What is Nostr?
lvlick
npub1upr…vysq
2024-08-05 14:48:48

lvlick on Nostr: GN ล่วงหน้าครับ ...

GN ล่วงหน้าครับ โน้ตนี้เป็นตัวอย่างของการเกิดของกระแสปฏิจจสมุปบาท ที่ไม่ซับซ้อนมากเป็นภาพกว้างๆ ค่อนข้างยาวเลย ยังไงก็ค่อยๆ พิจารณากันนะครับ เดินทางมาถึงครึ่งทางของคำชี้แจงการศึกษาเรื่องนี้แล้ว(ปล.เผื่อคนที่ผ่านมาเห็นครั้งแรก ข้อความในโน้ตผมทำให้กระชับขึ้นจากหนังสือ ปฏิจจสมุปบาทของพุทธทาส)
ตัวอย่างที่ 1 กระแสปฏิจจสมุปบาทเกิด
เด็กเล็กๆคนหนึ่งร้องไห้จ้าขึ้นมา เพราะตุ๊กตาตกแตก เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังว่าเป็นอย่างไร พอเขาเห็นตุ๊กตาตกแตกนี้เรียกว่าตากับรูปกระทบกันเกิดจักษุวิญญาณรู้ว่าตุ๊กตาตกแตก ตามธรรมดาเด็กคนนี้ประกอบอยู่ด้วยอวิชชา เพราะว่าเขาไม่เคยรู้ธรรมะอะไรเลย เมื่อตุ๊กตาตกแตกนั้นใจของเขาประกอบอยู่ด้วยอวิชชา
อวิชชาจึงปรุงแต่งให้เกิดสังขาร คืออำนาจชนิดหนึ่งที่จะให้เกิดความคิดนึกอันหนึ่งที่จะเป็นวิญญาณ
สิ่งที่เรียกว่าวิญญาณก็คือเห็นตุ๊กตาตกแตก แล้วรู้ว่าตุ๊กตาตกแตกอันนี้เป็นวิญญาณทางตา แล้วมีอวิชชาอยู่ในขณะนั้น คือไม่มีสติ เพราะไม่มีความรู้เรื่องธรรมะเลยจึงเรียกว่า จึงเรียกว่าไม่มีสติและมีอวิชชาอยู่ ฉะนั้นจึงเกิดอำนาจปรุงแต่งวิญญาณที่จะเห็นรูปนี้ไปในทางที่จะเป็นทุกข์ เมื่อตากับรูปคือตุ๊กตาแล้วกับวิญญาณที่รู้นี้รวมกันเรียกว่า ผัสสะ
เดี๋ยวนี้ผัสสะทางตาได้เกิดขึ้นแก่เด็กคนนี้ แล้วจากผัสสะอันนี้ถ้าจะพูดให้ละเอียดก็ว่าให้เกิดนามรูป คือร่างกายและใจของเด็กคนนี้ขึ้นมาก่อนชนิดที่พร้อมสำหรับที่จะเป็นทุกข์
ขอให้รู้ว่า ตามธรรมดาร่างกายจิตใจของเราไม่อยู่ในลักษณะที่จะเป็นทุกข์จะต้องมีอวิชชาหรืออะไรมาปรุงแต่ง ให้มันเปลี่ยนมาอยู่ในลักษณะที่มันอาจจะเป็นทุกข์ ดังนั้นจึงเรียกว่า นามรูปก็เพิ่งเกิดเดี๋ยวนี้เฉพาะกรณีนี้ หมายความว่ามันปรุงแต่งวิญญาณด้วยอวิชชานี้ขึ้นมาแล้ววิญญาณก็จะช่วยทำให้ร่างกายกับจิตใจนี้เปลี่ยนสภาพลุกขึ้นมาสำหรับทำหน้าที่พร้อมที่จะเป็นทุกข์
และในนามรูปชนิดนี้ขณะที่เกิดมีอายตนะอันพร้อมที่จะเป็นทุกข์คือไม่หลับอยู่ตามปกติแล้วมันก็มีผัสสะที่สมบูรณ์พร้อมที่จะเป็นทุกข์เฉพาะกรณีนี้แล้วมันก็มีเวทนาคือความรู้สึกเป็นทุกข์ แล้วเวทนาที่เป็นความทุกข์นี้ทำให้เกิดปัญหา คือความอยากไปตามอำนาจของความทุกข์นั้น อุปาทานยึดมั่นเป็นความทุกข์ของกู มันก็เกิดกูขึ้นมาเรียกว่าภพ แล้วเบิกบานเต็มที่เรียกว่าชาติ แล้วมีความทุกข์ในเรื่องตุ๊กตาแตกนี้คือร้องไห้ นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าอุปายาส แปลว่าความเหี่ยวแห้งใจอย่างยิ่ง
ที่นี้เรื่องชาติมันมีความหมายกว้างคือรวมชรามรณะอะไรไว้เสร็จ ถ้าไม่มีอวิชชาก็จะไม่ถือว่าตุ๊กตาแตกแล้วจะไม่มีทุกข์แต่อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เดี๋ยวนี้ทุกข์มันเกิดเต็มที่เพราะว่ามันอุปทานว่าตัวกู ตุ๊กตาของกู แล้วตุ๊กตาก็แตกแล้ว แล้วก็ทำอะไรไม่ถูกเพราะมีอวิชชา ดังนั้นจึงร้องไห้ ร้องไห้คืออาการของความทุกข์ขึ้นสูงสุดเต็มที่ถึงที่สุดของปฏิจจสมุปบาท
ตรงนี้คนโดยมากฟังไม่เข้าใจในข้อลี้ลับของข้อที่ว่าภาษาธรรมะหรือภาษาปฏิจจสมุปบาท นี้เขาไม่ได้ถือว่า คนได้เกิดอยู่แล้วตลอดเวลา หรือว่านามรูปได้เกิดอยู่แล้ว หรืออายตนะได้เกิดอยู่แล้ว ถือว่าเท่ากับยังไม่ได้เกิด เพราะมันยังไม่ได้ทำอะไรตามหน้าที่ ต่อเมื่อมีธรรมชาติอันใดอันหนึ่งมาปรุงแต่งให้มันทำหน้าที่ เมื่อนั้นจึงจะเรียกว่าเกิด เช่นลูกตาของเรา เราก็ถือว่ามีอยู่แล้วหรือเกิดอยู่แล้ว แต่ตามทางธรรมะถือว่ายังไม่ได้เกิด จนกว่าเมื่อใดตานั้นจะเห็นรูป ทำหน้าที่การเห็นรูป จึงจะเรียกว่ามีตาเกิดขึ้นมา แล้วรูปก็เกิดขึ้นมา แล้ววิญญาณทางตานั้นก็เกิดขึ้นมา 3 อย่างนี้ช่วยกัน ทำให้สิ่งที่เรียกว่าผัสสะเกิดขึ้นมา แล้วผัสสะนี้ทำให้เกิดเวทนา ตัณหา เรื่อยไปจนตลอดสาย
ถ้าต่อมาเด็กคนนี้ เอาเรื่องตุ๊กตาแตกมานอนคิดแล้วนอนร้องไห้อยู่อีก กลายเป็นเรื่องมโนวิญญาณ ไม่ใช่ทางจักษุวิญญาณแล้ว คือเขาคิดนึกถึงตุ๊กตาที่แตก เป็นเรื่องความคิดที่เป็นธรรมารมณ์ แล้วทำอารมณ์กับใจสัมผัสกัน ทำให้เกิดมโนวิญญาณ นี้มันสร้างนามรูปคือกายกับใจในขณะนั้น ให้เปลี่ยนปั๊บไปเป็น นามรูปที่จะเป็นที่ตั้งของอายตนะที่จะเป็นทุกข์ อายตนะนั้นก็จะสร้างให้เกิดผัสสะชนิดที่เป็นที่ตั้งของความทุกข์ เกิดเวทนาตัณหาอุปาทานจนเป็นทุกข์จนนองร้องไห้อยู่อีกครั้งหนึ่งทั้งที่ตุ๊กตามันแตกมาตั้งหลายวันแล้วความคิดที่ปรุงแต่งทยอยกันอย่างนี้เรียกว่าปฏิจจสมุปบาทมีอยู่ในคนเราเป็นประจำวัน
ตัวอย่างที่ 2
ยกตัวอย่างอีกว่านักเรียนคนหนึ่งสอบไล่ตกนอนร้องไห้อยู่หรือสมมุติว่าเป็นลม ในบัญชีไม่มีชื่อของตัวแสดงว่าสอบไล่ตก เขาเห็นประกาศด้วยตา ประกาศนั้นมีความหมาย มันไม่ใช่รูปเฉยๆ มันเป็นรูปที่มีความหมายบอกให้เขารู้ว่าอย่างไรสำหรับเขานั้น เมื่อเห็นด้วยตา เกิดจากสุวิญญาณ ชนิดที่จะทำให้น้ำลูก คือร่างกายจิตใจตามปกติ เปลี่ยนไปเป็นลักษณะอย่างอื่น คือลักษณะให้เกิดอายตนะแล้วผัสสะที่จะเป็นทุกข์
อายตนะที่อยู่ตามปกตินั้นไม่เป็นทุกข์ เพราะถูกปรุงแต่งอย่างนี้ มันจะต้องเป็นทุกข์ คือจะช่วยไปในทางที่ให้เกิดทุกข์ คือมีผัสสะ เวทนา เรื่อยไปจนครบ เป็นตัวกูที่สอบไล่ตก แล้วเป็นลมล้มพับลงไปในช่วงที่ตายเห็นประกาศนั้น อย่างนี้เรียกว่าปฏิจจสมุปบาททำงานไปแล้วตลอดทั้ง 11 อาการ เขามีตัวกูที่สอบไล่ตกเป็นทุกอย่างยิ่งเป็นโทมนัส เป็นอุปายาส
หลายวันต่อมา เขานึกถึงเรื่องนี้ก็ยังเป็นลมอีก มีอาการอย่างเดียวกัน คือเป็นปฏิจจสมุปบาทอย่างเดียวกัน แต่ครั้งนี้อาศัยมโนทวาร หรือมโนวิญญาณ วิญญาณอย่างนี้เกิดแล้วก็สร้างนามรูปที่จะเป็นทุกข์ สร้างอายตนะที่จะเป็นทุกข์ ผัสสะเวทนาที่จะเป็นทุกข์ แล้วก็ปรุงเรื่อยไปเพื่อเป็นทุกข์ไปตามลำดับ จนถึงขั้นสุดเมื่อเป็นชาติเป็นตัวกูสอบไล่ตกอีกทีนึง
ตัวอย่างที่ 3
หญิงสาวคนนึงเห็นแฟนของตัวไปควงอยู่กับผู้หญิงคนอื่น มันก็มีหัวอกหัวใจร้อน เหมือนกับนรกเข้าไปอยู่ในนั้น
ภายในชั่วอึดใจเดียว หลังจากที่เห็นแฟนไปควงกับผู้หญิงคนอื่น นี่หมายความว่าตาของเขากระทบกับลูกลูกของแฟนที่ควรอยู่กับผู้หญิงคนอื่นแล้วมันก็สร้างวิญญาณ คือจักษุวิญญาณ ก่อนหน้านี้ไม่มีวิญญาณชนิดนี้ มีแต่วิญญาณที่ไม่ทำหน้าที่อะไร หรือเรียกได้ว่าไม่ได้มี ทีนี้วิญญาณกับรูปกับตานี้รวมกันเป็นผัสสะ เมื่อตะกี้นี้ผัสสะไม่ได้มี เดี๋ยวนี้มี ผัสสะคือการกระทบระหว่างตา กับรูป กับจักษุวิญญาณ แล้วก็เรื่อยไปจนครบทั้ง 11 อาการ ชนิดที่ยึดถือชาตินี้ให้เป็นความทุกข์ เป็นความสูญเสียของตัวเอง มีโทมนัสมีอุปายาส
ที่นี้สมมุติว่าผู้หญิงคนนี้ถูกเพื่อนหลอก ที่จริงแฟนของเขาไม่ได้ไปควงกับใครที่ไหน แต่เกิดความเชื่อผ่านเสียงที่เข้ามากระทบหู เกิดโสตะวิญญาณที่ประกอบอยู่ด้วยอวิชชา ไม่มีสติ วิญญาณนี้ก็จะสร้างนามรูป กายกับใจของเขาอันใหม่ทันที สำหรับที่จะมีอายตนะที่จะทำหน้าที่ให้เป็นทุกข์โดยสมบูรณ์
ต่อมาเกิดนึกระแวงขึ้นไม่มีใครบอกไม่ได้เห็นด้วยตานึกขึ้นมาในใจว่าแฟนไปควงผู้หญิงอื่นแน่ อย่างนี้ปฏิจจสมุปบาทก็เกิดขึ้นทางมโนทวาร คือธัมมารมณ์กระทบมโนเกิดมโนวิญญาณ มโนวิญญาณก็สร้างนามรูปใหม่คือเปลี่ยนนามรูปร่างกายจิตใจเปล่าๆที่ไม่ทำอะไร ให้เป็นร่างกายและใจที่จะเป็นทุกข์ขึ้นมา เรื่อยไปจนครบสายของอาการ
ตัวอย่างที่ 4
ใครคนหนึ่งกำลังเคี้ยวอาหารอย่างเอร็ดอร่อยอยู่ในปาก กินของที่อร่อยนั้นคนธรรมดาต้องขาดสติเสมอ ต้องเผลอสติ ต้องมีอวิชชาครอบงำเสมอ ขอให้เข้าใจไว้อย่างนั้น เมื่อกำลังกินอะไรอร่อยที่สุดนี้ มันเป็นเวลาที่เผลอสติเพราะความอร่อย มีอวิชชาผสมอยู่ด้วยเสร็จ ความคิดของคนที่อร่อยทางลิ้นนี้เป็นปฏิจจสมุปบาทเต็มรอบอยู่แล้ว คือรสกระทบลิ้น เกิดชิวหาวิญญาณ สร้างนามรูปขึ้นใหม่ไปตามอาการ ถ้าอร่อยมันก็เป็นสุขตามภาษาชาวบ้าน แต่พอไปยึดถือความอร่อยเข้าเท่านั้น เป็นอุปาทานไปในทางที่จะเป็นทุกข์เพราะหวงในความอร่อย ยึดมั่นถือมั่นวิตกกังวลในความอร่อย ก็กลายเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที ยังมีต่อไปว่า เพราะเขากินอร่อยนั่นแหละ เลยคิดว่าพรุ่งนี้จะไปขโมยมันมากินอีก เกิดเป็นโจรขึ้นมาในขณะนั้น ความคิดเป็นโจรนี่เป็นภพๆหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจ ถ้ากินเนื้อสัตว์อร่อยคิดว่าพรุ่งนี้จะไปยิงไปฆ่ามากินอีก ก็เกิดเป็นนายพรานขึ้นมา หรือแม้แต่ว่ามันหลงอร่อยจริงอร่อยจังก็เกิดเป็นเทวดาที่กลุ้มอยู่ด้วยความอร่อย หรือมันอร่อยถึงขนาดที่ว่าปากเคี้ยวไม่ทันใจยา นี่ก็เป็นเปรตขึ้นมา
เพียงแค่ชั่วเขียวอาหารอร่อยในปากนี้ยังเป็นปฏิจจสมุปบาทได้หลายชนิด ฉะนั้นขอให้สังเกตให้ดีๆว่าปฏิจจสมุปบาทนั้นคือเรื่องของวงจรของความทุกข์ ที่เกิดขึ้นมาเต็มรูปเพราะอำนาจความยึดถือ ต้องมีอุปทานความยึดถือด้วย จึงจะเป็นทุกข์ตามความหมายของปฏิจจสมุปบาท ถ้ายังไม่ทันยึดถือ แม้จะมีความทุกข์อย่างไรก็ไม่ใช่ความทุกข์ในปฏิจจสมุปบาท
#siamstr #ปฏิจจสมุปบาท #พ่อออกค้ำ
Author Public Key
npub1uprlst7kjp0eyfxe4yn7q36gr885mjr9fm6ejfqt8pmdta7stv9s2xvysq