Hipknox on Nostr: ## ตำนานน้ำท่วมโลก ...
## ตำนานน้ำท่วมโลก (แถบเมโสโปเตเมีย)
มันมีเรื่องที่คุยกันเล่น ๆ ในคืนนั้น ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นความเชื่อ (ทางศาสนา) ในยุคปัจจุบันมันอาจจะเป็นเพียงแค่วรรณกรรมที่ถูกแต่งขึ้นในสมัยโบราณเพื่อความบันเทิง ที่คนยุคหลังนำเอามาเป็นระบบความเชื่อทางจิตวิญญาณ
เราพูดเล่น ๆ กันว่า ถ้าหากว่าถัดจากนี้ไปอีกหลายร้อยปี หรือมนุษย์เกิดเหตุการณ์ที่ยุคสมัยถูกตัดขาดจากประวัติศาสตร์ไปราว ๆ 2 - 4 เจเนอเรชั่น นวนิยายขายดีอย่าง "The Lord of The Rings" จะมีคนที่บังเอิญไปค้นพบ และถูกเอาไปต่อยอดกลายเป็นการสร้างศาสนาที่บูชาเหล่า "วาลาร์ (Valar)" ว่าเป็นเหล่าทวยเทพชั้นสูงจากยุคบรรพกาลทั้งที่ความจริงแล้วเป็นแค่เพียงจินตนาการของ J.R.R. Tolkien ได้มั้ย? และถ้าเป็นไปแบบนั้น มันคงจะมีคนที่ศึกษาอย่างเอาเป็นเอาตายกับภาษาที่โทคีนสร้างไว้ในนิยาย และหยิบเอามาเป็นศาสตร์ของภาษาลึกลับที่ประทานมาจากเหล่าทวยเทพแน่ ๆ
ตำนานเรื่องน้ำท่วมโลกนอกเหนือจากเรื่องของโนอาห์เล่าไว้ว่าไง?
ในมหากาพย์กิลกาเมซ (Epic of Gilgamesh) ของอารยธรรมเก่าแก่อย่างเมโสโปเตเมียเมื่อราว ๆ 2100 BCE หรือ เมื่อราว ๆ 4124 ปีที่แล้ว มีตำนานในเรื่องของน้ำท่วมโลกถูกเล่าเอาไว้ผ่านการผจญภัยของตัวละครอย่าง กษัตริย์กิลกาเมซ ที่กำลังสิ้นหวังจากชีวิตเมื่อเพื่อรักของเขา เอนคิดู ได้ตายจากไป เขาจึงออกค้นหาวิธีการสู่การเป็นอมตะ เพื่อทำให้ชีวิตของเขากลับมามีความหมายอีกครั้ง
เรื่องเล่าถึงเรื่องราวของน้ำท่วมโลก เริ่มจากการที่บรรดาเหล่าทวยเทพได้มีการเปิดประชุมในสภาของเหล่าเทพ ถึงความต้องการที่จะกวาดล้างมนุษย์โลกและสิ่งมีชีวิตทุกชนิด (บ้างก็ว่าเป็นเพราะมนุษย์นั้นส่งเสียงดังสร้างความน่ารำคาญ) ในที่ประชุมจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะให้เกิดเหตุการณ์ที่น้ำท่วมโลก โดยสิ่ง ๆ นี้จะถูกปิดเป็นความลับไม่ให้มีใครแพร่งพายให้เหล่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตได้รับรู้
หนึ่งในเหล่าทวยเทพอย่าง เทพอีเอ (Ea) ผู้ที่เป็นผู้สร้างมนุษย์เกิดการใจอ่อนและสงสารเหล่ามนุษย์ และเพื่อไม่ให้เป็นการผิดคำสัตย์สาบานต่อสภาของทวยเทพ เทพอีเอ จึงได้ไปกระซิบถึงเหตุการที่น้ำจะท่วมโลกใส่ "กำแพงบ้าน" ของชายชื่อ อุทนาพิทิม (Utnapisthim) และเนื่องจากกำแพงบ้านไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เทพอีเอ จึงไม่ได้ทำผิดต่อสภาของเหล่าทวยเทพ และยังบอกวิธีการสร้างเรือขนาดใหญ่อีกด้วย (พบเทพเหลี่ยม)
อุทนาพิทิม ไม่รอช้า เขาสร้างเรือขนาดใหญ่ที่ใคร ๆ เห็นก็ว่าบ้า โดยที่ใช้เวลาไปถึง 1 ปีเต็ม หลังจากนั้นเขาได้ขนเหล่าบรรดาสรรพสัตว์ชนิดต่าง ๆ ขึ้นไปอยู่บนเรือขนาดมหึมานั้นกับเขา และในไม่นาน น้ำก็ไหลหลากมาจากทุกทั่วสารทิศ
"ฟากฟ้ามืดมน ปกคลุมไปด้วยเมฆทะมึน มีทั้งเสียงฟ้าพิโรธ ส่งเสียงคำรามกัมปนาท และแสงเจิดจ้าของฟ้าแลบฟ้าผ่า แผ่นดินเดือดพล่านปานอยู่ในหม้อเดือด และแล้วความมืดก็ปกคลุมไปทั่วผืนปฐพี"
เหตุการณ์ของน้ำท่วมโลกนั้นกินเวลาเพียง 7 วัน 7 คืน แสงสว่างจึงปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า
อุทนาพิทิม ได้เปิดหน้าต่างเรือ มองไปทางไหนก็เห็นเพียงแค่พื้นผิวของน้ำ เขาได้ปล่อย "นกพิราบ" ออกไปจากเรือ มันบินไปและก็บินกลับมาเพราะ "ไม่มีกิ่งไม้ให้เกาะ" เขาปล่อย "นกแสก" ออกไปอีกครั้ง และบัดนี้น้ำได้แห้งแล้วจากแผ่นดิน นกแสกก็ขุดโพรงและหาของกิน อุทนาพิทิมจึงปล่อยสัตว์ทั้งหลายออกจากเรือ
เทพเอนลิล (Enlil เทพแห่งลมพายุฟ้าฝน) ได้มาเห็นว่ามีมนุษย์ที่ยังคงรอดชีวิตก็ประหลาดใจ และรู้สึกโกรธ แต่ด้วยการโน้มน้าวและขอร้องจาก เทพอีเอ เทพเอนลิล ก็คล้อยตามและได้ให้พรกับ อุทนาพิทิม ทำให้เขาเป็นอมตะ
ของชาวซูเมอร์ (Sumerians) เองก็เล่าไว้คล้าย ๆ กันว่า เหล่าทวยเทพได้ตัดสินใจที่จะกวาดล้างมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้อยู่ในศีลธรรมอันดี ประพฤติแต่สิ่งที่ชั่วกันทั่วหน้า เทพเอนกิ (Enki) เทพเจ้าแห่งน้ำและปัญญาจึงได้บันดาลให้น้ำนั้นท่วมโลก น้ำได้ไหลหลากมาจากทั้งไทกรีส และยูเฟรตีส
แต่เมื่อ เทพเอนกิ (Enki) หันไปเห็นชายคนหนึ่ง เห็นว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ยังคงรักษาความดี เทพเอนกิ จึงแนะนำให้ชายผู้นั้นหลบหนีขึ้นไปอยู่บนกำแพงเมือง ซิปปาร์ (Zippar) ชายคนนั้นคือกษัตริย์ของเมืองแห่งนี้ มีนามว่า กษัตริย์ซิอูซุดรา (Siusudra) (ภายหลังอาจมีการนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวของกิลกาเมช จากกำแพงเลยถูกเปลี่ยนไปเป็นการต่อเรือ)
พายุฟ้าฝนได้โหมกระหน่ำเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน หลังจากนั้น เทพอูตู (Utu) เทพแห่งดวงอาทิตย์ได้บันดาลให้เกิดแสงสว่างอาบไปทั่วแผนดิน แผนดินก็กลับสู่ความแห้งจากน้ำท่วม กษัตริย์ซิอูซุดรา จึงเริ่มบวงสรวง เทพอูตู (Utu) ด้วยการฆ่าแกะ และ เทพเอนลิล (Enlil) จึงได้มอบ "ลมหายใจแห่งชีวิต" ให้แก่โลก กษัตริย์และบริวารจึงเริ่มเพาะปลูกอีกครั้ง
ของชาวบาบิโลน (Babylonia) ราว ๆ 1800 BCE เมื่อราว ๆ 3824 ปีที่แล้ว เล่าไว้ว่าไง?
"สุริยเทพได้บอกเตือนเราให้สร้างเรือขนาดใหญ่เตรียมเอาไว้จนถึงวันหนึ่ง เมื่อเทพเจ้าแห่งความมืดปรากฏ เป็นเวลาหลายวันที่จะเกิดฝนตกหนัก ทั่วฟากฟ้ามืดมิด นั่นจะเป็นสัญญาณที่สุริยเทพได้แจ้งไว้ ให้เราพาครอบครัว ญาติพี่น้อง ผู้มีฝีมือในด้านต่าง ๆ และบรรดาสรรพสัตว์ลงเรือให้หมด แล้วจึงปิดประตูเสีย"
หลังจากนั้นจึงเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลกเป็นเวลา 6 วัน 6 คืน และในวันที่ 7 น้ำจึงเริ่มลดลง ปรากฏแสงแห่งสุริยเทพ เรือที่ลอยได้หยุดลงเพราะติดเกาะแห่งหนึ่ง ได้มีการปล่อยนกออกจากเรือเพื่อการสำรวจแผนดินอื่น แต่นกก็บินกลับมาที่เรือทุกครั้ง เป็นสัญญาณว่าไม่มีแผ่นดินอาศัย อีก 12 วันคนบนเรือจึงออกมาจากเรือ และพบว่าแผนดินที่ถูกชำระล้างมีกลิ่นหอม เหล่าทวยเทพที่ได้กลิ่นหอมของแผ่นดินจึงลงมายังพื้นโลก
เทพีอิชตาร์ (Ishtar) *ถูกยืมมาจากเทพีแห่งความรักของชาวซูเมอร์ เทพพีอินันนา (Inanna) และเป็นองค์เดียวกับ วีนัส (Venus) ของชาวกรีก* ได้ลงมาจากสวรรค์ ได้เห็นถึงความพินาศของมนุษย์ จึงมีรับสั่งว่า "เราจะไม่ลืมวันเวลาที่เกิดเรื่องนี้เลย"
ส่วนเรื่องของโนอาห์ (อับราฮัมมิก) เล่าบ่อยแล้ว ไม่เล่าแล้วกัน อิอิ.. (ปฐมกาล บทที่ 6)
ปล. เหล่าทวยเทพโบราณนี้มีการยืมกันไปมาระหว่างชนเผา เดิมทีอาจจะมาจากของชาวซูเมอร์ (Sumerians) จากเรื่องมหาเทพแห่งน้ำและมหาสมุทร์ (ก่อนหน้านี้เชื่อกันว่าทุก ๆ สรรพสิ่งเกิดขึ้นจากน้ำ) มีนามว่า มหาเทพีนัมมู (Nammu) ผู้ให้กำเนิด มหาเทพอัน (An) แห่งสวรรค์ และ เทพีคิ (Ki) แห่งผืนดิน ทั้งสองให้กำเนิด เทพเอนลิล (Enlil) แห่งลมพายุอากาศ และด้วยพลังแห่ง เทพเอนลิล จึงแยกสวรรค์ และแผ่นดินออกจากกัน (แยกพ่อแยกแม่) ส่วน เทพเอนกิ (Enki) เป็น้ทพแห่งน้ำและปัญญา เป็นผู้ที่สร้างมนุษย์และมอบความรู้ต่าง ๆ เทพอินันนา (Inanna) ธิดาของ เทพเอนกิ และมีเหล่า เทพอนันนากิ (Anunnaki) ปกครองโลกใต้พิภพ (นรก)
ปล.2 อับราฮัม ก็น่าจะทันเรื่องเล่าพวกนี้แหละ เพราะที่บ้านพ่อของเขา (เทราห์) นอกจากจะมีอาชีพหลักเป็นคนเลี้ยงสัตว์แล้วยังมีอาชีพเสริมเป็นช่างปั้นรูปเคารพเหล่าทวยเทพอีกด้วย เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเล่าว่าในขณะที่อับราฮัมอยู่ในบ้านของบิดา เกิดความเบื่อหน่ายกิจการปั้นรูปเคารพของครอบครัวเพราะมองว่าไร้สาระ
ในวันหนึ่งมีชายแก่เข้ามายังบ้านของบิดาเพื่อมารับรูปเคารพที่ได้จ้างพ่อของอับราฮัมให้ปั้นให้กับเขา อับราฮัมจึงถามกับชายแก่ว่า "นี่ลุงอายุเท่าไหร่แล้ว?" ชายแก่ตอบ "ข้าอายุ 70 แล้ว" อับราฮัมจึงกล่าวต่อ "งั้นลุงก็เป็นแค่คนโง่" ชายแก่ถามกลับ "ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?" อับราฮัมกล่าวต่อ "เพราะลุงเกิดมา 70 ปีแล้ว ยังจะมัวบูชารูปเคารพที่พ่อข้าเพิ่งจะปั้นเสร็จเมื่อวานก่อนในโรงงานนี้" ชายแก่คิดอยู่ครู่หนึ่ง "จริงของเจ้า งั้นข้าไม่เอาแล้วรูปปั้นนั่น"
ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่า คนที่ต่อต้านความเชื่อของผู้คนที่กำลังให้ความนิยมอย่างความเชื่อเรื่องเทพหลายองค์ (Polytheism) และยังพยายามจะทำลายเศรษฐกิจของชุมชนอย่างการรับจ้างปั้นรูปเคารพ จะอยู่ในพื้นที่นี้ต่อไปยังไง? "มุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา"
ปล.3 ฟาโรห์อาเคนาเทน (Akhenaten) เนี่ยให้อารมณ์คล้าย ๆ กับฮับราฮัมแต่อาจจะหนักกว่าตรงที่พอขึ้นสู่อำนาจก็พยายามจะเปลี่ยนอียิปต์ที่นับถือเทพเจ้าหลายองค์ (Polytheism) มาเป็นการบูชาเทพเจ้าองค์เดียว (Monotheism) โดยสถาปนาเทพสูงสุดองค์เดียว เทพอาเตน (Aten) ตามชื่อของตัวเอง และเป็นตัวแทนของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ แต่สุดท้ายหลังจากพระองค์ตายไป ประชาชนก็กลับมานับถือเทพเจ้าหลายองค์เหมือนแต่ก่อน
หวังว่าจะสนุก...
แท็กเรียกเพื่อน : เฮียหมู (nprofile…9whj)
#siamstr
มันมีเรื่องที่คุยกันเล่น ๆ ในคืนนั้น ว่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นความเชื่อ (ทางศาสนา) ในยุคปัจจุบันมันอาจจะเป็นเพียงแค่วรรณกรรมที่ถูกแต่งขึ้นในสมัยโบราณเพื่อความบันเทิง ที่คนยุคหลังนำเอามาเป็นระบบความเชื่อทางจิตวิญญาณ
เราพูดเล่น ๆ กันว่า ถ้าหากว่าถัดจากนี้ไปอีกหลายร้อยปี หรือมนุษย์เกิดเหตุการณ์ที่ยุคสมัยถูกตัดขาดจากประวัติศาสตร์ไปราว ๆ 2 - 4 เจเนอเรชั่น นวนิยายขายดีอย่าง "The Lord of The Rings" จะมีคนที่บังเอิญไปค้นพบ และถูกเอาไปต่อยอดกลายเป็นการสร้างศาสนาที่บูชาเหล่า "วาลาร์ (Valar)" ว่าเป็นเหล่าทวยเทพชั้นสูงจากยุคบรรพกาลทั้งที่ความจริงแล้วเป็นแค่เพียงจินตนาการของ J.R.R. Tolkien ได้มั้ย? และถ้าเป็นไปแบบนั้น มันคงจะมีคนที่ศึกษาอย่างเอาเป็นเอาตายกับภาษาที่โทคีนสร้างไว้ในนิยาย และหยิบเอามาเป็นศาสตร์ของภาษาลึกลับที่ประทานมาจากเหล่าทวยเทพแน่ ๆ
ตำนานเรื่องน้ำท่วมโลกนอกเหนือจากเรื่องของโนอาห์เล่าไว้ว่าไง?
ในมหากาพย์กิลกาเมซ (Epic of Gilgamesh) ของอารยธรรมเก่าแก่อย่างเมโสโปเตเมียเมื่อราว ๆ 2100 BCE หรือ เมื่อราว ๆ 4124 ปีที่แล้ว มีตำนานในเรื่องของน้ำท่วมโลกถูกเล่าเอาไว้ผ่านการผจญภัยของตัวละครอย่าง กษัตริย์กิลกาเมซ ที่กำลังสิ้นหวังจากชีวิตเมื่อเพื่อรักของเขา เอนคิดู ได้ตายจากไป เขาจึงออกค้นหาวิธีการสู่การเป็นอมตะ เพื่อทำให้ชีวิตของเขากลับมามีความหมายอีกครั้ง
เรื่องเล่าถึงเรื่องราวของน้ำท่วมโลก เริ่มจากการที่บรรดาเหล่าทวยเทพได้มีการเปิดประชุมในสภาของเหล่าเทพ ถึงความต้องการที่จะกวาดล้างมนุษย์โลกและสิ่งมีชีวิตทุกชนิด (บ้างก็ว่าเป็นเพราะมนุษย์นั้นส่งเสียงดังสร้างความน่ารำคาญ) ในที่ประชุมจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าจะให้เกิดเหตุการณ์ที่น้ำท่วมโลก โดยสิ่ง ๆ นี้จะถูกปิดเป็นความลับไม่ให้มีใครแพร่งพายให้เหล่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตได้รับรู้
หนึ่งในเหล่าทวยเทพอย่าง เทพอีเอ (Ea) ผู้ที่เป็นผู้สร้างมนุษย์เกิดการใจอ่อนและสงสารเหล่ามนุษย์ และเพื่อไม่ให้เป็นการผิดคำสัตย์สาบานต่อสภาของทวยเทพ เทพอีเอ จึงได้ไปกระซิบถึงเหตุการที่น้ำจะท่วมโลกใส่ "กำแพงบ้าน" ของชายชื่อ อุทนาพิทิม (Utnapisthim) และเนื่องจากกำแพงบ้านไม่ใช่สิ่งมีชีวิต เทพอีเอ จึงไม่ได้ทำผิดต่อสภาของเหล่าทวยเทพ และยังบอกวิธีการสร้างเรือขนาดใหญ่อีกด้วย (พบเทพเหลี่ยม)
อุทนาพิทิม ไม่รอช้า เขาสร้างเรือขนาดใหญ่ที่ใคร ๆ เห็นก็ว่าบ้า โดยที่ใช้เวลาไปถึง 1 ปีเต็ม หลังจากนั้นเขาได้ขนเหล่าบรรดาสรรพสัตว์ชนิดต่าง ๆ ขึ้นไปอยู่บนเรือขนาดมหึมานั้นกับเขา และในไม่นาน น้ำก็ไหลหลากมาจากทุกทั่วสารทิศ
"ฟากฟ้ามืดมน ปกคลุมไปด้วยเมฆทะมึน มีทั้งเสียงฟ้าพิโรธ ส่งเสียงคำรามกัมปนาท และแสงเจิดจ้าของฟ้าแลบฟ้าผ่า แผ่นดินเดือดพล่านปานอยู่ในหม้อเดือด และแล้วความมืดก็ปกคลุมไปทั่วผืนปฐพี"
เหตุการณ์ของน้ำท่วมโลกนั้นกินเวลาเพียง 7 วัน 7 คืน แสงสว่างจึงปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้า
อุทนาพิทิม ได้เปิดหน้าต่างเรือ มองไปทางไหนก็เห็นเพียงแค่พื้นผิวของน้ำ เขาได้ปล่อย "นกพิราบ" ออกไปจากเรือ มันบินไปและก็บินกลับมาเพราะ "ไม่มีกิ่งไม้ให้เกาะ" เขาปล่อย "นกแสก" ออกไปอีกครั้ง และบัดนี้น้ำได้แห้งแล้วจากแผ่นดิน นกแสกก็ขุดโพรงและหาของกิน อุทนาพิทิมจึงปล่อยสัตว์ทั้งหลายออกจากเรือ
เทพเอนลิล (Enlil เทพแห่งลมพายุฟ้าฝน) ได้มาเห็นว่ามีมนุษย์ที่ยังคงรอดชีวิตก็ประหลาดใจ และรู้สึกโกรธ แต่ด้วยการโน้มน้าวและขอร้องจาก เทพอีเอ เทพเอนลิล ก็คล้อยตามและได้ให้พรกับ อุทนาพิทิม ทำให้เขาเป็นอมตะ
ของชาวซูเมอร์ (Sumerians) เองก็เล่าไว้คล้าย ๆ กันว่า เหล่าทวยเทพได้ตัดสินใจที่จะกวาดล้างมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์ไม่ได้อยู่ในศีลธรรมอันดี ประพฤติแต่สิ่งที่ชั่วกันทั่วหน้า เทพเอนกิ (Enki) เทพเจ้าแห่งน้ำและปัญญาจึงได้บันดาลให้น้ำนั้นท่วมโลก น้ำได้ไหลหลากมาจากทั้งไทกรีส และยูเฟรตีส
แต่เมื่อ เทพเอนกิ (Enki) หันไปเห็นชายคนหนึ่ง เห็นว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ยังคงรักษาความดี เทพเอนกิ จึงแนะนำให้ชายผู้นั้นหลบหนีขึ้นไปอยู่บนกำแพงเมือง ซิปปาร์ (Zippar) ชายคนนั้นคือกษัตริย์ของเมืองแห่งนี้ มีนามว่า กษัตริย์ซิอูซุดรา (Siusudra) (ภายหลังอาจมีการนำไปเชื่อมโยงกับเรื่องราวของกิลกาเมช จากกำแพงเลยถูกเปลี่ยนไปเป็นการต่อเรือ)
พายุฟ้าฝนได้โหมกระหน่ำเป็นเวลา 7 วัน 7 คืน หลังจากนั้น เทพอูตู (Utu) เทพแห่งดวงอาทิตย์ได้บันดาลให้เกิดแสงสว่างอาบไปทั่วแผนดิน แผนดินก็กลับสู่ความแห้งจากน้ำท่วม กษัตริย์ซิอูซุดรา จึงเริ่มบวงสรวง เทพอูตู (Utu) ด้วยการฆ่าแกะ และ เทพเอนลิล (Enlil) จึงได้มอบ "ลมหายใจแห่งชีวิต" ให้แก่โลก กษัตริย์และบริวารจึงเริ่มเพาะปลูกอีกครั้ง
ของชาวบาบิโลน (Babylonia) ราว ๆ 1800 BCE เมื่อราว ๆ 3824 ปีที่แล้ว เล่าไว้ว่าไง?
"สุริยเทพได้บอกเตือนเราให้สร้างเรือขนาดใหญ่เตรียมเอาไว้จนถึงวันหนึ่ง เมื่อเทพเจ้าแห่งความมืดปรากฏ เป็นเวลาหลายวันที่จะเกิดฝนตกหนัก ทั่วฟากฟ้ามืดมิด นั่นจะเป็นสัญญาณที่สุริยเทพได้แจ้งไว้ ให้เราพาครอบครัว ญาติพี่น้อง ผู้มีฝีมือในด้านต่าง ๆ และบรรดาสรรพสัตว์ลงเรือให้หมด แล้วจึงปิดประตูเสีย"
หลังจากนั้นจึงเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมโลกเป็นเวลา 6 วัน 6 คืน และในวันที่ 7 น้ำจึงเริ่มลดลง ปรากฏแสงแห่งสุริยเทพ เรือที่ลอยได้หยุดลงเพราะติดเกาะแห่งหนึ่ง ได้มีการปล่อยนกออกจากเรือเพื่อการสำรวจแผนดินอื่น แต่นกก็บินกลับมาที่เรือทุกครั้ง เป็นสัญญาณว่าไม่มีแผ่นดินอาศัย อีก 12 วันคนบนเรือจึงออกมาจากเรือ และพบว่าแผนดินที่ถูกชำระล้างมีกลิ่นหอม เหล่าทวยเทพที่ได้กลิ่นหอมของแผ่นดินจึงลงมายังพื้นโลก
เทพีอิชตาร์ (Ishtar) *ถูกยืมมาจากเทพีแห่งความรักของชาวซูเมอร์ เทพพีอินันนา (Inanna) และเป็นองค์เดียวกับ วีนัส (Venus) ของชาวกรีก* ได้ลงมาจากสวรรค์ ได้เห็นถึงความพินาศของมนุษย์ จึงมีรับสั่งว่า "เราจะไม่ลืมวันเวลาที่เกิดเรื่องนี้เลย"
ส่วนเรื่องของโนอาห์ (อับราฮัมมิก) เล่าบ่อยแล้ว ไม่เล่าแล้วกัน อิอิ.. (ปฐมกาล บทที่ 6)
ปล. เหล่าทวยเทพโบราณนี้มีการยืมกันไปมาระหว่างชนเผา เดิมทีอาจจะมาจากของชาวซูเมอร์ (Sumerians) จากเรื่องมหาเทพแห่งน้ำและมหาสมุทร์ (ก่อนหน้านี้เชื่อกันว่าทุก ๆ สรรพสิ่งเกิดขึ้นจากน้ำ) มีนามว่า มหาเทพีนัมมู (Nammu) ผู้ให้กำเนิด มหาเทพอัน (An) แห่งสวรรค์ และ เทพีคิ (Ki) แห่งผืนดิน ทั้งสองให้กำเนิด เทพเอนลิล (Enlil) แห่งลมพายุอากาศ และด้วยพลังแห่ง เทพเอนลิล จึงแยกสวรรค์ และแผ่นดินออกจากกัน (แยกพ่อแยกแม่) ส่วน เทพเอนกิ (Enki) เป็น้ทพแห่งน้ำและปัญญา เป็นผู้ที่สร้างมนุษย์และมอบความรู้ต่าง ๆ เทพอินันนา (Inanna) ธิดาของ เทพเอนกิ และมีเหล่า เทพอนันนากิ (Anunnaki) ปกครองโลกใต้พิภพ (นรก)
ปล.2 อับราฮัม ก็น่าจะทันเรื่องเล่าพวกนี้แหละ เพราะที่บ้านพ่อของเขา (เทราห์) นอกจากจะมีอาชีพหลักเป็นคนเลี้ยงสัตว์แล้วยังมีอาชีพเสริมเป็นช่างปั้นรูปเคารพเหล่าทวยเทพอีกด้วย เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งเล่าว่าในขณะที่อับราฮัมอยู่ในบ้านของบิดา เกิดความเบื่อหน่ายกิจการปั้นรูปเคารพของครอบครัวเพราะมองว่าไร้สาระ
ในวันหนึ่งมีชายแก่เข้ามายังบ้านของบิดาเพื่อมารับรูปเคารพที่ได้จ้างพ่อของอับราฮัมให้ปั้นให้กับเขา อับราฮัมจึงถามกับชายแก่ว่า "นี่ลุงอายุเท่าไหร่แล้ว?" ชายแก่ตอบ "ข้าอายุ 70 แล้ว" อับราฮัมจึงกล่าวต่อ "งั้นลุงก็เป็นแค่คนโง่" ชายแก่ถามกลับ "ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?" อับราฮัมกล่าวต่อ "เพราะลุงเกิดมา 70 ปีแล้ว ยังจะมัวบูชารูปเคารพที่พ่อข้าเพิ่งจะปั้นเสร็จเมื่อวานก่อนในโรงงานนี้" ชายแก่คิดอยู่ครู่หนึ่ง "จริงของเจ้า งั้นข้าไม่เอาแล้วรูปปั้นนั่น"
ไม่ต้องบอกก็คงจะรู้ว่า คนที่ต่อต้านความเชื่อของผู้คนที่กำลังให้ความนิยมอย่างความเชื่อเรื่องเทพหลายองค์ (Polytheism) และยังพยายามจะทำลายเศรษฐกิจของชุมชนอย่างการรับจ้างปั้นรูปเคารพ จะอยู่ในพื้นที่นี้ต่อไปยังไง? "มุ่งหน้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา"
ปล.3 ฟาโรห์อาเคนาเทน (Akhenaten) เนี่ยให้อารมณ์คล้าย ๆ กับฮับราฮัมแต่อาจจะหนักกว่าตรงที่พอขึ้นสู่อำนาจก็พยายามจะเปลี่ยนอียิปต์ที่นับถือเทพเจ้าหลายองค์ (Polytheism) มาเป็นการบูชาเทพเจ้าองค์เดียว (Monotheism) โดยสถาปนาเทพสูงสุดองค์เดียว เทพอาเตน (Aten) ตามชื่อของตัวเอง และเป็นตัวแทนของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ แต่สุดท้ายหลังจากพระองค์ตายไป ประชาชนก็กลับมานับถือเทพเจ้าหลายองค์เหมือนแต่ก่อน
หวังว่าจะสนุก...
แท็กเรียกเพื่อน : เฮียหมู (nprofile…9whj)
#siamstr