Somnuke on Nostr: ### The Great Depression ## มหกรรมการ "โกง" ...
### The Great Depression
## มหกรรมการ "โกง" มนุษยชาติครั้งยิ่งใหญ่
# ประชาชนโดนกล่าวโทษว่าผิดที่ไม่ยอมใช้จ่ายและผู้ร้ายกลับกลายเป็น "ทองคำ"
เรื่องราวที่เราเรียนจากตำราเขาก็จะบอกว่า เป็นเพราะฮูเวอร์ไม่ยอมแทรกแซงเพื่ออุ้มเศรษฐกิจด้วยการพิมพ์เงิน ปล่อยให้ตลาดพังจนเกิดภาวะเงินฝืด จากนั้น FDR มารับช่วงต่อและแทรกแซงกลไกด้วยการพิมพ์เงินและอัดฉีดเข้าสู่เศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงจนทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นคืนกลับมาได้และเงินฝืดอย่างทองคำถูกกล้าวหาว่าคือผู้ร้ายในเหตุการณ์นี้
แต่ว่ากันตามหลักฐานตามประวัติศาสตร์ เห็นการ "โกง" ระบบการเงินเกิดขึ้นมั้ยครับ การดึงเงินในอนาคตมาใช้ผ่านการพิมพ์เงิน และเหตุผลเริ่มต้นใหญ่ๆ คือการไปไฟแนนซ์สงคราม และตามมาด้วยการฟื้นฟูเศรษฐกิจแบบติดจรวด
โดยปกติรัฐบาลต้องระดมทุนจากการเก็บภาษีหรือการออกพันธบัตร แต่เมื่อมันจะถูกใช้ไปในสงครามที่ต้องส่งผู้คนในชาติเข้าไปรบ ประชาชนจึงไม่เห็นด้วยเพราะไม่มีใครอยากไปเข่นฆ่าผู้อื่นหรือเอาตัวเองเอาลูกเอาหลานไปตายในสงคราม
นำมาสู่ทางออกนี้
1. ประกาศระงับและจำกัดการแลกเปลี่ยนเงินกลับเป็นทองคำในภาวะสงคราม
2. เมื่อทองคำถูกห้ามแลกคืน ไม่มีการไหลเข้าไหลออกทำให้มันนิ่ง ณ จุดนี้ รัฐบาลจึงได้ความสามารถใหม่ นั่นคือ การ "พิมพ์เงิน" เกินกว่าทองคำที่ตัวเองมี เพราะไม่ต้องกังวลว่าประชาชนจะมาแห่แลกคืนจนไม่พอที่จะให้ถอน การเดินทางแห่งความวินาศจึงเริ่มต้นขึ้น
ปริมาณเงินซึ่งตอนนั้นมีสถานะตั๋วกระดาษที่สามารถแลกทองคำได้จำนวนมหาศาล ถูกพิมพ์เพิ่มไม่ยั้งสะสมยาวนานเพื่ออุดหนุนสงครามไม่รู้จบ ในระดับที่เกินกว่าทองคำที่ตัวเองมีไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
คาดการณ์ว่าทองคำสำรองมีเพียงแค่ 10% ของปริมาณเงินดอลลาร์ทั้งระบบในปี
แม้ว่าประเทศสหรัฐจะได้ผลกระทบน้อยที่สุดเพราะไม่ได้ถูกใช้เป็นสนามรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่การส่งกองกำลังข้ามน้ำข้ามทะเลไปช่วยรบมันมีต้นทุนมหาศาล รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่หยุดชะงักโดยเฉพาะในยุโรป ก็สร้างปัญหาทางเศรษฐกิจให้กับสหรัฐรุนแรงเช่นกัน
แต่เมื่อสงครามจบลง เงินดอลลาร์ก็จำเป็นต้องกลับมาอ้างอิงกับทองคำ ความชิบหายเริ่มบังเกิด เพราะถ้ากลับไปอ้างอิงเรตเดิม สหรัฐจะล้มเพราะไม่มีทองคำเพียงพอให้ถอน ถึงจะยึดทรัพย์สมบัติมาจากประเทศที่พ่ายแพ้ได้มหาศาลแล้วก็ตาม จำเป็นต้องลดอัตราแลกเปลี่ยนลง...แต่ก็เอาไม่อยู่
จากนั้นเมกาและอังกฤษได้ทำข้อตกลงให้ USD GBP สามารถถูกใช้เป็นเงินสำรองในกลุ่มประเทศพันธมิตรได้ จุดนี้มันทำให้เงินที่พิมพ์เพิ่มปริมาณมหาศาลเหล่านี้มีที่ไป และมันยังเพิ่มขีดความสามารถในการพิมพ์เงินให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะมีหลายประเทศเป็นที่รองรับเงินใหม่นี้
หลังจากย่ำแย่จากสงคราม มหกรรมการพิมพ์เงินอัดฉีดเงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจก็เริ่มบังเกิดขึ้น มันถูกใช้ไปอุ้ม หุ้นใน wall street อุ้มกลุ่มธุรกิจอีลีทและอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ส่งผลให้บางธุรกิจเติบโตสูงมาก บางธุรกิจแทบไม่เติบโตเลยโดยเฉพาะกิจการที่อยู่ไกลแหล่งเงินอุดหนุนจากการพิมพ์เพิ่ม
ธุรกิจรายกลางรายย่อยใน Real sector เข้าไม่ถึงหรือเข้าถึงช้าในเงินพิมพ์ใหม่นี้ และเม็ดเงินส่วนใหญ่มันไปงอกที่ Financial sector ตลาดการเงินพุ่งติดจรวด แต่มันเป็นการเติบโตด้วยหนี้ หนี้ หนี้ ที่มากกว่า Productivity ที่เพิ่มขึ้น
มองเผินๆ มันดูดีไปหมด เศรษฐกิจเติบโตก้าวกระโดด แต่พอมองลึกลงไป มันไม่ได้ดีต่อประชาชนอย่างที่คิด เพราะเงินใหม่นี้ "ส่วนใหญ่" มันไม่ได้ไปอยู่ในมือประชาชน มันไปงอกในมือรัฐ กลุ่มอีลีทและตลาดการเงิน แถมมันไปด้อยค่าเงินเดิมที่ประชาชนถืออยู่ ผลักราคาข้าวของให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ผู้คนทั่วไปอยู่ดีกินดีก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลังมากขึ้น เงินที่เขามีเท่าๆ เดิมเอาไปใช้จ่ายได้น้อยลงๆ ทุกวัน ประชาชนเริ่มใช้จ่ายฝืดเคืองเนื่องจากรายได้โตไม่ทันราคาข้าวของที่แพงขึ้น กว่าเม็ดเงินใหม่จะถึงมือเขาค่าครองชีพก็พุ่งหนีไปก่อนแล้ว
##ดังนั้น เงินไม่ได้ "ฝืด" แต่ประชาชน "ไม่มีเงิน" จะใช้จ่าย
และวันฉิบหายวันวายวอดก็มาถึง มันคือวันที่สิ้นสุดข้อตกลง ยุติความสามารถในการพิมพ์เงินไม่อั้นลง (US Federal Reserve Inflationary Ended) จากเงินที่เคยพิมพ์ได้ง่ายๆ ก็ไม่ง่ายอีกต่อไป เศรษฐกิจที่ขับดันด้วยหนี้ก็เริ่มฝืดเคือง เพราะการกู้การระดมเงินทำได้ยากขึ้นแถมยังมีภาระดอกเบี้ยค้ำคอ เมื่อเงินหยุดหมุนในระบบเศรษฐกิจที่ฐานรากมันง๊อกแง๊กเพราะมีแต่หนี้...สุดท้ายมันก็พังพินาศ
การทดลอง "ระบบเศรษฐกิจที่อัดฉีดเงินไม่จำกัด" ก็จบลง อะไรก็ตามที่ใช้สารเร่งโตให้เร็วผิดปกติ สุดท้ายมันก็จะกลับเข้าหาจุดสมดุลของมัน เศรษฐกิจก็เช่นกัน และ The Great Depression คือราคาที่ต้องจ่ายของการทดลองนี้
คนที่เชื่อว่ามหาวิกฤติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงนี้ ยังไงก็เป็นเพราะการใช้ "เงินฝืด" ที่มีทองคำเป็นมาตรฐาน คุณไม่เอ๊ะใจอะไรซักนิดนึงเลยเหรอครับ ทำไมจู่ๆ ผู้คนไม่ใช้จ่าย ลดราคาแล้วก็ไม่ใช้จ่าย? อ้อ ก็เพราะคนคาดหวังว่าราคาจะลดลงอีกไงไอฟาย
สรุปง่ายไปมั้ย เงินมันกินไม่ได้ ยังไงคนก็ต้องกินต้องใช้ แค่ถ้าเงินมันเพิ่มมูลค่าขึ้น ผู้คนจะใช้เงินแบบคิดหน้าคิดหลังมากขึ้น มองย้อนไปก่อนหน้านับตั้งแต่มนุษย์ค้นพบทองคำและใช้มันเป็นเงิน ทองคำได้นำพาอารยธรรมมนุษย์เจริญรุ่งเรืองสุดขีด ทำไมมันไม่มีปัญหา?
แล้วทำไมปัญหามันต้องมาทุกครั้งเมื่อระบบการเงินรวมศูนย์และผู้ถืออำนาจพยายามจะโกงมัน ตั้งแต่จักรพรรดิกรุงโรม ผู้นำจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ แอบผสมโลหะราคาถูกในการหลอมเหรียญทองเพื่อเพิ่มปริมาณเหรียญ ทำไปนานเข้าเงินก็เสื่อมค่า ประชาชนต้องเจอภาวะข้าวยากหมากแพง ยากจนกันถ้วนหน้าสุดท้ายก็ล่มสลายไป และการพิมพ์เงินเกินกว่าทองคำที่มี ในช่วงก่อนเกิด The Great Depression จริงๆ แล้วมันก็ไม่ต่างกันเลย มัน "โกง" เหมือนกัน
คิดดีๆ อีกทีนะครับว่าแท้จริงแล้ว ต้นตอของความพินาศนี้มาจาก
1. ทองคำที่ฝืดจนคนไม่ใช้จ่าย หรือ
2. การโกงระบบการเงิน นำมาสู่หนี้ปริมาณมหาศาลโดน liquidate จากการหยุดพิมพ์เงิน โดยให้ประชาชนเป็นผู้รับผิดชอบหายนะที่ไม่ได้ก่อ
#Siamstr
## มหกรรมการ "โกง" มนุษยชาติครั้งยิ่งใหญ่
# ประชาชนโดนกล่าวโทษว่าผิดที่ไม่ยอมใช้จ่ายและผู้ร้ายกลับกลายเป็น "ทองคำ"
เรื่องราวที่เราเรียนจากตำราเขาก็จะบอกว่า เป็นเพราะฮูเวอร์ไม่ยอมแทรกแซงเพื่ออุ้มเศรษฐกิจด้วยการพิมพ์เงิน ปล่อยให้ตลาดพังจนเกิดภาวะเงินฝืด จากนั้น FDR มารับช่วงต่อและแทรกแซงกลไกด้วยการพิมพ์เงินและอัดฉีดเข้าสู่เศรษฐกิจอย่างหนักหน่วงจนทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นคืนกลับมาได้และเงินฝืดอย่างทองคำถูกกล้าวหาว่าคือผู้ร้ายในเหตุการณ์นี้
แต่ว่ากันตามหลักฐานตามประวัติศาสตร์ เห็นการ "โกง" ระบบการเงินเกิดขึ้นมั้ยครับ การดึงเงินในอนาคตมาใช้ผ่านการพิมพ์เงิน และเหตุผลเริ่มต้นใหญ่ๆ คือการไปไฟแนนซ์สงคราม และตามมาด้วยการฟื้นฟูเศรษฐกิจแบบติดจรวด
โดยปกติรัฐบาลต้องระดมทุนจากการเก็บภาษีหรือการออกพันธบัตร แต่เมื่อมันจะถูกใช้ไปในสงครามที่ต้องส่งผู้คนในชาติเข้าไปรบ ประชาชนจึงไม่เห็นด้วยเพราะไม่มีใครอยากไปเข่นฆ่าผู้อื่นหรือเอาตัวเองเอาลูกเอาหลานไปตายในสงคราม
นำมาสู่ทางออกนี้
1. ประกาศระงับและจำกัดการแลกเปลี่ยนเงินกลับเป็นทองคำในภาวะสงคราม
2. เมื่อทองคำถูกห้ามแลกคืน ไม่มีการไหลเข้าไหลออกทำให้มันนิ่ง ณ จุดนี้ รัฐบาลจึงได้ความสามารถใหม่ นั่นคือ การ "พิมพ์เงิน" เกินกว่าทองคำที่ตัวเองมี เพราะไม่ต้องกังวลว่าประชาชนจะมาแห่แลกคืนจนไม่พอที่จะให้ถอน การเดินทางแห่งความวินาศจึงเริ่มต้นขึ้น
ปริมาณเงินซึ่งตอนนั้นมีสถานะตั๋วกระดาษที่สามารถแลกทองคำได้จำนวนมหาศาล ถูกพิมพ์เพิ่มไม่ยั้งสะสมยาวนานเพื่ออุดหนุนสงครามไม่รู้จบ ในระดับที่เกินกว่าทองคำที่ตัวเองมีไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
คาดการณ์ว่าทองคำสำรองมีเพียงแค่ 10% ของปริมาณเงินดอลลาร์ทั้งระบบในปี
แม้ว่าประเทศสหรัฐจะได้ผลกระทบน้อยที่สุดเพราะไม่ได้ถูกใช้เป็นสนามรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่การส่งกองกำลังข้ามน้ำข้ามทะเลไปช่วยรบมันมีต้นทุนมหาศาล รวมถึงเศรษฐกิจโลกที่หยุดชะงักโดยเฉพาะในยุโรป ก็สร้างปัญหาทางเศรษฐกิจให้กับสหรัฐรุนแรงเช่นกัน
แต่เมื่อสงครามจบลง เงินดอลลาร์ก็จำเป็นต้องกลับมาอ้างอิงกับทองคำ ความชิบหายเริ่มบังเกิด เพราะถ้ากลับไปอ้างอิงเรตเดิม สหรัฐจะล้มเพราะไม่มีทองคำเพียงพอให้ถอน ถึงจะยึดทรัพย์สมบัติมาจากประเทศที่พ่ายแพ้ได้มหาศาลแล้วก็ตาม จำเป็นต้องลดอัตราแลกเปลี่ยนลง...แต่ก็เอาไม่อยู่
จากนั้นเมกาและอังกฤษได้ทำข้อตกลงให้ USD GBP สามารถถูกใช้เป็นเงินสำรองในกลุ่มประเทศพันธมิตรได้ จุดนี้มันทำให้เงินที่พิมพ์เพิ่มปริมาณมหาศาลเหล่านี้มีที่ไป และมันยังเพิ่มขีดความสามารถในการพิมพ์เงินให้มากขึ้นกว่าเดิม เพราะมีหลายประเทศเป็นที่รองรับเงินใหม่นี้
หลังจากย่ำแย่จากสงคราม มหกรรมการพิมพ์เงินอัดฉีดเงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจก็เริ่มบังเกิดขึ้น มันถูกใช้ไปอุ้ม หุ้นใน wall street อุ้มกลุ่มธุรกิจอีลีทและอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ ส่งผลให้บางธุรกิจเติบโตสูงมาก บางธุรกิจแทบไม่เติบโตเลยโดยเฉพาะกิจการที่อยู่ไกลแหล่งเงินอุดหนุนจากการพิมพ์เพิ่ม
ธุรกิจรายกลางรายย่อยใน Real sector เข้าไม่ถึงหรือเข้าถึงช้าในเงินพิมพ์ใหม่นี้ และเม็ดเงินส่วนใหญ่มันไปงอกที่ Financial sector ตลาดการเงินพุ่งติดจรวด แต่มันเป็นการเติบโตด้วยหนี้ หนี้ หนี้ ที่มากกว่า Productivity ที่เพิ่มขึ้น
มองเผินๆ มันดูดีไปหมด เศรษฐกิจเติบโตก้าวกระโดด แต่พอมองลึกลงไป มันไม่ได้ดีต่อประชาชนอย่างที่คิด เพราะเงินใหม่นี้ "ส่วนใหญ่" มันไม่ได้ไปอยู่ในมือประชาชน มันไปงอกในมือรัฐ กลุ่มอีลีทและตลาดการเงิน แถมมันไปด้อยค่าเงินเดิมที่ประชาชนถืออยู่ ผลักราคาข้าวของให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่ผู้คนทั่วไปอยู่ดีกินดีก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลังมากขึ้น เงินที่เขามีเท่าๆ เดิมเอาไปใช้จ่ายได้น้อยลงๆ ทุกวัน ประชาชนเริ่มใช้จ่ายฝืดเคืองเนื่องจากรายได้โตไม่ทันราคาข้าวของที่แพงขึ้น กว่าเม็ดเงินใหม่จะถึงมือเขาค่าครองชีพก็พุ่งหนีไปก่อนแล้ว
##ดังนั้น เงินไม่ได้ "ฝืด" แต่ประชาชน "ไม่มีเงิน" จะใช้จ่าย
และวันฉิบหายวันวายวอดก็มาถึง มันคือวันที่สิ้นสุดข้อตกลง ยุติความสามารถในการพิมพ์เงินไม่อั้นลง (US Federal Reserve Inflationary Ended) จากเงินที่เคยพิมพ์ได้ง่ายๆ ก็ไม่ง่ายอีกต่อไป เศรษฐกิจที่ขับดันด้วยหนี้ก็เริ่มฝืดเคือง เพราะการกู้การระดมเงินทำได้ยากขึ้นแถมยังมีภาระดอกเบี้ยค้ำคอ เมื่อเงินหยุดหมุนในระบบเศรษฐกิจที่ฐานรากมันง๊อกแง๊กเพราะมีแต่หนี้...สุดท้ายมันก็พังพินาศ
การทดลอง "ระบบเศรษฐกิจที่อัดฉีดเงินไม่จำกัด" ก็จบลง อะไรก็ตามที่ใช้สารเร่งโตให้เร็วผิดปกติ สุดท้ายมันก็จะกลับเข้าหาจุดสมดุลของมัน เศรษฐกิจก็เช่นกัน และ The Great Depression คือราคาที่ต้องจ่ายของการทดลองนี้
คนที่เชื่อว่ามหาวิกฤติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงนี้ ยังไงก็เป็นเพราะการใช้ "เงินฝืด" ที่มีทองคำเป็นมาตรฐาน คุณไม่เอ๊ะใจอะไรซักนิดนึงเลยเหรอครับ ทำไมจู่ๆ ผู้คนไม่ใช้จ่าย ลดราคาแล้วก็ไม่ใช้จ่าย? อ้อ ก็เพราะคนคาดหวังว่าราคาจะลดลงอีกไงไอฟาย
สรุปง่ายไปมั้ย เงินมันกินไม่ได้ ยังไงคนก็ต้องกินต้องใช้ แค่ถ้าเงินมันเพิ่มมูลค่าขึ้น ผู้คนจะใช้เงินแบบคิดหน้าคิดหลังมากขึ้น มองย้อนไปก่อนหน้านับตั้งแต่มนุษย์ค้นพบทองคำและใช้มันเป็นเงิน ทองคำได้นำพาอารยธรรมมนุษย์เจริญรุ่งเรืองสุดขีด ทำไมมันไม่มีปัญหา?
แล้วทำไมปัญหามันต้องมาทุกครั้งเมื่อระบบการเงินรวมศูนย์และผู้ถืออำนาจพยายามจะโกงมัน ตั้งแต่จักรพรรดิกรุงโรม ผู้นำจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ต่างๆ แอบผสมโลหะราคาถูกในการหลอมเหรียญทองเพื่อเพิ่มปริมาณเหรียญ ทำไปนานเข้าเงินก็เสื่อมค่า ประชาชนต้องเจอภาวะข้าวยากหมากแพง ยากจนกันถ้วนหน้าสุดท้ายก็ล่มสลายไป และการพิมพ์เงินเกินกว่าทองคำที่มี ในช่วงก่อนเกิด The Great Depression จริงๆ แล้วมันก็ไม่ต่างกันเลย มัน "โกง" เหมือนกัน
คิดดีๆ อีกทีนะครับว่าแท้จริงแล้ว ต้นตอของความพินาศนี้มาจาก
1. ทองคำที่ฝืดจนคนไม่ใช้จ่าย หรือ
2. การโกงระบบการเงิน นำมาสู่หนี้ปริมาณมหาศาลโดน liquidate จากการหยุดพิมพ์เงิน โดยให้ประชาชนเป็นผู้รับผิดชอบหายนะที่ไม่ได้ก่อ
#Siamstr