jattawa on Nostr: ...
ขอแชร์เรื่องเล่าเล็กๆน้อยครับผม เขียนไว้เมื่อหลายปีก่อน
ปากเซโดยบังเอิญ
#คนเพ้อเจ้อที่เดินเหม่อไปเรื่อย
เรื่อง ฝุ่น
ฝุ่นแดงที่เกรอะกรังอยู่ตามตัวและใบหน้า และมันจะกลับมาเช่นเดิมทุกครั้งที่เราเช็ดมันออกแม้ว่าคุณอาจจะนั่งอยู่เฉยๆก็ตาม มันจะตามเราไปทุกที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนของปากเซเพราะมันฝังอยู่ในทุกอณูของอากาศ ผมนั่งอยู่ที่ท่ารถหลักแปด ผมเดาว่าอาคารหลังนี้คงเคยเป็นสีขาวมาก่อน เพียงแค่ตอนนี้มันถูกฉาบทาไปด้วยสีน้ำตาลอมส้มของฝุ่นที่คลุ้งอยู่เสมอเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้าไปสัมผัสให้ลอยวนไปตามแรงลม มันเกรอะกรังจนไม่รู้ว่าพื้นที่ผมเหยียบอยู่นั้นแท้จริงคือพื้นซีเมนต์หรือพื้นดินกันแน่ ผมรอด้วยความกังวลใจว่าอีกนานเพียงใดกว่ารถจะออกเดินทาง มันผ่านมาราวสองชั่วโมงแต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีทีท่า ทั้งที่มันไม่น่าจะมีที่เหลือพอสำหรับผู้โดยสารหรือหมาแมวตัวใดแทรกตัวได้อีกแล้ว
นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังดูเหมือนว่าเข็มของมันจะเยื้องย่างอย่างอืดอาดเต็มที แต่ละนาทีที่ผ่านพ้นดูเหมือนจะยาวนานกว่าที่เคย ผู้คนที่นี่มีเวลาเหลือเฟือในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ผิดกับผู้คนในเมืองศิวิไลซ์ ทุกคนต่างเร่งรีบกับสิ่งที่ตัวเองต้องทำและหวงแหนเวลาซึ่งถือว่าเป็นของสำคัญที่มิอาจเสียสละร่วมใช้กับผู้อื่นได้ แต่ผู้คนในรถคันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น สามชั่วโมงผ่านไปรถจึงเคลื่อนตัวออกเดินทาง ผู้หญิงสองคนที่เดินทางมากับผมนั่งอยู่หน้ารถข้างคนขับ ผมนั่งอยู่ท้ายสุดของที่นั่งที่เป็นเบาะแต่ไม่ท้ายที่สุดเพราะยังมีอีกสามคนที่ยืนห้อยท้ายและอีกสองคนนั่งบนกระสอบปุ๋ยที่อยู่ท้ายรถซึ่งมีเหล็กต่อยื่นออกไป รถค่อนข้างเล็กถ้าให้เปรียบคงคล้ายกับรถกระเป๊าะแถวตลาดบางประกอกแต่อาจจะใหญ่กว่า ในตอนแรกผมคะเนด้วยสายตาแล้วน่าจะบรรจุคนได้แค่ไม่เกินสิบสองคนเมื่อรวมข้าวของทั้งหลายแล้ว แต่มันกลับบรรจุได้ถึงสิบแปดคนพร้อมกับสัมภาระที่เยอะเหมือนย้ายบ้าน จึงทำให้การนั่งของทุกคนอยู่ในท่าที่ไม่สามารถขยับตัวได้อีกต่อไป ความเมื่อยล้าจึงกลายเป็นภาระที่ติดตามตัวไปตลอดเส้นทาง แต่กลับไม่มีอาการที่บ่งบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาจากผู้คนที่ร่วมเดินทางมาในรถคันเดียวกับผมเลยความเมื่อยล้าดูไม่ใช่ภาระสำหรับทุกคนบนรถยกเว้นผม ผมจึงได้แต่พยายามลืมๆมันไป มันเป็นถนนลูกรังแคบที่ไม่สามารถวิ่งสวนไปมาได้ สองข้างทางมีแต่ป่าเขา และฝุ่นที่คลุ้งวนไปตามแรงลมที่ประทะจากความเร็วของรถ เรากำลังไปบ้านของสาวลาวเพื่อนร่วมงานของผมด้วยรถโดยสารที่วิ่งอยู่ราวหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงหรืออาจจะช้ากว่า วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนระอุ ผมนั่งอยู่เงียบๆคนเดียว เสื้อลายดอกกับกางเกงขาสั้นสีเทาอ่อนคงบ่งบอกลักษณะทางกายภาพได้ว่าผมเป็นคนต่างถิ่น แต่ด้วยลักษณะหน้าตาคงเดาได้ไม่ยากว่าผมคือคนไทย ความเงียบของผมอาจทำให้ใครบางคนบนรถโดยสารนึกสงสารจนต้องเปิดบทสนทนาหรืออาจจะเป็นวิถีปกติของผู้คนที่นี่ ผมได้แต่ยิ้มเพราะฟังไม่รู้ความ หลังจากนั้นสาวลาวอีกคนจึงเริ่มต้นใหม่อีกครั้งด้วยภาษาไทย จริงๆแล้วภาษาเราใกล้เคียงกับภาษาอีสานเพียงแต่ผมไม่คุ้นเคย ไม่นานวงสนทนาจึงขยายวงมากขึ้นกลายเป็นว่าเราคุยกันทั้งคัน หลายคนพยายามเว้าลาวกับผมและพยายามอธิบายให้ฟังเมื่อผมทำหน้างงและยกมือขึ้นเกาหัว เรื่องเล่าต่างๆนานาถูกเล่าผ่านรอยยิ้มที่ใสซื่อด้วยแววตาที่ละเอียดอ่อนของแต่ละคนประหนึ่งว่าผมคือเพื่อนร่วมทางที่คุ้นเคย เรื่องราวดีๆเกิดขึ้นมากมายบนรถคันนี้ จนผมลืมความเมื่อยล้าที่คอยจิกขบขาทั้งสองข้างจากความเนืองแน่นของผู้คนและสัมภาระต่างๆนานาที่เบียดแย่งจนผมต้องนั่งชันอยู่บนรถที่ขับด้วยความช้าอย่างซื่อตรงที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดและไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอีกกี่ชั่วโมงกว่ารถจะถึงที่หมาย
เพื่อนร่วมทางของผมในวันนี้เป็นคนต่างที่ ต่างถิ่น ต่างภาษา ต่างเชื้อชาติ ถึงแม้จะเบียดเสียดจนเมื่อยล้าแต่เพราะทุกคนคือเพื่อนร่วมทาง เป็นมิตรภาพที่สร้างขึ้นด้วยความรวดเร็ว ใจเท่านั้นคือราคาซื้อขายของมิตรภาพบนรถคันนี้ ผมจึงยินดีที่จะเก็บความหงุดหงิดและความเมื่อยล้านั้นไว้ ผมเดาเอาว่าคงเพราะพวกเขาคิดเช่นนี้ ทุกคนจึงสามารถเสียสละเวลาให้กันและกันได้ สิ่งต่างๆที่ผมคิดว่าเป็นภาระและเป็นปัญหาจึงไม่ใช่สำหรับพวกเขา ต่างจากที่บ้านของผมที่ยกตัวเองว่าเป็นประเทศที่พัฒนาไปไกลกว่า เราเบียดเสียดและแออัดเช่นเดียวกัน แต่เรากลับบึ้งตึงใส่กันราวกับคนแปลกหน้าทั้งทั้งที่เราพูดภาษาเดียวกันและกลับบ้านทางเดียวกัน
เรื่องราวดีๆในปากเซคงเหมือนกับฝุ่นแดง ที่เกรอะกรังอยู่ในหัวใจแม้ว่าผมอาจจะนั่งอยู่เฉยๆ
แด่มิตรภาพจากเพื่อนมนุษย์
Johnny England.
ปากเซโดยบังเอิญ
#คนเพ้อเจ้อที่เดินเหม่อไปเรื่อย
เรื่อง ฝุ่น
ฝุ่นแดงที่เกรอะกรังอยู่ตามตัวและใบหน้า และมันจะกลับมาเช่นเดิมทุกครั้งที่เราเช็ดมันออกแม้ว่าคุณอาจจะนั่งอยู่เฉยๆก็ตาม มันจะตามเราไปทุกที่ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนของปากเซเพราะมันฝังอยู่ในทุกอณูของอากาศ ผมนั่งอยู่ที่ท่ารถหลักแปด ผมเดาว่าอาคารหลังนี้คงเคยเป็นสีขาวมาก่อน เพียงแค่ตอนนี้มันถูกฉาบทาไปด้วยสีน้ำตาลอมส้มของฝุ่นที่คลุ้งอยู่เสมอเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเข้าไปสัมผัสให้ลอยวนไปตามแรงลม มันเกรอะกรังจนไม่รู้ว่าพื้นที่ผมเหยียบอยู่นั้นแท้จริงคือพื้นซีเมนต์หรือพื้นดินกันแน่ ผมรอด้วยความกังวลใจว่าอีกนานเพียงใดกว่ารถจะออกเดินทาง มันผ่านมาราวสองชั่วโมงแต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีทีท่า ทั้งที่มันไม่น่าจะมีที่เหลือพอสำหรับผู้โดยสารหรือหมาแมวตัวใดแทรกตัวได้อีกแล้ว
นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังดูเหมือนว่าเข็มของมันจะเยื้องย่างอย่างอืดอาดเต็มที แต่ละนาทีที่ผ่านพ้นดูเหมือนจะยาวนานกว่าที่เคย ผู้คนที่นี่มีเวลาเหลือเฟือในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ผิดกับผู้คนในเมืองศิวิไลซ์ ทุกคนต่างเร่งรีบกับสิ่งที่ตัวเองต้องทำและหวงแหนเวลาซึ่งถือว่าเป็นของสำคัญที่มิอาจเสียสละร่วมใช้กับผู้อื่นได้ แต่ผู้คนในรถคันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น สามชั่วโมงผ่านไปรถจึงเคลื่อนตัวออกเดินทาง ผู้หญิงสองคนที่เดินทางมากับผมนั่งอยู่หน้ารถข้างคนขับ ผมนั่งอยู่ท้ายสุดของที่นั่งที่เป็นเบาะแต่ไม่ท้ายที่สุดเพราะยังมีอีกสามคนที่ยืนห้อยท้ายและอีกสองคนนั่งบนกระสอบปุ๋ยที่อยู่ท้ายรถซึ่งมีเหล็กต่อยื่นออกไป รถค่อนข้างเล็กถ้าให้เปรียบคงคล้ายกับรถกระเป๊าะแถวตลาดบางประกอกแต่อาจจะใหญ่กว่า ในตอนแรกผมคะเนด้วยสายตาแล้วน่าจะบรรจุคนได้แค่ไม่เกินสิบสองคนเมื่อรวมข้าวของทั้งหลายแล้ว แต่มันกลับบรรจุได้ถึงสิบแปดคนพร้อมกับสัมภาระที่เยอะเหมือนย้ายบ้าน จึงทำให้การนั่งของทุกคนอยู่ในท่าที่ไม่สามารถขยับตัวได้อีกต่อไป ความเมื่อยล้าจึงกลายเป็นภาระที่ติดตามตัวไปตลอดเส้นทาง แต่กลับไม่มีอาการที่บ่งบอกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาจากผู้คนที่ร่วมเดินทางมาในรถคันเดียวกับผมเลยความเมื่อยล้าดูไม่ใช่ภาระสำหรับทุกคนบนรถยกเว้นผม ผมจึงได้แต่พยายามลืมๆมันไป มันเป็นถนนลูกรังแคบที่ไม่สามารถวิ่งสวนไปมาได้ สองข้างทางมีแต่ป่าเขา และฝุ่นที่คลุ้งวนไปตามแรงลมที่ประทะจากความเร็วของรถ เรากำลังไปบ้านของสาวลาวเพื่อนร่วมงานของผมด้วยรถโดยสารที่วิ่งอยู่ราวหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงหรืออาจจะช้ากว่า วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนระอุ ผมนั่งอยู่เงียบๆคนเดียว เสื้อลายดอกกับกางเกงขาสั้นสีเทาอ่อนคงบ่งบอกลักษณะทางกายภาพได้ว่าผมเป็นคนต่างถิ่น แต่ด้วยลักษณะหน้าตาคงเดาได้ไม่ยากว่าผมคือคนไทย ความเงียบของผมอาจทำให้ใครบางคนบนรถโดยสารนึกสงสารจนต้องเปิดบทสนทนาหรืออาจจะเป็นวิถีปกติของผู้คนที่นี่ ผมได้แต่ยิ้มเพราะฟังไม่รู้ความ หลังจากนั้นสาวลาวอีกคนจึงเริ่มต้นใหม่อีกครั้งด้วยภาษาไทย จริงๆแล้วภาษาเราใกล้เคียงกับภาษาอีสานเพียงแต่ผมไม่คุ้นเคย ไม่นานวงสนทนาจึงขยายวงมากขึ้นกลายเป็นว่าเราคุยกันทั้งคัน หลายคนพยายามเว้าลาวกับผมและพยายามอธิบายให้ฟังเมื่อผมทำหน้างงและยกมือขึ้นเกาหัว เรื่องเล่าต่างๆนานาถูกเล่าผ่านรอยยิ้มที่ใสซื่อด้วยแววตาที่ละเอียดอ่อนของแต่ละคนประหนึ่งว่าผมคือเพื่อนร่วมทางที่คุ้นเคย เรื่องราวดีๆเกิดขึ้นมากมายบนรถคันนี้ จนผมลืมความเมื่อยล้าที่คอยจิกขบขาทั้งสองข้างจากความเนืองแน่นของผู้คนและสัมภาระต่างๆนานาที่เบียดแย่งจนผมต้องนั่งชันอยู่บนรถที่ขับด้วยความช้าอย่างซื่อตรงที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดและไม่สามารถรู้ได้เลยว่าอีกกี่ชั่วโมงกว่ารถจะถึงที่หมาย
เพื่อนร่วมทางของผมในวันนี้เป็นคนต่างที่ ต่างถิ่น ต่างภาษา ต่างเชื้อชาติ ถึงแม้จะเบียดเสียดจนเมื่อยล้าแต่เพราะทุกคนคือเพื่อนร่วมทาง เป็นมิตรภาพที่สร้างขึ้นด้วยความรวดเร็ว ใจเท่านั้นคือราคาซื้อขายของมิตรภาพบนรถคันนี้ ผมจึงยินดีที่จะเก็บความหงุดหงิดและความเมื่อยล้านั้นไว้ ผมเดาเอาว่าคงเพราะพวกเขาคิดเช่นนี้ ทุกคนจึงสามารถเสียสละเวลาให้กันและกันได้ สิ่งต่างๆที่ผมคิดว่าเป็นภาระและเป็นปัญหาจึงไม่ใช่สำหรับพวกเขา ต่างจากที่บ้านของผมที่ยกตัวเองว่าเป็นประเทศที่พัฒนาไปไกลกว่า เราเบียดเสียดและแออัดเช่นเดียวกัน แต่เรากลับบึ้งตึงใส่กันราวกับคนแปลกหน้าทั้งทั้งที่เราพูดภาษาเดียวกันและกลับบ้านทางเดียวกัน
เรื่องราวดีๆในปากเซคงเหมือนกับฝุ่นแดง ที่เกรอะกรังอยู่ในหัวใจแม้ว่าผมอาจจะนั่งอยู่เฉยๆ
แด่มิตรภาพจากเพื่อนมนุษย์
Johnny England.