Tung Khempila on Nostr: ...
ประเทศไทยไม่มีวันเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางของทุนนิยมหรือตลาดเสรีแบบเต็มรูปแบบหากไม่มีบิทคอยน์…
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น…
รัฐศาสตร์หรือการปกครองในรูปแบบกษัตริย์นิยมในวัฏจักรของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั้นแตกต่างออกไปจาก ประเทศโซนยุโรป ออสเตรีย ฮังกรารี หรือ ลิกเทนสไตน์ ตามประวัติศาสตร์ ฮีโร่ หรือ บุคคลที่น่ายกย่องนั้นมีแนวคิดการรวมชาติเป็นหนึ่งมากกว่า แย่งชิงอาณาเขตซึ่งกันและกัน
ภูมิภาคที่สมดุลย์ของฤดูกาล สามารถที่จะระบุฤดูเก็บเกี่ยวหรือผลผลิต ผ่านการจัดการได้ดี และ เป็นเหตุผลว่าทำไม เหล่าฮีโร่จึงทรยศเราได้ในบางครั้ง
(เหตุผลที่สิงคโปรค์ผลักดันนโยบายการค้าเสรีได้เพราะ ภูมิรัฐศาสตร์ของเค้ามีจุดที่ตั้งติดทะเล และ เป็นประเทศใหม่ที่แยกตัวออกมาจากมาเลเซีย โดยที่ผู้นำเผด็จการคาบประชาธิปไตยสามารถนำชาติมารวมกับตลาดได้อย่างดี ((State Capitalism)))
เราจะเห็นว่าหลังการปฏิวัติ 2475 ชาวไทยหรือชาวสยามเดิมนั้นมุ่งเน้นไปทางด้านปัจจัยทางสังคม ความเท่าเทียม และ การปลดปล่อยตัวเองจากโซ่ตรวนของกษัตริย์ โดยพวกที่เรียกตัวเองว่าหัวก้าวหน้า ซึ่งพวกคนหัวก้าวหน้านั้นประสิทธิประสาทวิชาส่วนใหญ่มาจาก ฝรั่งเศส อังกฤษ เสียเป็นส่วนใหญ่
การก่อตั้งเทคโนแครตรุ่นแรกจากนายป๋วย อึ้งภากรณ์ ซึ่งเปรียบเสมือนบิดาแห่งเศรษฐศาสตร์ไทย ซึ่งนายป๋วยนั้นศึกษาที่ London School of Ecnomic ซึ่งมีแนวคิดผสมของกลุ่มลัทธิ Fabian Socialism เป็นหลัก
หรือโครงสร้างสมัยนายปรีดี พนมยงศ์ที่ศึกษาที่ฝรั่งเศสที่เป็นประเทศที่มีการปฏิวัติแรกๆของโลก ตั้งแต่นายพลนโปเลียนที่ตั้งตนเป็นกษัตริย์
หลังจากการปฏิวัติมา 1 ครั้ง เราก็ยังจะสังเกตเห็นการรัฐบาลจากชนชั้นนำ ร่วม 13 ครั้ง
ทำไมชนชั้นนำในไทยกลายเป็นกลุ่มทุนนิยมสามาน และ คอมมิวนิส
หลังจากการปฏิวัติ ณ ขณะเวลานั้น ทุนทรัพย์ที่ติดอยู่ใต้ร่มเงาของกษัตริย์เสียกว่า 70%ของประเทศ อีก 30% มีเพียงคนจีนที่ทำมาค้าขายเป็น และ กลุ่มข้าราชบริพารของกลุ่มก้อนกษัตริย์ การจัดสรรค์พระคลังเริ่มแปลเปลี่ยนไปสู่การจัดการของรัฐบาล และ บริหารสู่พวกพ้องกันเอง
นโยบายเล็กๆน้อย ที่คณะปฏิวัติได้ทำ อาจจะไม่มีผลมากนัก แต่ปรียบเสมือนดาบสองคมของพวกมองการใกล้
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง นายป๋วยที่ได้ขึ้นขึ้นมาดำรงค์ตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ ได้เริ่มก่อตั้งกลุ้มก้อนของ “ปัญญาชน” คนรุ่นใหม่ ในตอนนั้นขึ้นมา (Technocrat) เป็นองค์กรณ์ ที่มีแนวคิดด้วยเจตนารมณ์ที่ดี แต่จุดประสงค์ของพวกเค้าคือการนำพาชาติเป็นหลัก
การอนุมัตินโยบายต่างๆ หรือ การที่รัฐนั้น ต้องมาก่อนตลาด ประเทศชาติสำคัญกว่า ตลาด ทำให้ผู้คนนั้นวิ่งเข้าหาสิ่งที่เรียกว่าอำนาจรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขุนนาง และ เครือญาติของกษัตริย์ ที่กอบโกยรายได้หลังสงคราม
การเพิ่มอำนาจให้ธนาคารกลางและผู้ที่มีอภิสิทธิในการเข้าถึงเงินชั้นต่ำ รวมถึงตัวกษัตริย์เองในสมัยนั้น ถือเป็นเรื่องที่เลวร้าย เพราะความมั่งคั่งมาพร้อมกับการถวิลหาทรัพยากรณ์ที่มั่นคงกว่า
ใช่แล้วครับ ที่ดิน ไม่นานหลังจากนั้นนายป๋วยก็โดนข้อกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม
ประเทศไทยที่ผลิตเงินเพื่อรวมชาติสมัยใหม่ ( ไทยบาท ) มีนโยบายหลักๆ คือการอยู่ใต้บังคับบัญชาของสหรัฐ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพหลังจากการแพ้สงครามอันโง่เง่าของนายป.พิบูลสงคราม
หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ในแง่ของสังคมนั้นถูกจดจำโดยประชาชน ประชาชนผู้ซึ่งมีความเครียดแค้นจากความยากจน ประชาชนผู้ที่พ่ายแพ้ต่อภาวะเงินเฟ้อในยุคนั้น
พวกเค้าซึ่งรู้ดีว่า ทุนนิยม อยู่คนละฝ่ายกับพวกเค้า และ คอมมิวนิสต์ อุดมการณ์ ที่จะปลดปล่อยะวกเค้าให้เท่ากัน การกระชากหน้ากากของกษัตริย์จอมปลอม นั้นยังมีสิ่งที่เรียกว่าอำนาจทางทหารที่จักวรรดิอเมริกาทิ้งไว้ สักวันหนึ่งพวกเค้าจะต้องชดใช้สิ่งที่ทำกับประชาชน
……………………
หลังจากความวุ่นวายทุกๆ สี่ปี การเปลี่ยนแปลงมาถึงในปี 1991 สหภาพโซเวียตล่มสลาย และไทย ณ ขณะนั้นได้ตกลงสงบศึกจากทุกสมรภูมิ สงครามเวียดนาม สงครามที่ลาวแปลเปลี่ยนไปเป็น สงครามการค้า ในรัฐสมัยของ พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ โดยการนำเอาคณะการทำงานของตัวเองเข้าไปมีสิทธิมีเสียงในการบริหาร(เทคโนแครตรุ่นตลาดเสรี)
ตลาดเสรีเริ่มทำงาน จนวิกฤติต้มยำกุ้งเข้ามา(เรื่องนี้ไปหาอ่านเอา)
ในมุมมองของอิสรชนนิยมนั้นมองว่า boom and bust cycle นั่นเกิดขึ้นได้ตลอดและเป็นธรรมชาติที่เราไม่เคยได้รู้จักในตลาดเสรีระดับมหภาค ถึงแม้เรื่องนี้จะมีผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียผลประโยชน์ในโลก แต่คือ ปัญหาหลักของ Modern State ณ ยุคนั้น
จนบุคคลที่ชื่อ ”ทักษิณ ชิณวัตร“ เข้ามา
ตัวคุณทักษิณเติบโตจากการเป็นตำรวจสายวิชาการ และก็เป็นอีกคนที่โตมากับเส้นสายหรือระบบทุนนิยมสามานไทยมาเนิ่นนาน
การบริหารงาน การกล้าลงทุนหรือความรอบรู้แบบเชื้อจีน ทำให้การไต่เต้าของเค้าขึ้นมามีอำนาจทางธุรกิจนั้นทำได้อย่างน่าทึ่ง
มือนึงที่เป็นข้าราชการตำรวจ มือนึงที่เป็นผู้นำด้านธุรกิจสามาน อะไรจะหอมหวานขนาดนั้น
ด้วยแนวคิดหรือนโยบายเสรีนิยมใหม่เข้ามา การบริหารงานหลังจากปลดหนี้ คือขนมกรุบ
รัฐไปควบคู่กับตลาด เราจึงได้เห็นนโยบายที่ซื้ิอใจคนจนอย่างฝั่งซ้าย อย่าง 30 บาทรักษาทุกโรค(ที่เป็น Market Faillure) ในตอนนั้น นโยบายกอบทุนหมู่บ้าน(เหมือนเอาเงินไปแจกสมัยนี้)
ซึ่งสิ่งที่รัฐที่บริหารงานเหมือน CEOแบบนี้ มันประคองประเทศไปได้เรื่อยๆ และ ท้องถิ่นก็โตขึ้นมาได้เพราะรัฐบาลมีฝีมือในการดีลการค้ากับต่างประเทศ
และความชิบหายก็มาเยือน
ผู้พ่ายแพ้คือกษัตริย์และเหล่าทุนใหญ่ที่เกาะกินประเทศ
เนื่องด้วยความเป็นชาตินิยมที่กษัตริย์ปกครอง มันขายต่างประเทศไม่ได้ คนเค้าไม่ซื้อ ใครเค้าจะซื้อแบรนด์ของสิริกิต หากชาวบ้านมีฝีมือและไอเดียร์จากชุมชนมากกว่า
เมื่อฉันแพ้ในตลาด แต่ฉันจะชนะในความเป็นชาติ
ม๊อบชาตินิยมจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมขบวนการประชาธิปไตย และสงครามสีเสื้อ
ผู้แพ้ที่แท้จริงคือ ชิณวัตร และแน่นอนทุกอย่างเริ่มพังลงหลังการขึ้นมาของนายกหน้าม้า
นโยบายแก้ปัญหาที่สายเกินไปสำหรับโลกยุคโลกาภิวัฒน์ หลังเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ มีหรือ ที่รัฐบาลจะไม่ออกนโยบายแจกเงิน ตามการแก้ปัญหาของเคนส์เชี่ยน
นายอภิสิทแจกเช็ค 2,000 ชุดนักเรียนฟรี จนเกิดการฮั้วกันระหว่างนายทุนและโรงเรียนรัฐ
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปรับโครงสร้างและแทรกแซงธุรกิจ ทุกอย่าง จนตลาดพัง
นี่มันเข้าแก๊ปชาวชาตินิยม ชัดๆ
เพราะเราบอกแล้ว globalization มันไม่ดี การขายความเป็นชาตินิยม จนการขายเสรีภาพให้ทหารเริ่มเข้ามา ในขณะที่ตัวผู้นำการประท้วงก็ดำเนินธุรกิจภายใต้เงากษัตริย์
ทุนสามานเริ่มผงาด แต่โลกาภิวัฒน์ที่แท้จริงคือ Social Media หาใช่ฉันทามตินั่นไม่
ขบวนการฝ่ายซ้ายและคอมมิวนิสต์อดีตกาลนั้นเริ่มทำลายสังคมผ่านการตั้งคำถาม ด้านเสรีภาพ การตายของกษัตริย์ชาตินิยมที่แข็งแกร่งสู่กษัตริย์ที่มีพฤติกรรมเลวทราม
ปัญญาชนที่สั่งสมประสบการณ์เริ่มลุกฮือ และ พร้อมที่จะต่อสู้กับอำนาจนิยม ขาดแต่เพียงอาวุธเท่านั้น
ซึ่งเหล่าประชาชนเหล่านี้ก็ถูกปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่นโดยปัญญาชนยุคก่อน หรือ ยุค 6 ตุลาคม นั่นเอง
เมื่อคุณฆ่าศัตรูผู้สร้างให้เกิดความสงบขึ้นตาย ความชิบหายนั้นก็มาในทันที
การเปลี่ยนสังคมภายใต้แล้วคิด Neo-Marxism ของอันโตนิโอ กรัมซี่ นั้นได้ผล
เราไม่ต้องการอีกแล้วทุนนิยม เราต้องการความเท่าเทียม เหมือนชาติตะวันตก และการถืออำนาจนำตามฉบับกรัมซี่ ได้ก่อให้เกิดพรรคที่เรียกตัวเองว่าเป็นเสรีนิยมขึ้นมา
การสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหล่าทุนสามานไม่สามารถเอาชนะได้นอกจากเป็นพวกเดียวกันกับพวกใหม่เริ่มเกิดขึ้น
บทบาทของรัฐและตลาดเริ่มแปลเปลี่ยน ไปเป็นรัฐกับประชาชน เพื่อสร้างการเสรีภาพและสภาวะแวดล้อมจอมปลอม
เมื่อบทบาทเป็นแบบนี้เราจึงพบว่า ตัวของรัฐเองที่ต้องเล่นบทอนุรักษ์นิยมเทียม ซึ่งต้องสู้กับฝ่ายสังคมนิยม ในปัจจุบัน
ซึ่งเมื่อสภาพแวดล้อมเป็นแบบนี้ เราก็พอเข้าใจว่า ในประเทศเรานั้นหนีไม่พ้นเงื้อมมือของสองพวกนี้(หากอเมริกาพ่ายแพ้สงครามครั้งนี้) ก็ไร้ซึ่งอำนาจส่วนเกินหรือการควบคุมทหารภายในประเทศเรา และ ประเทศก็จะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝั่ง
หากเรามองดีๆ สงครามในต่างประเทศก็เหมือนรอปล่อยชนวน เหตุให้เกิด และ การที่ รัฐบาลนี้อยู่นานเท่าไหร่ การสร้างสภาวะแวดล้อมทางความเกลียดชังก็ยิ่งมากเท่านั้น ไม่ต่างกับลุงตู่ ผู้โง่เขลา
บิทคอยน์สำหรับผมนั้นมีค่าที่สุดในมุมมองนี้ และผมจะกอดมันไว้จนกว่าจะมีทางออกใหม่ ผมไม่สามารถให้เสรีภาพที่เรียกว่าการถือครองกรรมสิทธิ์อยู่ภายใต้การกำกับและดูแลของรัฐไหนได้ด้วยซ้ำ แม้แต่บ้านที่ผมอยู่ว่ามันถูกยึดไปได้ทุกเมื่อ
เสรีภาพที่ถูกพรากไปในยุคเผด็จการทหาร และ สิทธิในการพูดกำลังจะถูกพรากไปในอนาคต เราจะปล่อยให้ลูกของเรา สังคมของเราอยู่ไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่คิด ไม่สอนองคผืความรู้เหล่านี้ให้พวกเค้าได้อย่างไร
หากหลักเสรีภาพที่เรายึดมั่นคือการถือสิทธิ์ครองทรัพสินย์ หรือ แม้แต่การรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง นี่ต่างหากคือสิ่งที่มนุษย์ควรมีในการกระการตัดสินใจสักอย่าง
Core value of Bitcoin is Anarcho-Capitalism นี่คือเสรีภาพของฝั่งปัจเจกชน นอกเหนือจากสิทธิ์ในการปกป้องดูแลตนเอง
ศีลธรรมและจริยธรรมนั้นควรก่อกำเนิดจากผู้ที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่การเป็นลูกแกะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จนเกิดศีลธรรมหมู่
#siamstr
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น…
รัฐศาสตร์หรือการปกครองในรูปแบบกษัตริย์นิยมในวัฏจักรของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั้นแตกต่างออกไปจาก ประเทศโซนยุโรป ออสเตรีย ฮังกรารี หรือ ลิกเทนสไตน์ ตามประวัติศาสตร์ ฮีโร่ หรือ บุคคลที่น่ายกย่องนั้นมีแนวคิดการรวมชาติเป็นหนึ่งมากกว่า แย่งชิงอาณาเขตซึ่งกันและกัน
ภูมิภาคที่สมดุลย์ของฤดูกาล สามารถที่จะระบุฤดูเก็บเกี่ยวหรือผลผลิต ผ่านการจัดการได้ดี และ เป็นเหตุผลว่าทำไม เหล่าฮีโร่จึงทรยศเราได้ในบางครั้ง
(เหตุผลที่สิงคโปรค์ผลักดันนโยบายการค้าเสรีได้เพราะ ภูมิรัฐศาสตร์ของเค้ามีจุดที่ตั้งติดทะเล และ เป็นประเทศใหม่ที่แยกตัวออกมาจากมาเลเซีย โดยที่ผู้นำเผด็จการคาบประชาธิปไตยสามารถนำชาติมารวมกับตลาดได้อย่างดี ((State Capitalism)))
เราจะเห็นว่าหลังการปฏิวัติ 2475 ชาวไทยหรือชาวสยามเดิมนั้นมุ่งเน้นไปทางด้านปัจจัยทางสังคม ความเท่าเทียม และ การปลดปล่อยตัวเองจากโซ่ตรวนของกษัตริย์ โดยพวกที่เรียกตัวเองว่าหัวก้าวหน้า ซึ่งพวกคนหัวก้าวหน้านั้นประสิทธิประสาทวิชาส่วนใหญ่มาจาก ฝรั่งเศส อังกฤษ เสียเป็นส่วนใหญ่
การก่อตั้งเทคโนแครตรุ่นแรกจากนายป๋วย อึ้งภากรณ์ ซึ่งเปรียบเสมือนบิดาแห่งเศรษฐศาสตร์ไทย ซึ่งนายป๋วยนั้นศึกษาที่ London School of Ecnomic ซึ่งมีแนวคิดผสมของกลุ่มลัทธิ Fabian Socialism เป็นหลัก
หรือโครงสร้างสมัยนายปรีดี พนมยงศ์ที่ศึกษาที่ฝรั่งเศสที่เป็นประเทศที่มีการปฏิวัติแรกๆของโลก ตั้งแต่นายพลนโปเลียนที่ตั้งตนเป็นกษัตริย์
หลังจากการปฏิวัติมา 1 ครั้ง เราก็ยังจะสังเกตเห็นการรัฐบาลจากชนชั้นนำ ร่วม 13 ครั้ง
ทำไมชนชั้นนำในไทยกลายเป็นกลุ่มทุนนิยมสามาน และ คอมมิวนิส
หลังจากการปฏิวัติ ณ ขณะเวลานั้น ทุนทรัพย์ที่ติดอยู่ใต้ร่มเงาของกษัตริย์เสียกว่า 70%ของประเทศ อีก 30% มีเพียงคนจีนที่ทำมาค้าขายเป็น และ กลุ่มข้าราชบริพารของกลุ่มก้อนกษัตริย์ การจัดสรรค์พระคลังเริ่มแปลเปลี่ยนไปสู่การจัดการของรัฐบาล และ บริหารสู่พวกพ้องกันเอง
นโยบายเล็กๆน้อย ที่คณะปฏิวัติได้ทำ อาจจะไม่มีผลมากนัก แต่ปรียบเสมือนดาบสองคมของพวกมองการใกล้
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง นายป๋วยที่ได้ขึ้นขึ้นมาดำรงค์ตำแหน่งผู้ว่าแบงก์ชาติ ได้เริ่มก่อตั้งกลุ้มก้อนของ “ปัญญาชน” คนรุ่นใหม่ ในตอนนั้นขึ้นมา (Technocrat) เป็นองค์กรณ์ ที่มีแนวคิดด้วยเจตนารมณ์ที่ดี แต่จุดประสงค์ของพวกเค้าคือการนำพาชาติเป็นหลัก
การอนุมัตินโยบายต่างๆ หรือ การที่รัฐนั้น ต้องมาก่อนตลาด ประเทศชาติสำคัญกว่า ตลาด ทำให้ผู้คนนั้นวิ่งเข้าหาสิ่งที่เรียกว่าอำนาจรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขุนนาง และ เครือญาติของกษัตริย์ ที่กอบโกยรายได้หลังสงคราม
การเพิ่มอำนาจให้ธนาคารกลางและผู้ที่มีอภิสิทธิในการเข้าถึงเงินชั้นต่ำ รวมถึงตัวกษัตริย์เองในสมัยนั้น ถือเป็นเรื่องที่เลวร้าย เพราะความมั่งคั่งมาพร้อมกับการถวิลหาทรัพยากรณ์ที่มั่นคงกว่า
ใช่แล้วครับ ที่ดิน ไม่นานหลังจากนั้นนายป๋วยก็โดนข้อกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม
ประเทศไทยที่ผลิตเงินเพื่อรวมชาติสมัยใหม่ ( ไทยบาท ) มีนโยบายหลักๆ คือการอยู่ใต้บังคับบัญชาของสหรัฐ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพหลังจากการแพ้สงครามอันโง่เง่าของนายป.พิบูลสงคราม
หลังเหตุการณ์ 6 ตุลา ในแง่ของสังคมนั้นถูกจดจำโดยประชาชน ประชาชนผู้ซึ่งมีความเครียดแค้นจากความยากจน ประชาชนผู้ที่พ่ายแพ้ต่อภาวะเงินเฟ้อในยุคนั้น
พวกเค้าซึ่งรู้ดีว่า ทุนนิยม อยู่คนละฝ่ายกับพวกเค้า และ คอมมิวนิสต์ อุดมการณ์ ที่จะปลดปล่อยะวกเค้าให้เท่ากัน การกระชากหน้ากากของกษัตริย์จอมปลอม นั้นยังมีสิ่งที่เรียกว่าอำนาจทางทหารที่จักวรรดิอเมริกาทิ้งไว้ สักวันหนึ่งพวกเค้าจะต้องชดใช้สิ่งที่ทำกับประชาชน
……………………
หลังจากความวุ่นวายทุกๆ สี่ปี การเปลี่ยนแปลงมาถึงในปี 1991 สหภาพโซเวียตล่มสลาย และไทย ณ ขณะนั้นได้ตกลงสงบศึกจากทุกสมรภูมิ สงครามเวียดนาม สงครามที่ลาวแปลเปลี่ยนไปเป็น สงครามการค้า ในรัฐสมัยของ พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ โดยการนำเอาคณะการทำงานของตัวเองเข้าไปมีสิทธิมีเสียงในการบริหาร(เทคโนแครตรุ่นตลาดเสรี)
ตลาดเสรีเริ่มทำงาน จนวิกฤติต้มยำกุ้งเข้ามา(เรื่องนี้ไปหาอ่านเอา)
ในมุมมองของอิสรชนนิยมนั้นมองว่า boom and bust cycle นั่นเกิดขึ้นได้ตลอดและเป็นธรรมชาติที่เราไม่เคยได้รู้จักในตลาดเสรีระดับมหภาค ถึงแม้เรื่องนี้จะมีผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียผลประโยชน์ในโลก แต่คือ ปัญหาหลักของ Modern State ณ ยุคนั้น
จนบุคคลที่ชื่อ ”ทักษิณ ชิณวัตร“ เข้ามา
ตัวคุณทักษิณเติบโตจากการเป็นตำรวจสายวิชาการ และก็เป็นอีกคนที่โตมากับเส้นสายหรือระบบทุนนิยมสามานไทยมาเนิ่นนาน
การบริหารงาน การกล้าลงทุนหรือความรอบรู้แบบเชื้อจีน ทำให้การไต่เต้าของเค้าขึ้นมามีอำนาจทางธุรกิจนั้นทำได้อย่างน่าทึ่ง
มือนึงที่เป็นข้าราชการตำรวจ มือนึงที่เป็นผู้นำด้านธุรกิจสามาน อะไรจะหอมหวานขนาดนั้น
ด้วยแนวคิดหรือนโยบายเสรีนิยมใหม่เข้ามา การบริหารงานหลังจากปลดหนี้ คือขนมกรุบ
รัฐไปควบคู่กับตลาด เราจึงได้เห็นนโยบายที่ซื้ิอใจคนจนอย่างฝั่งซ้าย อย่าง 30 บาทรักษาทุกโรค(ที่เป็น Market Faillure) ในตอนนั้น นโยบายกอบทุนหมู่บ้าน(เหมือนเอาเงินไปแจกสมัยนี้)
ซึ่งสิ่งที่รัฐที่บริหารงานเหมือน CEOแบบนี้ มันประคองประเทศไปได้เรื่อยๆ และ ท้องถิ่นก็โตขึ้นมาได้เพราะรัฐบาลมีฝีมือในการดีลการค้ากับต่างประเทศ
และความชิบหายก็มาเยือน
ผู้พ่ายแพ้คือกษัตริย์และเหล่าทุนใหญ่ที่เกาะกินประเทศ
เนื่องด้วยความเป็นชาตินิยมที่กษัตริย์ปกครอง มันขายต่างประเทศไม่ได้ คนเค้าไม่ซื้อ ใครเค้าจะซื้อแบรนด์ของสิริกิต หากชาวบ้านมีฝีมือและไอเดียร์จากชุมชนมากกว่า
เมื่อฉันแพ้ในตลาด แต่ฉันจะชนะในความเป็นชาติ
ม๊อบชาตินิยมจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมขบวนการประชาธิปไตย และสงครามสีเสื้อ
ผู้แพ้ที่แท้จริงคือ ชิณวัตร และแน่นอนทุกอย่างเริ่มพังลงหลังการขึ้นมาของนายกหน้าม้า
นโยบายแก้ปัญหาที่สายเกินไปสำหรับโลกยุคโลกาภิวัฒน์ หลังเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ มีหรือ ที่รัฐบาลจะไม่ออกนโยบายแจกเงิน ตามการแก้ปัญหาของเคนส์เชี่ยน
นายอภิสิทแจกเช็ค 2,000 ชุดนักเรียนฟรี จนเกิดการฮั้วกันระหว่างนายทุนและโรงเรียนรัฐ
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ปรับโครงสร้างและแทรกแซงธุรกิจ ทุกอย่าง จนตลาดพัง
นี่มันเข้าแก๊ปชาวชาตินิยม ชัดๆ
เพราะเราบอกแล้ว globalization มันไม่ดี การขายความเป็นชาตินิยม จนการขายเสรีภาพให้ทหารเริ่มเข้ามา ในขณะที่ตัวผู้นำการประท้วงก็ดำเนินธุรกิจภายใต้เงากษัตริย์
ทุนสามานเริ่มผงาด แต่โลกาภิวัฒน์ที่แท้จริงคือ Social Media หาใช่ฉันทามตินั่นไม่
ขบวนการฝ่ายซ้ายและคอมมิวนิสต์อดีตกาลนั้นเริ่มทำลายสังคมผ่านการตั้งคำถาม ด้านเสรีภาพ การตายของกษัตริย์ชาตินิยมที่แข็งแกร่งสู่กษัตริย์ที่มีพฤติกรรมเลวทราม
ปัญญาชนที่สั่งสมประสบการณ์เริ่มลุกฮือ และ พร้อมที่จะต่อสู้กับอำนาจนิยม ขาดแต่เพียงอาวุธเท่านั้น
ซึ่งเหล่าประชาชนเหล่านี้ก็ถูกปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่นโดยปัญญาชนยุคก่อน หรือ ยุค 6 ตุลาคม นั่นเอง
เมื่อคุณฆ่าศัตรูผู้สร้างให้เกิดความสงบขึ้นตาย ความชิบหายนั้นก็มาในทันที
การเปลี่ยนสังคมภายใต้แล้วคิด Neo-Marxism ของอันโตนิโอ กรัมซี่ นั้นได้ผล
เราไม่ต้องการอีกแล้วทุนนิยม เราต้องการความเท่าเทียม เหมือนชาติตะวันตก และการถืออำนาจนำตามฉบับกรัมซี่ ได้ก่อให้เกิดพรรคที่เรียกตัวเองว่าเป็นเสรีนิยมขึ้นมา
การสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหล่าทุนสามานไม่สามารถเอาชนะได้นอกจากเป็นพวกเดียวกันกับพวกใหม่เริ่มเกิดขึ้น
บทบาทของรัฐและตลาดเริ่มแปลเปลี่ยน ไปเป็นรัฐกับประชาชน เพื่อสร้างการเสรีภาพและสภาวะแวดล้อมจอมปลอม
เมื่อบทบาทเป็นแบบนี้เราจึงพบว่า ตัวของรัฐเองที่ต้องเล่นบทอนุรักษ์นิยมเทียม ซึ่งต้องสู้กับฝ่ายสังคมนิยม ในปัจจุบัน
ซึ่งเมื่อสภาพแวดล้อมเป็นแบบนี้ เราก็พอเข้าใจว่า ในประเทศเรานั้นหนีไม่พ้นเงื้อมมือของสองพวกนี้(หากอเมริกาพ่ายแพ้สงครามครั้งนี้) ก็ไร้ซึ่งอำนาจส่วนเกินหรือการควบคุมทหารภายในประเทศเรา และ ประเทศก็จะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของอีกฝั่ง
หากเรามองดีๆ สงครามในต่างประเทศก็เหมือนรอปล่อยชนวน เหตุให้เกิด และ การที่ รัฐบาลนี้อยู่นานเท่าไหร่ การสร้างสภาวะแวดล้อมทางความเกลียดชังก็ยิ่งมากเท่านั้น ไม่ต่างกับลุงตู่ ผู้โง่เขลา
บิทคอยน์สำหรับผมนั้นมีค่าที่สุดในมุมมองนี้ และผมจะกอดมันไว้จนกว่าจะมีทางออกใหม่ ผมไม่สามารถให้เสรีภาพที่เรียกว่าการถือครองกรรมสิทธิ์อยู่ภายใต้การกำกับและดูแลของรัฐไหนได้ด้วยซ้ำ แม้แต่บ้านที่ผมอยู่ว่ามันถูกยึดไปได้ทุกเมื่อ
เสรีภาพที่ถูกพรากไปในยุคเผด็จการทหาร และ สิทธิในการพูดกำลังจะถูกพรากไปในอนาคต เราจะปล่อยให้ลูกของเรา สังคมของเราอยู่ไปเรื่อยๆ โดยที่เราไม่คิด ไม่สอนองคผืความรู้เหล่านี้ให้พวกเค้าได้อย่างไร
หากหลักเสรีภาพที่เรายึดมั่นคือการถือสิทธิ์ครองทรัพสินย์ หรือ แม้แต่การรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง นี่ต่างหากคือสิ่งที่มนุษย์ควรมีในการกระการตัดสินใจสักอย่าง
Core value of Bitcoin is Anarcho-Capitalism นี่คือเสรีภาพของฝั่งปัจเจกชน นอกเหนือจากสิทธิ์ในการปกป้องดูแลตนเอง
ศีลธรรมและจริยธรรมนั้นควรก่อกำเนิดจากผู้ที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่การเป็นลูกแกะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จนเกิดศีลธรรมหมู่
#siamstr