Hipknox on Nostr: สภายาส้ม : หัวข้อ. ...
สภายาส้ม : หัวข้อ. คนแก่ญี่ปุ่นเสียดายอะไรมากที่สุดในชีวิต (ขอบคุณประเด็นของคุณนิ่ม)
---
“รู้งี้” คือคำพูดของพวกที่จมอยู่กับอดีต ส่วน “สักวัน” คือคำพูดของพวกที่เอาแต่เพ้อฝันถึงอนาคต
ทั้งสองคำพูด เป็นเพียงแค่สิ่งที่เราใช้เพื่อปลอบใจตัวเราเอง ไม่มากไปกว่านั้น
ความเป็นจริงก็คือ หลาย ๆ ครั้งในเรื่องบางเรื่องเราสามารถที่จะย้อนอดีตได้ ถึงแม้จะไม่ใช่การย้อนกลับของเวลาเพื่อการแก้ไข แต่ผ่านการคาดการณ์ถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตที่จะต้องกลายมาเป็นอดีตหลังจากมันได้ผ่านไป ตัวอย่างเช่น
ถ้าเราคาดการณ์ว่าในอนาคต ของคืนวันที่ 14 Sep 2024 ในคืนที่จะมีงาน party จิบน้ำชาของเหล่าบิตคอยเนอร์ และการได้พบปะกับเหล่าอินฟูฯหลาย ๆ ท่านอย่างใกล้ชิดภายในงาน ถ้าหาว่าเราได้ไต่ตรองดูแล้วถึงความรู้สึกของเราว่า ถ้าหากเราได้พลาดมันไป เราจะต้องกลับมาพูดกับตัวเองแน่ ๆ ว่า “รู้งี้ กูซื้อตั๋วเข้างาน party ด้วยก็ดี” ไม่น่ารู้สึกงกเฟียตในตอนนั้นเลย คุณก็แค่ต้อง “ย้อนอดีตของอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น” “ด้วยการทำมันในปัจจุบันนี้ซะ” คุณแค่ต้องไปกดซื้อตั๋วเข้างานตอนกลางคืนเพิ่มอีกใบแค่นั้นเอง จะได้ไม่ต้องมาบอกกับคนอื่น ๆ ว่า “รู้งี้” **ช่วยขายของล่ะนะ Rightshift คริคริ**
หรือในกรณีอื่น ๆ เช่น
ในอดีตคุณเคยฝันว่าอยากจะเรียนเขียนโปรแกรม และคุณก็รู้สึกว่า “รู้งี้ กูน่าจะเรียนเขียนโปรแกรมซะตั้งแต่ตอนนั้น” ในวันที่คุณกำลังนั่งหางานในเว็บสมัครงานที่มีการ request skill ในการเขียนโปรแกรม มันเป็นงานที่คุณอยากจะทำมันมาก ๆ มันเป็นความฝันและโอกาสในตอนนี้สำหรับคุณ แต่คุณกลับไม่มีทักษะเกี่ยวกับมัน ผมอยากจะบอกกับคุณว่าในอนาคตที่จะผ่านเข้ามา หากคุณไม่ได้ลงมือเริ่มเรียนเขียนโปรแกรมในวันนี้ ในวันที่คุณกำลังบอกกับตัวเองว่า “รู้งี้” ในอนาคตเมื่อมีโอกาสแบบเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง คุณก็จะมานั่งบอกกับตัวเองว่า “รู้งี้” แบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อีกครั้งไปเรื่อย ๆ จนกระทั้งวันที่คุณได้ตายไป
“รู้งี้” กูน่าจะซื้อบิตคอยน์ตั้งแต่ตอนที่มันราคา $8,000 ในวันที่มันกำลังทำ ATH ที่ $72K ถ้าคุณกำลังเป็นคนแบบนี้ ผมเชื่อเลยว่าในเวลาที่บิตคอยน์มันกำลังทำ ATH ที่ $120K คุณก็จะย้อนกลับมาคิด ถึงในวันนี้วันที่ 12 Mar 2024 ว่า “รู้งี้” กูน่าจะซื้อบิตคอยน์ตั้งแต่ตอนที่มันราคา $72K ซะก็ดี
นอกจากจะเป็นคำปลอบใจตัวเองแล้ว มันยังใช้เป็นข้ออ้างสำหรับความไม่เอาไหน จากความขี้เกียจ จากความกลัวที่จะต้องตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง
มันเป็นผลลัพธ์ที่ถูกปลูกฝังมาจากการฝึกหัดให้คุณคิดเองไม่เป็น “การไม่ต้องการที่จะมีคำตอบให้กับตัวเอง” คุณจะต้องรอให้คนอื่น ๆ “มาการันตีผลลัพธ์ของสิ่งที่คุณจะทำซะก่อน” คุณถึงจะยอมลงมือทำ เหมือนกันกับการเรียนในห้องเรียน ที่ข้อสอบมักจะเป็นชอยซ์ตัวเลือก ก. ข. ค. ง. ให้คุณได้ฝึกในการหัดเดาคำตอบของครูว่าอันไหนจะเป็นคำตอบที่ถูกที่สุดของครู ที่คุณจะได้รางวัลเป็นผลการเรียนดีเด็นของห้อง ที่ถ้าเป็นข้อสอบที่เป็นคำถามให้คุณตอบแบบไม่มีตัวเลือก ที่คุณจะต้องเขียนเพื่ออธิบายถึงคำตอบของคำถามตามที่คุณเข้าใจคุณมักจะลังเลและคิดไม่ออกว่าจะต้องตอบแบบไหนดี
คุณถูกฝึกให้คิดตามสิ่งที่คนอื่นบอกกับคุณว่าถูกต้อง เพราะงั้นคุณถึงต้องมานั่งเสียใจในวันนี้กับสิ่งที่คุณได้พลาดกับมันไป ด้วยการไม่ได้ตัดสินใจทำมันลงไปด้วยความคิดที่มาจากการมีคำตอบให้กับตัวเอง
คุณแค่ต้องออกจากคอมฟอร์ทโซนด้วยการ “ฝึกที่จะมีคำตอบให้กับตัวเอง” และ “เลิกรอการการันตีจากผู้อื่น” เมื่อคุณเริ่มลงมือทำในสิ่งที่คุณมีคำตอบกับตัวเองได้แล้ว มันก็จะไม่มีความรู้สึกเสียดายทีหลัง ตามคำว่า “รู้งี้” และคุณจะเลิกผลัดวันประกันพรุ่ง ตามคำว่า “สักวัน”
ทั้งสองคำนี้เป็นคำที่อันตรายต่อตัวคุณเอง มันเป็นคำที่จะทำให้คุณต้องจมปลักติดอยู่กับอดีต และเพ้อฝันถึงอนาคตที่ไม่มีวันเกิดขึ้น มันทำให้คุณไปได้ไม่ถึงไหน
ถ้าหากคุณมีคำตอบให้กับตัวเองแล้ว มันจะไม่คำว่า “รู้งี้” และ “สักวัน” อีกต่อไป
พักเที่ยงแล้วโว้ย... #Siamstr
---
“รู้งี้” คือคำพูดของพวกที่จมอยู่กับอดีต ส่วน “สักวัน” คือคำพูดของพวกที่เอาแต่เพ้อฝันถึงอนาคต
ทั้งสองคำพูด เป็นเพียงแค่สิ่งที่เราใช้เพื่อปลอบใจตัวเราเอง ไม่มากไปกว่านั้น
ความเป็นจริงก็คือ หลาย ๆ ครั้งในเรื่องบางเรื่องเราสามารถที่จะย้อนอดีตได้ ถึงแม้จะไม่ใช่การย้อนกลับของเวลาเพื่อการแก้ไข แต่ผ่านการคาดการณ์ถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตที่จะต้องกลายมาเป็นอดีตหลังจากมันได้ผ่านไป ตัวอย่างเช่น
ถ้าเราคาดการณ์ว่าในอนาคต ของคืนวันที่ 14 Sep 2024 ในคืนที่จะมีงาน party จิบน้ำชาของเหล่าบิตคอยเนอร์ และการได้พบปะกับเหล่าอินฟูฯหลาย ๆ ท่านอย่างใกล้ชิดภายในงาน ถ้าหาว่าเราได้ไต่ตรองดูแล้วถึงความรู้สึกของเราว่า ถ้าหากเราได้พลาดมันไป เราจะต้องกลับมาพูดกับตัวเองแน่ ๆ ว่า “รู้งี้ กูซื้อตั๋วเข้างาน party ด้วยก็ดี” ไม่น่ารู้สึกงกเฟียตในตอนนั้นเลย คุณก็แค่ต้อง “ย้อนอดีตของอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น” “ด้วยการทำมันในปัจจุบันนี้ซะ” คุณแค่ต้องไปกดซื้อตั๋วเข้างานตอนกลางคืนเพิ่มอีกใบแค่นั้นเอง จะได้ไม่ต้องมาบอกกับคนอื่น ๆ ว่า “รู้งี้” **ช่วยขายของล่ะนะ Rightshift คริคริ**
หรือในกรณีอื่น ๆ เช่น
ในอดีตคุณเคยฝันว่าอยากจะเรียนเขียนโปรแกรม และคุณก็รู้สึกว่า “รู้งี้ กูน่าจะเรียนเขียนโปรแกรมซะตั้งแต่ตอนนั้น” ในวันที่คุณกำลังนั่งหางานในเว็บสมัครงานที่มีการ request skill ในการเขียนโปรแกรม มันเป็นงานที่คุณอยากจะทำมันมาก ๆ มันเป็นความฝันและโอกาสในตอนนี้สำหรับคุณ แต่คุณกลับไม่มีทักษะเกี่ยวกับมัน ผมอยากจะบอกกับคุณว่าในอนาคตที่จะผ่านเข้ามา หากคุณไม่ได้ลงมือเริ่มเรียนเขียนโปรแกรมในวันนี้ ในวันที่คุณกำลังบอกกับตัวเองว่า “รู้งี้” ในอนาคตเมื่อมีโอกาสแบบเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง คุณก็จะมานั่งบอกกับตัวเองว่า “รู้งี้” แบบเดิม ๆ ซ้ำ ๆ อีกครั้งไปเรื่อย ๆ จนกระทั้งวันที่คุณได้ตายไป
“รู้งี้” กูน่าจะซื้อบิตคอยน์ตั้งแต่ตอนที่มันราคา $8,000 ในวันที่มันกำลังทำ ATH ที่ $72K ถ้าคุณกำลังเป็นคนแบบนี้ ผมเชื่อเลยว่าในเวลาที่บิตคอยน์มันกำลังทำ ATH ที่ $120K คุณก็จะย้อนกลับมาคิด ถึงในวันนี้วันที่ 12 Mar 2024 ว่า “รู้งี้” กูน่าจะซื้อบิตคอยน์ตั้งแต่ตอนที่มันราคา $72K ซะก็ดี
นอกจากจะเป็นคำปลอบใจตัวเองแล้ว มันยังใช้เป็นข้ออ้างสำหรับความไม่เอาไหน จากความขี้เกียจ จากความกลัวที่จะต้องตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง
มันเป็นผลลัพธ์ที่ถูกปลูกฝังมาจากการฝึกหัดให้คุณคิดเองไม่เป็น “การไม่ต้องการที่จะมีคำตอบให้กับตัวเอง” คุณจะต้องรอให้คนอื่น ๆ “มาการันตีผลลัพธ์ของสิ่งที่คุณจะทำซะก่อน” คุณถึงจะยอมลงมือทำ เหมือนกันกับการเรียนในห้องเรียน ที่ข้อสอบมักจะเป็นชอยซ์ตัวเลือก ก. ข. ค. ง. ให้คุณได้ฝึกในการหัดเดาคำตอบของครูว่าอันไหนจะเป็นคำตอบที่ถูกที่สุดของครู ที่คุณจะได้รางวัลเป็นผลการเรียนดีเด็นของห้อง ที่ถ้าเป็นข้อสอบที่เป็นคำถามให้คุณตอบแบบไม่มีตัวเลือก ที่คุณจะต้องเขียนเพื่ออธิบายถึงคำตอบของคำถามตามที่คุณเข้าใจคุณมักจะลังเลและคิดไม่ออกว่าจะต้องตอบแบบไหนดี
คุณถูกฝึกให้คิดตามสิ่งที่คนอื่นบอกกับคุณว่าถูกต้อง เพราะงั้นคุณถึงต้องมานั่งเสียใจในวันนี้กับสิ่งที่คุณได้พลาดกับมันไป ด้วยการไม่ได้ตัดสินใจทำมันลงไปด้วยความคิดที่มาจากการมีคำตอบให้กับตัวเอง
คุณแค่ต้องออกจากคอมฟอร์ทโซนด้วยการ “ฝึกที่จะมีคำตอบให้กับตัวเอง” และ “เลิกรอการการันตีจากผู้อื่น” เมื่อคุณเริ่มลงมือทำในสิ่งที่คุณมีคำตอบกับตัวเองได้แล้ว มันก็จะไม่มีความรู้สึกเสียดายทีหลัง ตามคำว่า “รู้งี้” และคุณจะเลิกผลัดวันประกันพรุ่ง ตามคำว่า “สักวัน”
ทั้งสองคำนี้เป็นคำที่อันตรายต่อตัวคุณเอง มันเป็นคำที่จะทำให้คุณต้องจมปลักติดอยู่กับอดีต และเพ้อฝันถึงอนาคตที่ไม่มีวันเกิดขึ้น มันทำให้คุณไปได้ไม่ถึงไหน
ถ้าหากคุณมีคำตอบให้กับตัวเองแล้ว มันจะไม่คำว่า “รู้งี้” และ “สักวัน” อีกต่อไป
พักเที่ยงแล้วโว้ย... #Siamstr