอดแทรกกฎหมายภาษีวิปลาศรูปแบบใหม่ ๆ มาตลอดเกือบหนึ่งร้อยปี จะประสบความสำเร็จในการต้มกบ ให้ประชาชนทั่วโลกจำเป็นต้องแบ่งส่วนแบ่งของผลกำไรของพวกเขาตั้งแต่ 30 ไปจนถึงมากกว่า 60% ให้กับรัฐบาล ทั้ง ๆ ที่พวกเขาต้องแบกรับความเสี่ยงทั้งหมดเต็มจำนวน แต่มันก็ทำได้เพียงช้า ๆ
แต่การพิมพ์เงินสามารถสร้างเงินและอำนาจการจับจ่ายให้กับรัฐที่มีแต่ความต้องการใช้จ่ายแต่ไม่มีปัญญาหาเงินมาใช้จ่ายได้อย่างไม่จำกัด
การเก็บภาษีผ่านเงินเฟ้อ ทำให้เงินในกระเป๋าของประชาชนทุกคน ถูกสูบเอามูลค่าออกไปทีละน้อย แต่ต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 50 ปี
ในวันนี้เงินเก็บจากห้าสิบกว่าปีที่แล้ว สูญเสียอำนาจการจับจ่ายไปแล้วกว่า 95% และนี่คือภาษีที่โหดร้ายที่สุด ที่ทำร้ายประชาชนไม่เลือกหน้า ลงโทษประชาชนผู้มีวินัยทางการเงิน และคอยให้ท้ายผู้ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ถึงเวลาแล้วที่เราจะมีสิ่งที่แน่นอนเพิ่มอีกสิ่ง
ด้วยบิตคอยน์ที่มีจำนวนจำกัด รัฐบาลจะไม่สามารถเสกเงินออกจากกระเป๋าของประชาชนได้อีกต่อไป เงินที่มีนโยบายการเงินมั่นคงแข็งแกร่งไม่มีมนุษย์หน้าไหนจะเปลี่ยนแปลงได้ จะพาสมดุลย์กลับมาสู่สังคมมนุษย์อีกครั้ง ด้วยการทำให้การออมเป็นสิ่งที่สามารถทำได้อีกครั้ง ด้วยการเปลี่ยนเงินลงทุนจากหนี้ที่เสกขึ้นมาในบัญชี เป็นเงินออมที่ผ่านการสั่งสมมาเป็นเวลานาน
ความตาย ภาษี และ 21 ล้าน
