Mr.Note on Nostr: GM #siamstr Good Vibes, Good Life ...
GM #siamstr Good Vibes, Good Life ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุข ของ เว็กซ์ คิงส์ เป็นหนังสือที่น่าอ่านอีกเล่มหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้ว่าทำไมเราต้องคิดบวก(Positive Thinking) มี 7 บท ขอสรุปเนื้อหาคร่าวๆ ดังนี้
บทที่ 1 ความสำคัญของความรู้สึก
กฎของแรงดึงดูดเน้นเรื่องการคิดบวก รวมถึงกฎแห่งแรงสั่นสะเทือนด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากอะตอมและทุกอะตอมก็คือ แรงสั่นสะเทือนน้อยๆ ดังนั้นสสารและพลังงานทั้งหมดต่างคือแรงสั่นสะเทือนโดยธรรมชาติ เมื่อเราเปลี่ยนวิธีคิด รู้สึก พูดและการกระทำแล้ว คุณจะเริ่มเปลี่ยนโลกของตัวเองได้ เมื่อเราตอบสนองต่อแรงสั่นสะเทือนกับอะไรบางอย่าง มันก็จะเริ่มดึงดูดสิ่งนั้นให้เป็นความเป็นจริง ถ้าอยากได้ความรู้สึกดีเราก็ต้องสร้างความรู้สึกที่ดี เราเป็นไปได้ทั้งตัวส่งและตัวรับความถี่ แรงสั่นสะเทือนที่ส่งออกไปจะดึงดูดสิ่งที่สั่นสะเทือนนั้นในความถี่เดียวกันกับเรากลับมาเสมอ หมายความว่า ความรู้สึกต่างๆที่เราส่งออกไปไปแก่จักรวาลจะย้อนกลับมาหาเราผ่านแรงสั่นสะเทือนที่เข้ากัน ดังนั้นหากส่งความรู้สึกเบิกบาน คุณก็จะได้รับสิ่งต่างๆที่ทำให้รู้สึกเบิกบานมากขึ้นนั่นเอง
บทที่ 2 พฤติกรรมของวิถีที่เป็นบวก
คุณสามารถเปลี่ยนสถานะอารมณ์ผ่านกิจกรรมทุกชนิดที่จะเพิ่มและสั่นสะเทือนได้ ซึ่งบางอย่างก็ให้ผลลัพธ์นานแต่บางอย่างก็ทำให้รู้สึกดีแค่ช่วงเวลานั้นๆ ทุกอย่างคือพลังงาน จึงกล่าวได้ว่าทุกอย่างที่คุณข้องเกี่ยวจะส่งผลต่อแรงสั่นสะเทือนของคุณไม่มากก็น้อย แต่การกระทำใหม่ๆและการเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดในเชิงบวกต่างก็เป็นองค์ประกอบของการรักตัวเอง เพื่อให้คุณกลายเป็นคนที่ดีที่สุดและมีความสุขที่สุดเท่าที่เป็นได้
- สัมผัสอารมณ์เชิงบวกอยู่เรื่อยๆ จากการอยู่กับคนคิดบวกเราก็จะดึงดูดคนคิดบวกเข้ามาในชีวิตมากขึ้นและส่งเสริมให้คนรอบตัวเรามีแต่ความรู้สึกดีๆ
- หาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอบางคราวคุณต้องถอดปลั๊กออกจากโลกชั่วคราวเพื่อรีเซ็ทตัวเองบ้าง
- ค้นหาแรงบันดาลใจของตัวเองให้เจอ เมื่อมีแรงบันดาลใจ คุณจะเจอแรงขับเคลื่อน ทั้งยังรู้สึกดีต่อสิ่งที่ทำและโอกาสต่างๆในชีวิต
- อยู่ให้ห่างคำนินทาและเรื่องดราม่า พยายามเปิดใจให้กว้างและฟังความเห็นของคนอื่น แต่จะต้องไม่เสียเวลากับคนที่ไม่สนใจสิ่งที่เราพูด หลีกหนีคนเหล่านี้ให้ไกล
- แยกแยะอาหารและน้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณกินและดื่มนั้น ล้วนส่งผลต่อแรงสั่นสะเทือนและความเป็นจริงของคุณ กินและดื่มสิ่งที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย
- แสดงความขอบคุณ พูดคำว่า ขอบคุณทุกครั้งที่มีโอกาสหรือได้รับสิ่งดีๆจากคนที่มีแรงสั่นสะเทือนสูงมอบให้
- ศึกษาอารมณ์ของคุณ อย่าข่มความรู้สึกเชิงลบที่มี แต่ต้องรู้จักเปลี่ยนเพื่อเพิ่มแรงสั่นสะเทือนของคุณ การเข้าใจอารมณ์ตัวเอง จะทำให้คุณเปลี่ยนจากแรงสั่นสะเทือนต่ำไปเป็นแรงสั่นสะเทือนสูงได้เรื่อยๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า การทบทวนความรู้สึกจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆต่อการพัฒนาตนเอง
- ใส่ใจอยู่กับปัจจุบัน อย่าใช้ชีวิตอยู่ในอดีต กลัวอนาคตและสร้างอุปสรรคในความคิดของตัวเอง ไม่มีอะไรมีคุณค่ามากกว่าปัจจุบันอีกแล้ว ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
- การทำสมาธิ ยังลดแรงต่อต้านที่เกิดจากอีโก้ ทำให้เกิดความรู้สึกสงบ ความโปร่งใสและเพิ่มความอดทน การทำสมาธิจะทำให้เกิดความรู้สึกดีๆกลับคืนมา
บทที่ 3 เอาตัวเองมาก่อน
คุณมีพลังมากมายจะให้คนอื่น แต่ก็ต้องเก็บพลังบางส่วนไว้เพื่อตัวเองด้วย คุณมาโลกนี้ตามลำพังและจะไปคนเดียว ความสัมพันธ์ที่ยืดยาวที่สุดในการใช้ชีวิตก็คือตัวคุณเอง จึงต้องบริหารความสัมพันธ์นี้ให้ดีก่อนถึงจะบริหารความสัมพันธ์ของคนอื่นได้ คอยย้อนกลับมาดูความประพฤติและพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นพิษทั้งต่อตัวคุณเองและคนอื่น นี่ไม่เพียงเป็นวิธีที่คุณจะเติบโตแต่ยังเป็นการแสดงความรักตัวเอง โดยแสดงให้ตัวเองเห็นว่าคุณสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่าพฤติกรรมที่รั้งความก้าวหน้าของคุณ พวกเราล้วนแตกต่างกันและสมควรได้รับการเคารพความรู้สึก การยอมรับและเข้าใจความเจ็บปวดของคนอื่น ไม่เพียงทำให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับพวกเขา แต่ยังช่วยให้เขาให้เติบโตด้วย คุณไม่ได้ถูกคาดหวังให้สมบูรณ์แบบ ทุกคนทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นแต่ต้องยินดีที่จะเรียนรู้ เติบโตและเคารพคนอื่น อย่าพยายามทำให้ทุกคนพอใจในสิ่งที่เราทำ ทุกความสำเร็จจะมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจเราเสมอ
บทที่ 4 ยอมรับตัวเอง
คุณไม่ได้สำคัญสำหรับคนอื่นตลอดเวลา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคุณต้องให้ความสำคัญกับตัวเอง เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองอย่างเป็นสุข ดูแลตัวเอง คุยเรื่องบวกและเป็นที่พึ่งให้ตัวเอง ความต้องการของคุณนั้นสำคัญ จงเริ่มทำตามความต้องการของคุณด้วยตัวเอง อย่าหวังพึ่งคนอื่น ชื่นชมความงามรูปลักษณ์ของตัวเอง การมีร่างกายเป็นของตัวเองนั้นเป็นเรื่องสุดวิเศษ คุณคือเงาสะท้อนของความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ อย่าปล่อยให้แนวคิดเกี่ยวกับความงามที่สังคมสร้างขึ้น ลดทอนการนับถือตัวเองของคุณ ความงามเป็นสิ่งที่ไร้กฎเกณฑ์ยอมรับและรักตัวเองอย่างที่เป็น อ้าแขนรับข้อบกพร่องและสบายใจที่จะเป็นตัวของตัวเอง ปล่อยให้ความไม่สมบูรณ์แบบของคุณไว้อย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องไล่ตามแฟชั่นประจำฤดูกาล ให้เปรียบเทียบเฉพาะกับตัวเอง ตั้งเป้าหมาย หาแรงบันดาลใจ แล้วพาตัวเองให้ไปถึงจุดนั้น ให้คุณค่ากับความงามภายใน ความงามภายนอกไม่มีอะไรไปมากกว่า สร้างความพอใจต่อความต้องการภายนอก มีแต่คนที่มีดีจริง ถึงจะทำให้คนอื่นประทับใจในจิตใจความคิดและจิตวิญญาณได้ อ่อนโยนและให้อภัยตัวเองที่ตัดสินใจไม่ดี ขาดความเชื่อ ทำร้ายคนอื่นและตัวเอง สิ่งที่สำคัญที่สุด คือคุณเต็มใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยกรอบความคิดที่ดีขึ้น
บทที่ 5 ทำให้สิ่งที่หวังไว้เป็นจริง -งานทางใจ
ใจที่เป็นบวกดีกว่าใจที่เป็นลบ การคิดบวกเป็นการเลือกความคิดและการกระทำที่ส่งเสริมเรามากกว่าขัดขวาง และนั่นทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ คุณไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยความคิดที่รั้งคุณไว้ ฝึกใช้ชีวิตอย่างมีสติ มันจะเป็นการปรับจิตใจใหม่ เพื่อจะได้มีเสรีภาพในการเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง ขั้นตอนดังกล่าวใช้เวลานาน แต่จะช่วยให้คุณก้าวออกจากวังวนของการคิดลบไปสู่โหมดใหม่ของการคิดบวก แทนที่จะพยายามควบคุมเหตุการณ์ภายนอก ให้ใส่ใจกลับการควบคุมวิธีที่ใจคุณตอบรับกับสิ่งนั้นแล้วคุณจะนำพลังกลับมา และยังเป็นกุญแจไปสู่ชีวิตที่เป็นสุขอีกด้วย จินตนาการชีวิตที่อยากจะมี เวลาจินตนาการถึงสิ่งที่ปรารถนาไม่เพียงแต่เราจะพาตัวเองให้สั่นสะเทือนในความถี่เดียวกับสิ่งที่จินตนาการเท่านั้น เราใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ ถ้าสมองเชื่อว่าความคิดที่ป้อนให้เป็นความเป็นจริง ชีวิตเราก็จะสะท้อนออกมาเช่นนั้นด้วย ถ้าจินตนาการว่าตัวเองมั่นใจกว่าเดิม แล้วสมองชื่อว่าเป็นเรื่องจริง คุณก็จะมั่นใจขึ้นจริง!
บทที่ 6 ทำให้สิ่งที่หวังไว้เป็น- ลงมือทำ
การลงมือทำและการสร้างแรงขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย การทำงานอย่างชาญฉลาดนั้นสำคัญสำหรับการสร้างผลงานที่ดีก็จริง แต่กระทั่งการหาทางออกเพื่อให้ทำงานได้ฉลาดขึ้นยังต้องลงทุนลงแรง เราต้องทำบางสิ่งด้วยวิธีที่ “ยาก” จงก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซน และเผชิญหน้ากับความกลัว คุณจะเติบโตได้เมื่อเจอความท้าทายไม่ใช่ตอนที่รู้สึกสบาย สิ่งที่ต้องทำจะต้องมีความต่อเนื่องเพื่อไปสู่ผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ อย่าผัดวันประกันพรุ่งมันจะทำให้ความฝันของคุณช้าไปอีก คุณไม่จำเป็นต้องคิดออกทั้งหมด ให้เริ่มจากก้าวเล็กๆแล้วลงมือทำทันที วิธีที่สู้กับการผัดวันประกันพรุ่งมีเทคนิค ดังนี้
-กำจัดสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจออกไปให้หมดเท่าที่ทำได้ คือ เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของคุณให้โฟกัสในสิ่งที่ทำ
-ให้รางวัลตัวเองที่ทำงานสำเร็จ เช่น ทำงานเสร็จไปหาแฟนได้
-พักทำสิ่งที่เพลิดเพลิน เราทุกคนต้องการเวลานอกในระหว่างทำงานแต่ต้องให้แน่ใจว่าคุณพักในเวลาที่กำหนดไว้
-สร้างสรรค์ ทำงานของคุณน่าดึงดูดใจเช่นเปิดดนตรีคลอเบๆระหว่างที่ทำงาน
-หาตัวช่วยถ้าจำเป็น อย่ากลัวขอความช่วยเหลือใคร คุยกับคนที่มีเป้าหมายคล้ายกันและทำสำเร็จให้เร็วที่สุด
-ลงโทษตัวเองเมื่อไม่ลงมือทำ เช่น อดเล่นเกมทั้งสัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่กลับคำพูดอีก
-ประกาศความตั้งใจให้เพื่อนที่ไว้ วิธีนี้จะทำให้คุณมีความรับผิดชอบ
คุณมีอิสระที่จะเลือกทำอะไรก็ได้ แต่ไม่อาจหนีจากผลที่จะเกิดตามมา บางครั้งเราก็ต้องแลกสิ่งเล็กๆเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกว่า คุณอาจจะไม่เมินต่อทุกสิ่งเร้าหรือหยุดสนุกสนาน แต่ขอให้สร้างสมดุลย์ที่ดีระหว่างการทำงานและการเล่น ในขณะเดียวกันก็ไม่เอาเวลาและพลังงานไปใช้กับบางสิ่งที่เกินควร ไม่มีใครที่ทำให้ทุกเป้าหมายที่ฝันไว้เป็นจริงได้หมดภายในช่วงเวลา แม้จะเปลี่ยนผลลัพธ์ได้ด้วย คุณก็ต้องยอมรับว่า จะเผยตัวออกมาเมื่อถึงเวลาและเพื่อประโยชน์สูงสุดของคุณซึ่งบางครั้งก็ออกมาในรูปแบบที่คาดไม่ถึง เรียนรู้ที่จะปล่อยให้สิ่งต่างๆผ่านไปตามจังหวะ กรอบความคิดของการกระทำและไม่กระทำต้องสมดุลกัน หน้าที่ของคุณคือการทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้บรรลุสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้
บทที่ 7 ความเจ็บปวดและความมุ่งมั่น
ทุกคนก็ผ่านช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสมากอย่างน้อยครึ่งในชีวิต เราจึงเชื่อมโยงตัวเองกับคนที่อยู่ในช่วงขาลงได้ในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้เข้าใจพวกเขาอย่างถ่องแท้ก็ตาม เพราะเราเองก็อยู่ในช่วงขาลงเหมือนกัน อดีตไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่เราเปลี่ยนมุมมองตัวเองได้ การเปลี่ยนความคิดจะทำให้เราเริ่มเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดเกิดขึ้นกับเรานั้น จริงๆแล้วเกิดเพื่อเรา พอเริ่มเปลี่ยนมุมมองให้เป็นบวก ชีวิตก็ดีขึ้น ถ้าเราไม่เปลี่ยน ก็จะสูญเสียความเบิกบานและสุขส่งไปอยู่ในสถานะแรงสั่นสะเทือนต่ำ ทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด บางครั้งเราต้องย้อนกลับมองเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตและเริ่มเชื่อมจุดต่างๆ อาจจะมีเหตุผลสำหรับเหตุการณ์แต่ละอย่าง ถ้าดูดีๆ เรื่องราวต่างๆอาจสมเหตุสมผลขึ้นมา ถ้าเป็นเช่นนั้น แน่ใจได้เลยว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตต่างก็เกิดขึ้นอย่างมี ไม่ว่าจะทำให้เจ็บปวดหรือสุขก็ตาม ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน การที่จะบรรลุความสุขที่แท้จริง คุณต้องรู้จักควบคุมตัวเอง นี่คือการเดินทางภายในใจที่ต้องอาศัยการเติบโตทางจิตวิญญาณอย่างเป็นรูปธรรม การเลือกความคิดที่ให้กำลังใจแทนความคิดที่จำกัด ควรเป็นวิธีคิดโดยธรรมชาติของคุณ คุณต้องสร้างนิสัยที่มองด้านดีของสิ่งต่างๆและปล่อยอดีตให้ผ่านไป เลิกใช้ชีวิตในอนาคต และยินดีในจุดที่อยู่และสิ่งที่มีตอนนี้ ถอนตัวออกจากการเปรียบเทียบ และรักทุกสิ่งในโลกอย่างไร้เงื่อนไข โอบกอดสิ่งที่เป็นอยู่ มีความสุขในทุกๆวัน
ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ หนังสือเล่มนี้บอกว่า “ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา เริ่มที่เรา และจบที่เราจริงๆ🙂”…ถ้าผมอ่านเล่มไหนเห็นว่าดี มีประโยชน์ ขออนุญาตมาแชร์ให้ชาวทุ่งม่วงอีกนะครับ🙏❤️
บทที่ 1 ความสำคัญของความรู้สึก
กฎของแรงดึงดูดเน้นเรื่องการคิดบวก รวมถึงกฎแห่งแรงสั่นสะเทือนด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นจากอะตอมและทุกอะตอมก็คือ แรงสั่นสะเทือนน้อยๆ ดังนั้นสสารและพลังงานทั้งหมดต่างคือแรงสั่นสะเทือนโดยธรรมชาติ เมื่อเราเปลี่ยนวิธีคิด รู้สึก พูดและการกระทำแล้ว คุณจะเริ่มเปลี่ยนโลกของตัวเองได้ เมื่อเราตอบสนองต่อแรงสั่นสะเทือนกับอะไรบางอย่าง มันก็จะเริ่มดึงดูดสิ่งนั้นให้เป็นความเป็นจริง ถ้าอยากได้ความรู้สึกดีเราก็ต้องสร้างความรู้สึกที่ดี เราเป็นไปได้ทั้งตัวส่งและตัวรับความถี่ แรงสั่นสะเทือนที่ส่งออกไปจะดึงดูดสิ่งที่สั่นสะเทือนนั้นในความถี่เดียวกันกับเรากลับมาเสมอ หมายความว่า ความรู้สึกต่างๆที่เราส่งออกไปไปแก่จักรวาลจะย้อนกลับมาหาเราผ่านแรงสั่นสะเทือนที่เข้ากัน ดังนั้นหากส่งความรู้สึกเบิกบาน คุณก็จะได้รับสิ่งต่างๆที่ทำให้รู้สึกเบิกบานมากขึ้นนั่นเอง
บทที่ 2 พฤติกรรมของวิถีที่เป็นบวก
คุณสามารถเปลี่ยนสถานะอารมณ์ผ่านกิจกรรมทุกชนิดที่จะเพิ่มและสั่นสะเทือนได้ ซึ่งบางอย่างก็ให้ผลลัพธ์นานแต่บางอย่างก็ทำให้รู้สึกดีแค่ช่วงเวลานั้นๆ ทุกอย่างคือพลังงาน จึงกล่าวได้ว่าทุกอย่างที่คุณข้องเกี่ยวจะส่งผลต่อแรงสั่นสะเทือนของคุณไม่มากก็น้อย แต่การกระทำใหม่ๆและการเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดในเชิงบวกต่างก็เป็นองค์ประกอบของการรักตัวเอง เพื่อให้คุณกลายเป็นคนที่ดีที่สุดและมีความสุขที่สุดเท่าที่เป็นได้
- สัมผัสอารมณ์เชิงบวกอยู่เรื่อยๆ จากการอยู่กับคนคิดบวกเราก็จะดึงดูดคนคิดบวกเข้ามาในชีวิตมากขึ้นและส่งเสริมให้คนรอบตัวเรามีแต่ความรู้สึกดีๆ
- หาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอบางคราวคุณต้องถอดปลั๊กออกจากโลกชั่วคราวเพื่อรีเซ็ทตัวเองบ้าง
- ค้นหาแรงบันดาลใจของตัวเองให้เจอ เมื่อมีแรงบันดาลใจ คุณจะเจอแรงขับเคลื่อน ทั้งยังรู้สึกดีต่อสิ่งที่ทำและโอกาสต่างๆในชีวิต
- อยู่ให้ห่างคำนินทาและเรื่องดราม่า พยายามเปิดใจให้กว้างและฟังความเห็นของคนอื่น แต่จะต้องไม่เสียเวลากับคนที่ไม่สนใจสิ่งที่เราพูด หลีกหนีคนเหล่านี้ให้ไกล
- แยกแยะอาหารและน้ำ ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณกินและดื่มนั้น ล้วนส่งผลต่อแรงสั่นสะเทือนและความเป็นจริงของคุณ กินและดื่มสิ่งที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย
- แสดงความขอบคุณ พูดคำว่า ขอบคุณทุกครั้งที่มีโอกาสหรือได้รับสิ่งดีๆจากคนที่มีแรงสั่นสะเทือนสูงมอบให้
- ศึกษาอารมณ์ของคุณ อย่าข่มความรู้สึกเชิงลบที่มี แต่ต้องรู้จักเปลี่ยนเพื่อเพิ่มแรงสั่นสะเทือนของคุณ การเข้าใจอารมณ์ตัวเอง จะทำให้คุณเปลี่ยนจากแรงสั่นสะเทือนต่ำไปเป็นแรงสั่นสะเทือนสูงได้เรื่อยๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า การทบทวนความรู้สึกจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆต่อการพัฒนาตนเอง
- ใส่ใจอยู่กับปัจจุบัน อย่าใช้ชีวิตอยู่ในอดีต กลัวอนาคตและสร้างอุปสรรคในความคิดของตัวเอง ไม่มีอะไรมีคุณค่ามากกว่าปัจจุบันอีกแล้ว ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
- การทำสมาธิ ยังลดแรงต่อต้านที่เกิดจากอีโก้ ทำให้เกิดความรู้สึกสงบ ความโปร่งใสและเพิ่มความอดทน การทำสมาธิจะทำให้เกิดความรู้สึกดีๆกลับคืนมา
บทที่ 3 เอาตัวเองมาก่อน
คุณมีพลังมากมายจะให้คนอื่น แต่ก็ต้องเก็บพลังบางส่วนไว้เพื่อตัวเองด้วย คุณมาโลกนี้ตามลำพังและจะไปคนเดียว ความสัมพันธ์ที่ยืดยาวที่สุดในการใช้ชีวิตก็คือตัวคุณเอง จึงต้องบริหารความสัมพันธ์นี้ให้ดีก่อนถึงจะบริหารความสัมพันธ์ของคนอื่นได้ คอยย้อนกลับมาดูความประพฤติและพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นพิษทั้งต่อตัวคุณเองและคนอื่น นี่ไม่เพียงเป็นวิธีที่คุณจะเติบโตแต่ยังเป็นการแสดงความรักตัวเอง โดยแสดงให้ตัวเองเห็นว่าคุณสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่าพฤติกรรมที่รั้งความก้าวหน้าของคุณ พวกเราล้วนแตกต่างกันและสมควรได้รับการเคารพความรู้สึก การยอมรับและเข้าใจความเจ็บปวดของคนอื่น ไม่เพียงทำให้คุณได้เรียนรู้เกี่ยวกับพวกเขา แต่ยังช่วยให้เขาให้เติบโตด้วย คุณไม่ได้ถูกคาดหวังให้สมบูรณ์แบบ ทุกคนทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้นแต่ต้องยินดีที่จะเรียนรู้ เติบโตและเคารพคนอื่น อย่าพยายามทำให้ทุกคนพอใจในสิ่งที่เราทำ ทุกความสำเร็จจะมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจเราเสมอ
บทที่ 4 ยอมรับตัวเอง
คุณไม่ได้สำคัญสำหรับคนอื่นตลอดเวลา นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคุณต้องให้ความสำคัญกับตัวเอง เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองอย่างเป็นสุข ดูแลตัวเอง คุยเรื่องบวกและเป็นที่พึ่งให้ตัวเอง ความต้องการของคุณนั้นสำคัญ จงเริ่มทำตามความต้องการของคุณด้วยตัวเอง อย่าหวังพึ่งคนอื่น ชื่นชมความงามรูปลักษณ์ของตัวเอง การมีร่างกายเป็นของตัวเองนั้นเป็นเรื่องสุดวิเศษ คุณคือเงาสะท้อนของความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ อย่าปล่อยให้แนวคิดเกี่ยวกับความงามที่สังคมสร้างขึ้น ลดทอนการนับถือตัวเองของคุณ ความงามเป็นสิ่งที่ไร้กฎเกณฑ์ยอมรับและรักตัวเองอย่างที่เป็น อ้าแขนรับข้อบกพร่องและสบายใจที่จะเป็นตัวของตัวเอง ปล่อยให้ความไม่สมบูรณ์แบบของคุณไว้อย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องไล่ตามแฟชั่นประจำฤดูกาล ให้เปรียบเทียบเฉพาะกับตัวเอง ตั้งเป้าหมาย หาแรงบันดาลใจ แล้วพาตัวเองให้ไปถึงจุดนั้น ให้คุณค่ากับความงามภายใน ความงามภายนอกไม่มีอะไรไปมากกว่า สร้างความพอใจต่อความต้องการภายนอก มีแต่คนที่มีดีจริง ถึงจะทำให้คนอื่นประทับใจในจิตใจความคิดและจิตวิญญาณได้ อ่อนโยนและให้อภัยตัวเองที่ตัดสินใจไม่ดี ขาดความเชื่อ ทำร้ายคนอื่นและตัวเอง สิ่งที่สำคัญที่สุด คือคุณเต็มใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยกรอบความคิดที่ดีขึ้น
บทที่ 5 ทำให้สิ่งที่หวังไว้เป็นจริง -งานทางใจ
ใจที่เป็นบวกดีกว่าใจที่เป็นลบ การคิดบวกเป็นการเลือกความคิดและการกระทำที่ส่งเสริมเรามากกว่าขัดขวาง และนั่นทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในทุกสถานการณ์ คุณไม่อาจก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยความคิดที่รั้งคุณไว้ ฝึกใช้ชีวิตอย่างมีสติ มันจะเป็นการปรับจิตใจใหม่ เพื่อจะได้มีเสรีภาพในการเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง ขั้นตอนดังกล่าวใช้เวลานาน แต่จะช่วยให้คุณก้าวออกจากวังวนของการคิดลบไปสู่โหมดใหม่ของการคิดบวก แทนที่จะพยายามควบคุมเหตุการณ์ภายนอก ให้ใส่ใจกลับการควบคุมวิธีที่ใจคุณตอบรับกับสิ่งนั้นแล้วคุณจะนำพลังกลับมา และยังเป็นกุญแจไปสู่ชีวิตที่เป็นสุขอีกด้วย จินตนาการชีวิตที่อยากจะมี เวลาจินตนาการถึงสิ่งที่ปรารถนาไม่เพียงแต่เราจะพาตัวเองให้สั่นสะเทือนในความถี่เดียวกับสิ่งที่จินตนาการเท่านั้น เราใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ ถ้าสมองเชื่อว่าความคิดที่ป้อนให้เป็นความเป็นจริง ชีวิตเราก็จะสะท้อนออกมาเช่นนั้นด้วย ถ้าจินตนาการว่าตัวเองมั่นใจกว่าเดิม แล้วสมองชื่อว่าเป็นเรื่องจริง คุณก็จะมั่นใจขึ้นจริง!
บทที่ 6 ทำให้สิ่งที่หวังไว้เป็น- ลงมือทำ
การลงมือทำและการสร้างแรงขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมาย การทำงานอย่างชาญฉลาดนั้นสำคัญสำหรับการสร้างผลงานที่ดีก็จริง แต่กระทั่งการหาทางออกเพื่อให้ทำงานได้ฉลาดขึ้นยังต้องลงทุนลงแรง เราต้องทำบางสิ่งด้วยวิธีที่ “ยาก” จงก้าวออกจากคอมฟอร์ทโซน และเผชิญหน้ากับความกลัว คุณจะเติบโตได้เมื่อเจอความท้าทายไม่ใช่ตอนที่รู้สึกสบาย สิ่งที่ต้องทำจะต้องมีความต่อเนื่องเพื่อไปสู่ผลลัพธ์ที่ตั้งไว้ อย่าผัดวันประกันพรุ่งมันจะทำให้ความฝันของคุณช้าไปอีก คุณไม่จำเป็นต้องคิดออกทั้งหมด ให้เริ่มจากก้าวเล็กๆแล้วลงมือทำทันที วิธีที่สู้กับการผัดวันประกันพรุ่งมีเทคนิค ดังนี้
-กำจัดสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจออกไปให้หมดเท่าที่ทำได้ คือ เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของคุณให้โฟกัสในสิ่งที่ทำ
-ให้รางวัลตัวเองที่ทำงานสำเร็จ เช่น ทำงานเสร็จไปหาแฟนได้
-พักทำสิ่งที่เพลิดเพลิน เราทุกคนต้องการเวลานอกในระหว่างทำงานแต่ต้องให้แน่ใจว่าคุณพักในเวลาที่กำหนดไว้
-สร้างสรรค์ ทำงานของคุณน่าดึงดูดใจเช่นเปิดดนตรีคลอเบๆระหว่างที่ทำงาน
-หาตัวช่วยถ้าจำเป็น อย่ากลัวขอความช่วยเหลือใคร คุยกับคนที่มีเป้าหมายคล้ายกันและทำสำเร็จให้เร็วที่สุด
-ลงโทษตัวเองเมื่อไม่ลงมือทำ เช่น อดเล่นเกมทั้งสัปดาห์ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่กลับคำพูดอีก
-ประกาศความตั้งใจให้เพื่อนที่ไว้ วิธีนี้จะทำให้คุณมีความรับผิดชอบ
คุณมีอิสระที่จะเลือกทำอะไรก็ได้ แต่ไม่อาจหนีจากผลที่จะเกิดตามมา บางครั้งเราก็ต้องแลกสิ่งเล็กๆเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีกว่า คุณอาจจะไม่เมินต่อทุกสิ่งเร้าหรือหยุดสนุกสนาน แต่ขอให้สร้างสมดุลย์ที่ดีระหว่างการทำงานและการเล่น ในขณะเดียวกันก็ไม่เอาเวลาและพลังงานไปใช้กับบางสิ่งที่เกินควร ไม่มีใครที่ทำให้ทุกเป้าหมายที่ฝันไว้เป็นจริงได้หมดภายในช่วงเวลา แม้จะเปลี่ยนผลลัพธ์ได้ด้วย คุณก็ต้องยอมรับว่า จะเผยตัวออกมาเมื่อถึงเวลาและเพื่อประโยชน์สูงสุดของคุณซึ่งบางครั้งก็ออกมาในรูปแบบที่คาดไม่ถึง เรียนรู้ที่จะปล่อยให้สิ่งต่างๆผ่านไปตามจังหวะ กรอบความคิดของการกระทำและไม่กระทำต้องสมดุลกัน หน้าที่ของคุณคือการทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้บรรลุสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้
บทที่ 7 ความเจ็บปวดและความมุ่งมั่น
ทุกคนก็ผ่านช่วงเวลาที่หนักหนาสาหัสมากอย่างน้อยครึ่งในชีวิต เราจึงเชื่อมโยงตัวเองกับคนที่อยู่ในช่วงขาลงได้ในระดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้เข้าใจพวกเขาอย่างถ่องแท้ก็ตาม เพราะเราเองก็อยู่ในช่วงขาลงเหมือนกัน อดีตไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่เราเปลี่ยนมุมมองตัวเองได้ การเปลี่ยนความคิดจะทำให้เราเริ่มเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดเกิดขึ้นกับเรานั้น จริงๆแล้วเกิดเพื่อเรา พอเริ่มเปลี่ยนมุมมองให้เป็นบวก ชีวิตก็ดีขึ้น ถ้าเราไม่เปลี่ยน ก็จะสูญเสียความเบิกบานและสุขส่งไปอยู่ในสถานะแรงสั่นสะเทือนต่ำ ทุกอย่างเชื่อมโยงกันหมด บางครั้งเราต้องย้อนกลับมองเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตและเริ่มเชื่อมจุดต่างๆ อาจจะมีเหตุผลสำหรับเหตุการณ์แต่ละอย่าง ถ้าดูดีๆ เรื่องราวต่างๆอาจสมเหตุสมผลขึ้นมา ถ้าเป็นเช่นนั้น แน่ใจได้เลยว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตต่างก็เกิดขึ้นอย่างมี ไม่ว่าจะทำให้เจ็บปวดหรือสุขก็ตาม ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน การที่จะบรรลุความสุขที่แท้จริง คุณต้องรู้จักควบคุมตัวเอง นี่คือการเดินทางภายในใจที่ต้องอาศัยการเติบโตทางจิตวิญญาณอย่างเป็นรูปธรรม การเลือกความคิดที่ให้กำลังใจแทนความคิดที่จำกัด ควรเป็นวิธีคิดโดยธรรมชาติของคุณ คุณต้องสร้างนิสัยที่มองด้านดีของสิ่งต่างๆและปล่อยอดีตให้ผ่านไป เลิกใช้ชีวิตในอนาคต และยินดีในจุดที่อยู่และสิ่งที่มีตอนนี้ ถอนตัวออกจากการเปรียบเทียบ และรักทุกสิ่งในโลกอย่างไร้เงื่อนไข โอบกอดสิ่งที่เป็นอยู่ มีความสุขในทุกๆวัน
ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ หนังสือเล่มนี้บอกว่า “ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา เริ่มที่เรา และจบที่เราจริงๆ🙂”…ถ้าผมอ่านเล่มไหนเห็นว่าดี มีประโยชน์ ขออนุญาตมาแชร์ให้ชาวทุ่งม่วงอีกนะครับ🙏❤️