What is Nostr?
maiakee
npub1hge…8hs2
2025-02-04 07:08:50

maiakee on Nostr: ...



‼️จากง้วนดินสู่บัลลังก์: กำเนิดสังคมมนุษย์และจุดเริ่มต้นแห่งความขัดแย้ง ตามพุทธพจน์
(โปรดใช้วิจารณญาณและศรัทธาในการรับชม)

🌟ง้วนดินและวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ตามพุทธพจน์

ในพระไตรปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิรูปปทสูตร ได้กล่าวถึงการกำเนิดโลกและวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พราหมณ์วาเสฏฐะและภารทวาชะถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก ตั้งแต่ยุคที่สัตว์ทั้งหลายยังเป็นผู้มีรัศมีเปล่งออกจากกาย ไม่มีเพศ ไม่มีการแบ่งแยกทางสังคม จนกระทั่งเกิดความต้องการ การสะสม และการปกครองขึ้น

๑. การดำรงอยู่ของสัตว์ก่อนยุคง้วนดิน

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

“ดูกรวาเสฏฐะ ในกาลเมื่อโลกกำลังวิวัฏ สัตว์ทั้งหลายส่วนมากเกิดในพรหมโลกอาภัสสรพรหม มีรัศมีซ่านออกจากกาย ดำรงอยู่ด้วยปีติเป็นภักษา แสวงหาความสุขในอากาศ สถิตอยู่เป็นกาลยืนนาน”

ในยุคแรกเริ่ม สัตว์ทั้งหลายยังไม่ต้องพึ่งพาอาหารภายนอก แต่ดำรงชีพด้วยปีติ (ความอิ่มเอิบจากภายใน) และไม่มีความจำเป็นต้องแสวงหาสิ่งใดเพิ่มเติม ความเป็นอยู่ของพวกเขานั้นบริสุทธิ์ ปราศจากความทะยานอยาก และไม่ต้องดิ้นรนเพื่อปัจจัยภายนอก

๒. การปรากฏของง้วนดิน และความอยากที่เกิดขึ้น

“ดูกรวาเสฏฐะ ในกาลต่อมา รสปฐวี (ง้วนดิน) ได้เกิดขึ้นในน้ำ มีลักษณะคล้ายเนยใสหรือรวงผึ้ง เมื่อสัตว์เหล่านั้นได้ลิ้มรสดิน ก็พากันติดใจในรสชาติ และพากันบริโภคมากขึ้น”

เมื่อง้วนดินปรากฏขึ้น มันดึงดูดให้สัตว์ทั้งหลายบริโภค นี่เป็นจุดเริ่มต้นของความทะยานอยาก (ตัณหา) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม หลังจากที่พวกเขาบริโภคง้วนดิน รัศมีที่เคยเปล่งออกจากกายก็ค่อย ๆ หายไป ทำให้โลกเข้าสู่สภาพที่ต้องพึ่งพาแสงสว่างจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์

๓. การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและสังคม

“เมื่อสัตว์ทั้งหลายบริโภคง้วนดินไปนานเข้า ร่างกายของพวกเขาก็เริ่มหยาบขึ้น มีความแตกต่างทางลักษณะภายนอก และมีการเปรียบเทียบกัน”

ร่างกายที่เคยเป็นประกายและบริสุทธิ์เริ่มแปรเปลี่ยนไป สีผิวของสัตว์ก็เริ่มแตกต่างกัน ซึ่งนำไปสู่การดูหมิ่นกัน ความรู้สึกแบ่งแยกระหว่าง “งาม” และ “ไม่งาม” เป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกทางสังคม สิ่งที่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันเริ่มแยกออกเป็นหลายส่วน

๔. การสะสมทรัพยากร และการเกิดความขัดแย้ง

“ดูกรวาเสฏฐะ เมื่อสัตว์ทั้งหลายพากันเก็บเกี่ยวข้าวสาลีเพื่อสะสม ความโลภก็เกิดขึ้น บางพวกไม่พอใจที่ต้องแบ่งปัน พวกเขาจึงแอบถือเอาของผู้อื่น”

เมื่อความคิดเรื่อง “ของของฉัน” และ “ของของเธอ” เกิดขึ้น การลักขโมยและความขัดแย้งจึงตามมา สัตว์ที่ถูกขโมยข้าวไปเริ่มไม่พอใจ นำไปสู่การเถียงกัน และในที่สุดก็เกิดการลงโทษกันเอง

๕. การเกิดขึ้นของระบบการปกครอง

“สัตว์ทั้งหลายประชุมกันและกล่าวว่า ‘พวกเราควรมีผู้หนึ่งที่สามารถว่ากล่าว ตักเตือน และลงโทษผู้ที่ทำผิดได้ พวกเราจะให้ส่วนแบ่งข้าวแก่ผู้นั้น’”

นี่คือจุดกำเนิดของราชาธิปไตย (การปกครองโดยกษัตริย์) ซึ่งเกิดขึ้นจากความต้องการรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม บุคคลที่ได้รับเลือกเป็นผู้นำถูกเรียกว่า มหาสมตะ หรือ “ผู้ที่สังคมเลือกให้เป็นใหญ่” ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของระบบการปกครองในยุคต่อมา

๖. ความเสื่อมของศีลธรรม และการเกิดระบบชนชั้น

“ดูกรวาเสฏฐะ เมื่อสังคมพัฒนาไป ผู้ที่ยังคงรักษาความดีงาม ถูกเรียกว่าพราหมณ์ ผู้ที่เป็นนักรบถูกเรียกว่ากษัตริย์ ผู้ที่ประกอบอาชีพด้วยตนเองถูกเรียกว่าแพศย์ และผู้ที่ทำงานรับใช้ถูกเรียกว่าศูทร”

เมื่อสังคมมีโครงสร้างที่ซับซ้อนขึ้น ระบบชนชั้นก็เริ่มก่อตัวขึ้นจากพฤติกรรมและหน้าที่ของแต่ละกลุ่ม นี่เป็นการอธิบายว่าระบบวรรณะในอินเดียไม่ได้ถูกกำหนดโดยชาติกำเนิด แต่เกิดจากพฤติกรรมและการกระทำของบุคคล

ข้อสรุป: พุทธพจน์สะท้อนอะไรเกี่ยวกับสังคมมนุษย์?

พุทธพจน์นี้แสดงให้เห็นถึงกระบวนการวิวัฒนาการของสังคมจากสภาพเดิมที่ไม่มีความต้องการทางวัตถุ ไปสู่สังคมที่เต็มไปด้วยการแบ่งแยก การสะสมทรัพย์สิน และการเกิดอำนาจปกครอง ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1. ความเสื่อมของมนุษย์สัมพันธ์กับความโลภ – มนุษย์เริ่มต้นจากสภาวะบริสุทธิ์ แต่เมื่อความอยากเกิดขึ้น มันนำไปสู่ความแตกต่าง การเปรียบเทียบ และในที่สุด การแสวงหาอำนาจ
2. อำนาจเกิดจากความจำเป็นของสังคม – การเลือกผู้นำเกิดขึ้นเพื่อลดความขัดแย้ง ไม่ใช่เพื่อยกย่องใครเป็นพิเศษ แสดงให้เห็นว่าระบบการปกครองเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นเอง
3. ชนชั้นเกิดจากพฤติกรรม ไม่ใช่ชาติกำเนิด – พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่าการแบ่งวรรณะเป็นเพียงผลลัพธ์ของพฤติกรรม และไม่ได้เป็นสิ่งที่กำหนดมาตั้งแต่กำเนิด
4. สังคมมีแนวโน้มเสื่อมลงเมื่อมนุษย์ยึดติดกับวัตถุ – เมื่อมีการสะสมทรัพย์สิน มนุษย์ก็เริ่มมีความโลภ การขโมยเกิดขึ้น และในที่สุดต้องมีการควบคุมด้วยกฎหมายและอำนาจ

ข้อคิดจากพุทธพจน์นี้

เรื่องของง้วนดินไม่ได้เป็นเพียงนิทานเชิงอุปมาเท่านั้น แต่เป็นคำอธิบายที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และการเปลี่ยนแปลงของสังคม เป็นเครื่องเตือนใจว่า ความเจริญทางวัตถุอาจนำมาซึ่งความเสื่อมของศีลธรรม และการแบ่งแยกทางสังคมเกิดจากจิตใจที่หมกมุ่นอยู่กับความอยาก

ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

“ตัณหายะ ชายะเต โสโก”
(ความโศกเศร้าเกิดขึ้นจากความทะยานอยาก)

หากต้องการให้สังคมดำรงอยู่ในความสงบสุข มนุษย์ต้องเรียนรู้ที่จะลดความอยากและดำรงอยู่ด้วยปัญญา มิใช่ด้วยการแสวงหาอำนาจและทรัพย์สิน


🌟จากง้วนดินสู่โครงสร้างสังคม: การเชื่อมโยงพุทธพจน์กับฟิสิกส์ สังคม และปรัชญา

1. กำเนิดจักรวาลและสังคมมนุษย์: การพังทลายและการฟื้นคืน

ในพระสูตร “อัคคัญญสูตร” พระพุทธองค์ตรัสถึงวัฏจักรแห่งการเกิดและเสื่อมของโลกว่า

“วาเสฏฐะและภารทวาชะ มีสมัยซึ่งในกาลบางครั้งบางคราวโดยการล่วงไปแห่งกาลนานไกล ที่โลกนี้จะพินาศ… และมีสมัยที่โลกนี้จะกลับเจริญขึ้นอีก” (ที.ปา. ๑๑/๙๒/๕๖)

การพังทลายและการสร้างใหม่ของโลกที่พุทธองค์ตรัสถึงนั้นสามารถเชื่อมโยงกับแนวคิดของฟิสิกส์สมัยใหม่ เช่น ทฤษฎีบิ๊กแบง (Big Bang) และการยุบตัวของเอกภพ (Big Crunch) ซึ่งกล่าวถึงการขยายตัวและหดตัวของจักรวาลในวัฏจักรอันไร้สิ้นสุด เปรียบได้กับวัฏสงสารที่ไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดแท้จริง

ในระดับสังคม แนวคิดเรื่องการพังทลายและการสร้างใหม่ยังสะท้อนให้เห็นถึงวัฏจักรของอารยธรรม ซึ่งอาจรุ่งเรืองขึ้นและล่มสลายตามปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง และศีลธรรม เช่นเดียวกับที่สังคมดั้งเดิมที่บริสุทธิ์จากอาภัสสรพรหมค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสังคมที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง

2. ง้วนดินกับวิวัฒนาการของมนุษย์: จากความบริสุทธิ์สู่ความปรารถนา

ในพุทธพจน์ พระพุทธเจ้าตรัสถึงการกำเนิดของ “ง้วนดิน” ซึ่งเป็นอาหารแรกของสรรพสัตว์ในโลกที่ฟื้นคืนจากความพินาศ:

“ง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสีกลิ่น รส มีสีคล้ายเนยใส หรือเนยข้นอย่างดี มีรสอร่อยดุจรวงผึ้งเล็ก อันหาโทษมิได้”

หากพิจารณาในเชิงวิทยาศาสตร์ ง้วนดินนี้อาจเปรียบเทียบได้กับสารอินทรีย์ในยุคแรกของโลก ซึ่งเป็นรากฐานของสิ่งมีชีวิตตามทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน (Darwinian Evolution) ว่า สารประกอบเหล่านี้เป็นองค์ประกอบเริ่มต้นที่นำไปสู่การเกิดของสิ่งมีชีวิต และพัฒนาเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนขึ้น

แต่น่าสังเกตว่าความปรารถนาในการเสพง้วนดินของสัตว์เหล่านั้น นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพและจิตใจ

“เมื่อสัตว์เหล่านั้น พากันเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดูอยู่ รสของง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว สัตว์เหล่านั้นจึงเกิดความอยากขึ้น”

ตรงนี้สอดคล้องกับแนวคิดทางจิตวิทยาและสังคมวิทยาเกี่ยวกับ “แรงขับเคลื่อนพื้นฐาน” (Basic Drives) ของมนุษย์ เช่น ความต้องการอาหาร การอยู่รอด และความพึงพอใจที่นำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างสังคม

3. ความขัดแย้งแรกเริ่มและการเกิดขึ้นของชนชั้น

เมื่อสัตว์บางกลุ่มมีรูปลักษณ์ที่งดงามกว่า พวกเขาเริ่มดูถูกผู้อื่น ซึ่งเป็นรากฐานของความไม่เท่าเทียมในสังคม

“สัตว์บางพวกมีผิวพรรณงาม สัตว์บางพวกมีผิวพรรณไม่งาม… สัตว์พวกที่มีผิวพรรณงาม ได้พากันดูหมิ่นสัตว์พวกที่มีผิวพรรณไม่งาม”

เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงการเกิดขึ้นของชนชั้นทางสังคม ซึ่งสังคมศาสตร์อธิบายว่าเกิดจากการสะสมทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน นำไปสู่การแบ่งแยกแรงงาน การถือครองทรัพย์สิน และการสร้างลำดับชั้นทางสังคม

เมื่อเกิดการสะสมอาหาร สัตว์บางตัวเริ่มถือครองทรัพยากรเพื่อตัวเอง และขโมยของจากผู้อื่น

“สัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลภ สงวนส่วนของตนไว้ ไปเก็บเอาส่วนอื่นที่เขาไม่ได้ให้มาบริโภค”

เหตุการณ์นี้นำไปสู่การลงโทษและการกำหนดบทลงโทษ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของกฎหมายและรัฐ

“แน่ะสัตว์ผู้เจริญ ก็ท่านกระทำกรรมชั่วช้านัก… พวกเราจักสมมติ (แต่งตั้ง) สัตว์ผู้หนึ่งให้เป็นผู้ว่ากล่าวผู้ที่ควรว่ากล่าว”

กระบวนการนี้สะท้อนถึงแนวคิดของ Thomas Hobbes ใน Leviathan ที่กล่าวว่ามนุษย์ต้องมีรัฐหรืออำนาจที่ปกครองเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความขัดแย้ง

4. สังคมที่ถูกกำหนดโดยกรรม: แนวคิดพุทธปรัชญากับกฎหมายและศีลธรรม

พุทธปรัชญาเน้นย้ำว่าโครงสร้างทางสังคมไม่ได้เป็นเพียงผลลัพธ์ของสัญญาทางการเมือง (social contract) เท่านั้น แต่ยังเป็นผลของกรรมและพฤติกรรมของมนุษย์

“ในเพราะอกุศลธรรมอันเป็นบาปเหล่าใด อกุศลธรรมอันเป็นบาปเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วในสัตว์ทั้งหลาย”

ความคิดนี้คล้ายกับแนวคิดของ Karl Marx ที่ว่าโครงสร้างทางสังคมถูกกำหนดโดยพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ ซึ่งนำไปสู่การกดขี่และการต่อสู้ทางชนชั้น

5. จากง้วนดินสู่ปัญญา: การย้อนกลับสู่ธรรมชาติและหลักเต๋า

แม้สังคมจะซับซ้อนขึ้นและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่พระพุทธองค์ชี้ให้เห็นว่ามีหนทางที่จะหลุดพ้นจากวัฏจักรนี้

“ตถาคตเป็นเพียงผู้ชี้ทาง ทางนั้นพวกเธอต้องเดินเอง”

หลักปรัชญาเต๋าของเหล่าจื้อ (Laozi) ก็สะท้อนถึงแนวคิดนี้ว่า ความบริสุทธิ์ของชีวิตเปรียบเสมือนการกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ซึ่งตรงกับพุทธพจน์ที่กล่าวถึงสังคมแรกเริ่มที่เต็มไปด้วยความเรียบง่ายและไร้ความขัดแย้ง

แนวคิดนี้ยังปรากฏในแนวสถาปัตยกรรมและเมืองของ Le Corbusier ที่พยายามออกแบบสังคมที่เรียบง่าย สมดุล และไร้ความซับซ้อนที่ไม่จำเป็น

บทสรุป

พุทธพจน์เรื่อง “ง้วนดิน” ไม่ใช่เพียงเรื่องเล่าเชิงศาสนา แต่เป็นคำอธิบายเชิงลึกถึงกำเนิดจักรวาล วิวัฒนาการของสังคม ความขัดแย้งทางชนชั้น และธรรมชาติของมนุษย์ที่แสวงหาอำนาจและทรัพยากร แนวคิดเหล่านี้ยังสามารถเชื่อมโยงกับฟิสิกส์ ปรัชญา และสังคมศาสตร์ ทำให้เห็นว่าสิ่งที่พุทธองค์ตรัสไว้นั้นยังคงมีคุณค่าต่อการทำความเข้าใจโลกในปัจจุบัน

#Siamstr #พุทธวจนะ #พุทธวจน #ธรรมะ
Author Public Key
npub1hge4uuggdfspu0wmffxqs9vj38m55238q3z2jzd907e8qnjmlsyql78hs2