Jakk Goodday on Nostr: ...
ถ้าคุณจ่ายด้วยเงินที่หามาได้ด้วยการแลกกับพลังงานและเวลา.. คุณจะรู้สึกว่าสินค้านั้นมีราคาแพง
แต่ถ้าคุณจ่ายด้วยเงินที่ต้นทุนคือ ไอเดีย หรือความคิดสร้างสรรค์ คุณจะไม่รู้สึกแบบนั้น ..แง่คิดที่ได้จากคลิปนี้..
ผู้ชายคนนี้บอกว่าชนชั้นกลางจะรู้สึกว่าทุกอย่างมีราคาแพง เพราะพวกเขาจ่ายด้วยเงินที่แลกกับเวลา
ในขณะที่คนร่ำรวยจ่ายด้วย “ความคิดสร้างสรรค์” เพราะพวกเขาสร้างข้อเสนอที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องเสียเงิน
ซึ่งหมายความว่าคนร่ำรวยใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างผลงาน/ทรัพย์สินที่จะเพิ่มรายได้โดยไม่ต้องแลกเวลาเหมือนกับชนชั้นกลาง
ดังนั้นสิ่งที่คนร่ำรวยจ่ายก็คือต้นทุนด้านความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา ไม่ใช่เงินหรือเวลา
งงใช่ไหม?
ยกตัวอย่างเช่น..
หากชนชั้นกลางต้องการซื้อรถยนต์ราคา 1 ล้านบาท ก็ต้องทำงานเก็บเงิน 1 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อ ซึ่งหมายถึงการแลกเวลาทำงานเพื่อให้ได้เงินมาซื้อรถ
ในขณะที่คนร่ำรวย หากต้องการซื้อรถยนต์ราคา 1 ล้านบาท อาจจะใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการหาเงิน เช่น..
สร้างธุรกิจ สร้างแอพพลิเคชั่นที่ขายได้ 1 ล้านบาท แล้วนำเงินนั้นไปซื้อรถ ต้นทุนที่เสียไปคือความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาแอพ
ลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ จนได้กำไร 1 ล้านบาท แล้วนำเงินนั้นไปซื้อรถ ต้นทุนที่เสียไปคือความคิดและการวิเคราะห์ในการลงทุน
สร้างแบรนด์ เป็นอินฟลูเอนเซอร์รีวิวสินค้า จนมีรายได้ 1 ล้านบาท แล้วนำไปซื้อรถ ต้นทุนคือความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างคอนเทนต์
จะเห็นว่าคนร่ำรวยไม่ได้ใช้ “เงิน” หรือ “เวลา” อย่างเดียวในการซื้อรถ แต่ใช้ “ความคิดสร้างสรรค์” ในการสร้างรายได้หรือทรัพย์สินที่จะทำให้พวกเขาซื้อรถได้โดยไม่กระทบกับเวลาหรือเงินที่มีอยู่
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ราคา 1 ล้านบาท หรือบ้านราคา 10 ล้านบาท ต้นทุนของคนรวยก็คือ “ความคิดสร้างสรรค์” ในการสร้างข้อเสนอหรือช่องทางสร้างรายได้
ทำให้ทุกอย่าง “มีราคามากเท่ากัน” ในแง่ของต้นทุนที่เป็นความคิดสร้างสรรค์
#Siamstr
แต่ถ้าคุณจ่ายด้วยเงินที่ต้นทุนคือ ไอเดีย หรือความคิดสร้างสรรค์ คุณจะไม่รู้สึกแบบนั้น ..แง่คิดที่ได้จากคลิปนี้..
ผู้ชายคนนี้บอกว่าชนชั้นกลางจะรู้สึกว่าทุกอย่างมีราคาแพง เพราะพวกเขาจ่ายด้วยเงินที่แลกกับเวลา
ในขณะที่คนร่ำรวยจ่ายด้วย “ความคิดสร้างสรรค์” เพราะพวกเขาสร้างข้อเสนอที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องเสียเงิน
ซึ่งหมายความว่าคนร่ำรวยใช้ความคิดสร้างสรรค์สร้างผลงาน/ทรัพย์สินที่จะเพิ่มรายได้โดยไม่ต้องแลกเวลาเหมือนกับชนชั้นกลาง
ดังนั้นสิ่งที่คนร่ำรวยจ่ายก็คือต้นทุนด้านความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา ไม่ใช่เงินหรือเวลา
งงใช่ไหม?
ยกตัวอย่างเช่น..
หากชนชั้นกลางต้องการซื้อรถยนต์ราคา 1 ล้านบาท ก็ต้องทำงานเก็บเงิน 1 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้อ ซึ่งหมายถึงการแลกเวลาทำงานเพื่อให้ได้เงินมาซื้อรถ
ในขณะที่คนร่ำรวย หากต้องการซื้อรถยนต์ราคา 1 ล้านบาท อาจจะใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการหาเงิน เช่น..
สร้างธุรกิจ สร้างแอพพลิเคชั่นที่ขายได้ 1 ล้านบาท แล้วนำเงินนั้นไปซื้อรถ ต้นทุนที่เสียไปคือความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาแอพ
ลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ จนได้กำไร 1 ล้านบาท แล้วนำเงินนั้นไปซื้อรถ ต้นทุนที่เสียไปคือความคิดและการวิเคราะห์ในการลงทุน
สร้างแบรนด์ เป็นอินฟลูเอนเซอร์รีวิวสินค้า จนมีรายได้ 1 ล้านบาท แล้วนำไปซื้อรถ ต้นทุนคือความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างคอนเทนต์
จะเห็นว่าคนร่ำรวยไม่ได้ใช้ “เงิน” หรือ “เวลา” อย่างเดียวในการซื้อรถ แต่ใช้ “ความคิดสร้างสรรค์” ในการสร้างรายได้หรือทรัพย์สินที่จะทำให้พวกเขาซื้อรถได้โดยไม่กระทบกับเวลาหรือเงินที่มีอยู่
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ราคา 1 ล้านบาท หรือบ้านราคา 10 ล้านบาท ต้นทุนของคนรวยก็คือ “ความคิดสร้างสรรค์” ในการสร้างข้อเสนอหรือช่องทางสร้างรายได้
ทำให้ทุกอย่าง “มีราคามากเท่ากัน” ในแง่ของต้นทุนที่เป็นความคิดสร้างสรรค์
#Siamstr