Pruk on Nostr: กว่าจะเป็นบิตคอยน์ – 4 ...
กว่าจะเป็นบิตคอยน์ – 4 ทศวรรษแห่งการพัฒนาระบบเงินดิจิทัลไร้ศูนย์กลาง
แม้บิตคอยน์จะถือกำเนิดมากว่า 16 ปีแล้ว จากผลงาน white paper ของ Satoshi Nakamoto ในวันที่ 31 ตุลาคม ปี 2008…
แต่แท้จริงแล้ว บิตคอยน์ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หากเป็นผลลัพธ์ของการวิจัยและพัฒนาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาการเข้ารหัสที่สั่งสมมากว่า 40 ปี
ในวันนี้ ผมจะพาทุกท่านย้อนรอยเส้นทางสู่บิตคอยน์กันครับ
____
ทศวรรษที่ 1970s: ยุคบุกเบิกการเข้ารหัสการสื่อสาร
1974: Vint Cerf และ Bob Kahn ได้พัฒนาโปรโตคอล TCP/IP ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต
1976: Whitfield Diffie และ Martin Hellman ได้นำเสนอแนวคิดการเข้ารหัสแบบกุญแจสาธารณะ (Public-key cryptography)
1978: Ron Rivest, Adi Shamir และ Leonard Adleman ได้พัฒนาระบบการเข้ารหัส RSA ซึ่งเป็นหนึ่งในอัลกอริธึมการเข้ารหัสแบบกุญแจสาธารณะที่ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลาย
.
ทษวรรษที่ 1980s: การพัฒนาการเข้ารหัสสู่แนวคิดเงินดิจิทัล
1980: Ralph Merkle ได้นำเสนอแนวคิด Merkle Tree ซึ่งเป็นโครงสร้างข้อมูลที่ช่วยในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลในระบบกระจายศูนย์ แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ใน Bitcoin เพื่อยืนยันความถูกต้องของบล็อกธุรกรรม
1982: Leslie Lamport, Robert Shostak และ Marshall Pease ได้นำเสนอปัญหานายพลไบแซนไทน์ (Byzantine Generals Problem) ซึ่งอธิบายถึงความยากลำบากในการบรรลุความสอดคล้องในระบบไร้ศูนย์กลาง
1983: David Chaum ได้นำเสนอแนวคิดลายเซ็นปกปิด (Blind Signatures) ซึ่งช่วยให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่สามารถติดตามได้ แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ (eCash)
1985: การเข้ารหัสแบบเส้นโค้งวงรี (Elliptic Curve Cryptography) ถูกพัฒนาและนำมาใช้ในการสร้างกุญแจเข้ารหัสที่มีความปลอดภัยสูงและขนาดเล็ก ซึ่งถูกนำมาใช้ในระบบการเข้ารหัสอย่าง Elliptic Curve Digital Signature Algorithm (ECDSA) ของ Bitcoin
1988: Timothy C. May ได้เขียน "The Crypto Anarchist Manifesto" ซึ่งทำนายถึงการใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสเพื่อสร้างสังคมที่ผู้คนสามารถสื่อสารและทำธุรกรรมได้อย่างไม่ระบุตัวตนและปลอดภัย แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนา Bitcoin และการเคลื่อนไหวของ Cypherpunks
1989: David Chaum ได้ก่อตั้งบริษัท DigiCash เพื่อทำให้แนวคิด eCash ของเขาเป็นจริง eCash เป็นระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีลายเซ็นปกปิด (Blind Signatures) เพื่อให้การทำธุรกรรมไม่สามารถติดตามได้
.
ทษวรรษที่ 1990s: การเกิดขึ้นของ Cypherpunk และระบบเงินดิจิทัลยุคแรก
1991: Stuart Haber และ W. Scott Stornetta ได้นำเสนอวิธีการประทับเวลาบนเอกสารดิจิทัลเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล
1991: Phil Zimmermann ได้พัฒนาและเปิดตัว Pretty Good Privacy (PGP) ซึ่งเป็นโปรแกรมเข้ารหัสอีเมลที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารอย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัว
1992: Eric Hughes, Timothy C. May และ John Gilmore ได้ก่อตั้งกลุ่ม Cypherpunks ซึ่งเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่สนับสนุนการใช้การเข้ารหัสเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในโลกดิจิทัล กลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin
1993: Eric Hughes ได้เขียน "A Cypherpunk's Manifesto" ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของความเป็นส่วนตัวและการใช้การเข้ารหัสเพื่อปกป้องเสรีภาพของบุคคลใน
1994: CyberCash เปิดตัวในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกระบบการชำระเงินออนไลน์ โดยมีการนำเสนอเทคโนโลยีการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับระบบการชำระเงินดิจิทัลในอนาคต
1997: Adam Back ได้พัฒนา Hashcash ซึ่งเป็นระบบ Proof of Work ที่ใช้ในการป้องกันสแปมและการโจมตีแบบ DoS แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ในกระบวนการขุด Bitcoin
1997: Nick Szabo เสนอแนวคิดสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ที่ช่วยให้ธุรกรรมอัตโนมัติปลอดภัยและเชื่อถือได้
1998: Wei Dai ได้นำเสนอแนวคิด B-money ซึ่งเป็นระบบเงินดิจิทัลแบบไร้ศูนย์กลางที่ไม่ต้องการตัวกลาง แนวคิดนี้มีอิทธิพลต่อการพัฒนา Bitcoin
1998: Nick Szabo ได้เสนอแนวคิด Bit Gold ซึ่งเป็นระบบเงินดิจิทัลที่ใช้การพิสูจน์การทำงาน (Proof of Work) และการประทับเวลา แนวคิดนี้ถือเป็นบรรพบุรุษของ Bitcoin
.
ทษวรรษที่ 2000s: พัฒนาการก่อนการเปิดตัวบิตคอยน์
2001: Bram Cohen สร้าง BitTorrent ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบไร้ศูนย์กลางที่มีหลักการใกล้เคียงกับการกระจายข้อมูลของ Bitcoin
2002: โครงการ Tor ถูกพัฒนาเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยไม่เปิดเผยตัวตน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Cypherpunks ในการปกป้องความเป็นส่วนตัว
2004: Hal Finney ได้พัฒนาระบบ RPoW ซึ่งเป็นระบบ Proof of Work ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานของระบบการขุด Bitcoin
2008: วิกฤตการเงินครั้งใหญ่ Lehman Bankruptcy กระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจระบบเงินรูปแบบใหม่
2008: Satoshi Nakamoto เผยแพร่ Bitcoin Whitepaper เอกสารที่เสนอแนวคิด Bitcoin ซึ่งรวมองค์ความรู้ทั้งหมดก่อนหน้านี้ไว้ในระบบเดียว
2009: Satoshi Nakamoto เปิดตัว Bitcoin พร้อมบล็อกแรก (Genesis Block)
____
แนวคิดและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่ค่อย ๆ ถูกประกอบเข้าด้วยกันตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษ จนในที่สุด Satoshi Nakamoto ก็ได้นำองค์ความรู้เหล่านี้มาหลอมรวมเป็นบิตคอยน์ ระบบการเงินรูปแบบใหม่ที่ไร้ศูนย์กลาง โปร่งใส และตรวจสอบได้
นอกจากนี้บิตคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพทางการเงินที่ผู้คนสามารถควบคุมและปกป้องทรัพย์สินของตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง
และแม้เส้นทางนี้จะยาวนานกว่า 40 ปี แต่บิตคอยน์ก็เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น...
เครดิตรูปภาพ: cliffc2 (Bitcoin HK)
#siamstr

แม้บิตคอยน์จะถือกำเนิดมากว่า 16 ปีแล้ว จากผลงาน white paper ของ Satoshi Nakamoto ในวันที่ 31 ตุลาคม ปี 2008…
แต่แท้จริงแล้ว บิตคอยน์ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน หากเป็นผลลัพธ์ของการวิจัยและพัฒนาด้านคณิตศาสตร์และวิทยาการเข้ารหัสที่สั่งสมมากว่า 40 ปี
ในวันนี้ ผมจะพาทุกท่านย้อนรอยเส้นทางสู่บิตคอยน์กันครับ
____
ทศวรรษที่ 1970s: ยุคบุกเบิกการเข้ารหัสการสื่อสาร
1974: Vint Cerf และ Bob Kahn ได้พัฒนาโปรโตคอล TCP/IP ซึ่งเป็นพื้นฐานของการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต
1976: Whitfield Diffie และ Martin Hellman ได้นำเสนอแนวคิดการเข้ารหัสแบบกุญแจสาธารณะ (Public-key cryptography)
1978: Ron Rivest, Adi Shamir และ Leonard Adleman ได้พัฒนาระบบการเข้ารหัส RSA ซึ่งเป็นหนึ่งในอัลกอริธึมการเข้ารหัสแบบกุญแจสาธารณะที่ได้รับความนิยมและใช้กันอย่างแพร่หลาย
.
ทษวรรษที่ 1980s: การพัฒนาการเข้ารหัสสู่แนวคิดเงินดิจิทัล
1980: Ralph Merkle ได้นำเสนอแนวคิด Merkle Tree ซึ่งเป็นโครงสร้างข้อมูลที่ช่วยในการตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลในระบบกระจายศูนย์ แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ใน Bitcoin เพื่อยืนยันความถูกต้องของบล็อกธุรกรรม
1982: Leslie Lamport, Robert Shostak และ Marshall Pease ได้นำเสนอปัญหานายพลไบแซนไทน์ (Byzantine Generals Problem) ซึ่งอธิบายถึงความยากลำบากในการบรรลุความสอดคล้องในระบบไร้ศูนย์กลาง
1983: David Chaum ได้นำเสนอแนวคิดลายเซ็นปกปิด (Blind Signatures) ซึ่งช่วยให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินโดยไม่สามารถติดตามได้ แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานของการพัฒนาเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ (eCash)
1985: การเข้ารหัสแบบเส้นโค้งวงรี (Elliptic Curve Cryptography) ถูกพัฒนาและนำมาใช้ในการสร้างกุญแจเข้ารหัสที่มีความปลอดภัยสูงและขนาดเล็ก ซึ่งถูกนำมาใช้ในระบบการเข้ารหัสอย่าง Elliptic Curve Digital Signature Algorithm (ECDSA) ของ Bitcoin
1988: Timothy C. May ได้เขียน "The Crypto Anarchist Manifesto" ซึ่งทำนายถึงการใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสเพื่อสร้างสังคมที่ผู้คนสามารถสื่อสารและทำธุรกรรมได้อย่างไม่ระบุตัวตนและปลอดภัย แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนา Bitcoin และการเคลื่อนไหวของ Cypherpunks
1989: David Chaum ได้ก่อตั้งบริษัท DigiCash เพื่อทำให้แนวคิด eCash ของเขาเป็นจริง eCash เป็นระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีลายเซ็นปกปิด (Blind Signatures) เพื่อให้การทำธุรกรรมไม่สามารถติดตามได้
.
ทษวรรษที่ 1990s: การเกิดขึ้นของ Cypherpunk และระบบเงินดิจิทัลยุคแรก
1991: Stuart Haber และ W. Scott Stornetta ได้นำเสนอวิธีการประทับเวลาบนเอกสารดิจิทัลเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล
1991: Phil Zimmermann ได้พัฒนาและเปิดตัว Pretty Good Privacy (PGP) ซึ่งเป็นโปรแกรมเข้ารหัสอีเมลที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสื่อสารอย่างปลอดภัยและเป็นส่วนตัว
1992: Eric Hughes, Timothy C. May และ John Gilmore ได้ก่อตั้งกลุ่ม Cypherpunks ซึ่งเป็นกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่สนับสนุนการใช้การเข้ารหัสเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพในโลกดิจิทัล กลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin
1993: Eric Hughes ได้เขียน "A Cypherpunk's Manifesto" ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของความเป็นส่วนตัวและการใช้การเข้ารหัสเพื่อปกป้องเสรีภาพของบุคคลใน
1994: CyberCash เปิดตัวในฐานะหนึ่งในผู้บุกเบิกระบบการชำระเงินออนไลน์ โดยมีการนำเสนอเทคโนโลยีการชำระเงินผ่านอินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับระบบการชำระเงินดิจิทัลในอนาคต
1997: Adam Back ได้พัฒนา Hashcash ซึ่งเป็นระบบ Proof of Work ที่ใช้ในการป้องกันสแปมและการโจมตีแบบ DoS แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ในกระบวนการขุด Bitcoin
1997: Nick Szabo เสนอแนวคิดสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ที่ช่วยให้ธุรกรรมอัตโนมัติปลอดภัยและเชื่อถือได้
1998: Wei Dai ได้นำเสนอแนวคิด B-money ซึ่งเป็นระบบเงินดิจิทัลแบบไร้ศูนย์กลางที่ไม่ต้องการตัวกลาง แนวคิดนี้มีอิทธิพลต่อการพัฒนา Bitcoin
1998: Nick Szabo ได้เสนอแนวคิด Bit Gold ซึ่งเป็นระบบเงินดิจิทัลที่ใช้การพิสูจน์การทำงาน (Proof of Work) และการประทับเวลา แนวคิดนี้ถือเป็นบรรพบุรุษของ Bitcoin
.
ทษวรรษที่ 2000s: พัฒนาการก่อนการเปิดตัวบิตคอยน์
2001: Bram Cohen สร้าง BitTorrent ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบบไร้ศูนย์กลางที่มีหลักการใกล้เคียงกับการกระจายข้อมูลของ Bitcoin
2002: โครงการ Tor ถูกพัฒนาเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตโดยไม่เปิดเผยตัวตน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Cypherpunks ในการปกป้องความเป็นส่วนตัว
2004: Hal Finney ได้พัฒนาระบบ RPoW ซึ่งเป็นระบบ Proof of Work ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แนวคิดนี้เป็นพื้นฐานของระบบการขุด Bitcoin
2008: วิกฤตการเงินครั้งใหญ่ Lehman Bankruptcy กระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจระบบเงินรูปแบบใหม่
2008: Satoshi Nakamoto เผยแพร่ Bitcoin Whitepaper เอกสารที่เสนอแนวคิด Bitcoin ซึ่งรวมองค์ความรู้ทั้งหมดก่อนหน้านี้ไว้ในระบบเดียว
2009: Satoshi Nakamoto เปิดตัว Bitcoin พร้อมบล็อกแรก (Genesis Block)
____
แนวคิดและนวัตกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ เปรียบเสมือนจิ๊กซอว์ที่ค่อย ๆ ถูกประกอบเข้าด้วยกันตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษ จนในที่สุด Satoshi Nakamoto ก็ได้นำองค์ความรู้เหล่านี้มาหลอมรวมเป็นบิตคอยน์ ระบบการเงินรูปแบบใหม่ที่ไร้ศูนย์กลาง โปร่งใส และตรวจสอบได้
นอกจากนี้บิตคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพทางการเงินที่ผู้คนสามารถควบคุมและปกป้องทรัพย์สินของตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง
และแม้เส้นทางนี้จะยาวนานกว่า 40 ปี แต่บิตคอยน์ก็เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น...
เครดิตรูปภาพ: cliffc2 (Bitcoin HK)
#siamstr