Jakk Goodday on Nostr: ### ศิลปะแห่งการบอกต่อ ...
### ศิลปะแห่งการบอกต่อ
ชวนยังไงให้คนอยากลอง Nostr?
ไหนๆ ก็ดันตื่นเช้าๆ มาทำงานในวันที่ไม่ควรมาแล้ว นั่งเขียนโน๊ตเล่นๆ มันเลยก็แล้วกัน..
ผมเปิดเข้าไปดู FB อยากรู้ว่าในกลุ่มไซแอมมีสเขาคุยอะไรกันบ้าง ผมเห็นการพูดถึง Nostr (ป้ายยา) ในลักษณะที่เป็นการ "ป้ายยา" จริงๆ จังๆ อยู่เยอะพอสมควร
ผมจะแนะนำอย่างนี้นะว่า..
แบบนั้นมันจะได้ผลช้าครับ..
Nostr มันดีอย่างนั้น มันเจ๋งอย่างนี้ ทำไอ้โน่นได้ ทำไอ้นี่ลื่น มันสนุก มันเฮฮาปาจิงโกะ ฯลฯ
เชื่อผมไหมครับว่า.. การป้ายยาในลักษณะนั้น มันทำให้คน "คลิก" กับสาส์นที่เราต้องการจะสื่อได้ยากมาก
ผมเรียนรู้จากการ Pitching มาอย่างโชกโชยมาว่า.. มันมี "Key word" สำคัญๆ อยู่แค่ 3 คำเท่านั้นในการ Convince
### Pain point 😵💫
เรามักจะไม่ซื้อยาแก้ปวดกันหรอก ถ้าเราไม่ปวดอะไรเลย
เรามักจะไม่กิน ถ้าเรายังไม่หิว
เช่นกัน..
ไม่ว่าของที่เราจะนำเสนอ มันจะเลิศเลอเพอร์เฟคขนาดไหนก็ตาม ตราบใดที่เขาไม่ได้กำลังประสบปัญหาอะไรบางอย่างที่ "สิ่งนั้น" จะช่วยแก้ไขหรือทำให้เขาหลุดพ้นจากปัญหานั้นได้
มันก็ยากที่จะมีเหตุผลหรือมีน้ำหนักเพียงพอให้เขาต้องรีบสนใจมันในทันที..
"เจ๋งเหรอ..? แล้วยังไงต่อ?
ฉันยังไม่มีความจำเป็นต้องอยากได้มันในตอนนี้.."
สมชาย คิดในใจหลังจากพึ่งมีคนมานำเสนอ "เครื่องทำน้ำอุ่น" ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวจนตับจะแตก..
สมชายเดินไปยังหน้าปากซอย ทำหน้าโคตรเบื่อแมลงสาบ (เซลล์ขายเครื่องทำน้ำอุ่น) เขาไปหยุดที่ร้านขายเครื่องดื่มของคุณป้าข้างทาง
"ขอน้ำเย็นๆ สักขวดสิป้า"
"40 บาทจ้ะพ่อหนุ่ม"
"บ้าเหรอป้า 40 บาท เลยเหรอ!?"
แต่สุดท้าย.. สมชายก็ซื้อน้ำนั่นอยู่ดี ก็ที่บ้านตู้เย็นดันมาเสีย ร้อนก็ร้อน น้ำเย็นๆ สักแก้วคือสิ่งที่เค้าต้องการจนแทบจะขาดใจ
### Solution 🛠️
จากกรณีตัวอย่างง่ายๆ ดังกล่าว..
"Solution" ที่สมชายกำลังมองหา แบบถ้ากูเจอจะคว้าทันทีก็คือ "น้ำเย็นๆ"
เมื่อความต้องการกับสินค้ามันแมชชิ่งกัน ราคาจึงไม่ใช่สาระสำคัญอีกต่อไป
ไม่ว่าเรากำลังต้องการจะนำเสนออะไรก็ตาม เราจะกลายร่างเป็น "แมลงสาบ" ไปในทันที ถ้าเราไม่เข้าใจ "ความต้องการ" (ดีมานด์) หรือปัญหา (Pain point) ของเป้าหมาย
มันยาก.. ที่เขาจะมองเห็นคุณค่าใดๆ ของ "สิ่งมีค่า" ที่เรากำลังพร่ำพรรณาว่ามันเลิศหรูอย่างนั้นอย่างนี้
แม้นว่าเขาจะตระหนักได้อย่างสุดซึ้ง ว่าสิ่งที่เรากำลัง "ป้าย" อยู่นั้นจะหรูหราหมาเห่าแค่ไหน แต่เขาก็คงต้องดึงสติตัวเองให้ตื่นรู้จนได้ ว่ากูยังไม่มีความจำเป็นต้องคว้ามันให้ได้ในตอนนี้
ในกรณีแบบนี้..
มันมีโอกาสสูงมากที่เขาจะเลือก "ปฏิเสธ" หรือบอกปัดผ่านมันไปก่อน
### Benefit 🚀
แทนที่พี่จะเดินเหงื่อโชกท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ ตามมาด้วยขี้เกลือขึ้นเสื้อเต็มหลัง
"เสื้อกล้าม" ตัวนี้ที่แสนโล่งโปร่งสบาย ระบายเหงื่อกันแบบวินาทีต่อวินาที หมดปัญหาขี้เกลือขึ้นเต็มหลังกันอย่างปลิดทิ้ง
คุณพ่อบ้านไม่ต้องมานั่งซักผ้าให้เมียเองกันอีกต่อไป.. เมื่อคุณมีเมียน้อยจอมขยัน ที่จะหอบเสื้อผ้าจากบ้านหลังใหญ่ไปจัดการให้คุณจนขาวสะอาดโดยไม่มีวันเรียกร้องอะไรเลย
ฯลฯ
เทือกนี้คือ "Benefit" หรือ ประโยชน์ ที่จะเกิดขึ้นกับเขา คือสิ่งที่เขาจะได้รับเมื่อตัดสินใจคว้าโซลูชั่นที่เรากำลังจะนำเสนอ
..แต่เพียงคำพูดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณตัดสินใจรับมันไปในวันนี้ มันไม่เพียงพอจะทำให้คนตัดสินใจกันได้ง่ายๆ
เราจึงต้องจำลองหรือวาดภาพสถานการณ์, ยูสเคส, สิทธิประโยชน์, ผลลัพธ์ ฯลญ เหล่านั้นให้เกิดขึ้นในมโนภาพของเขาให้ได้
ว่าเมื่อใดที่ Solution ของเราเข้าไป Fix pain point เหล่านั้น อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง?
ชีวิตของเขาจะดีขึ้นได้ยังไง มันไปเพิ่มความสะดวกอะไร มันมอบอะไรให้เขา ในแง่ไหน อย่างไร?
ถ้า "Benefit" ที่เรากำลังพยายามป้ายอยู่ ไม่เคยใช่สิ่งที่เขาจะตามหา มันก็จะยังไม่ "คลิก" เช่นเดียวกัน
เพราะมันอาจยังไม่ตรงกับความต้องการหรือปัญหาที่เขาเหล่านั้นกำลังต้องเผชิญ
---
ผมอธิบายวนอยู่ 3 คำหลักๆ นี้เพราะมันคอนเน็คซึ่งกันและกันอย่างฝังรากลึก ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของมัน เราก็มักจะป้ายลมกันอยู่เรื่อยๆ
แต่ในทางปฏิบัติมันไม่มีใครเขาทำกันหรอกครับ ที่จู่ๆ จะเดินเข้าไปบอกกันโต้งๆ ว่า Pain point ของคนอื่นมันคืออะไร
เพราะมันคงไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าไปตอกย้ำหรือขยี้เกลือใส่แผลของเขา แบบนั้นมันยิ่งจะน่ารำคาญ
มึงกล้าดียังไงเหรอถึงมาบอกว่ากูสิวเห่อ !?
การ "ป้ายยา" ก็จำเป็นต้องมีศิลปะเช่นเดียวกัน
ใน 3 คำนี้เราจะเริ่มจาก Benefit ย้อนไปหา Pain point หรือจะพูดถึงตัว Solution ก่อนก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องเชื่อมโยงมันเข้ากันให้ได้ก่อน
อ้าว..!?
แล้วถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้กำลังประสบปัญหาใดๆ อยู่เลยล่ะ เราจะทำยังไง?
ความธรรมดา ความจำเจ ลูปเดิมๆ อะไรที่เหมือนเดิมไม่เคยดีขึ้น บางทีมันก็กลายเป็นปัญหาที่ซ่อนตัวอยู่ได้เหมือนกัน
บางครั้งคนเราไม่เคยรู้สึกหรอกว่าชีวิตอันแสนเรียบง่ายที่สุดแสนจะธรรมดานั้น ก็กำลังจะกลายเป็นปัญหา เพราะมันไม่เคยมีอะไรที่ดีขึ้นมาได้เลย
Benefit ที่จะเข้าไปเสริม ไปผลักดัน ไปมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับเขา ก็เป็นอะไรที่เขาอาจจะให้ความสนใจได้เช่นเดียวกัน (แม้มันจะมีพลังน้อยกว่าการ fix pain point อยู่บ้างก็ตาม)
ผมคงไม่เก่งพอจะบอกพวกเราได้ว่า เราควรจะป้ายยากันด้วยแพทเทิร์นไหน
แต่ผมก็เชื่อเหลือเกินว่า การนำเอาความเข้าใจจากความสัมพันธ์ของ 3 คำนี้ไปปรับใช้งานได้อย่างแนบเนียน จะช่วยให้การนำเสนอของพวกเรานั้นมีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น
ยิ่งทำบ่อย คุณยิ่งเข้าใจ ยิ่งทำมาก คุณยิ่งจับทางมันได้ และสุดท้ายคุณจะยิ่งเชี่ยวชาญ
ทุกคนบนสังคมโซเชียลมีเดียต่างก็รู้ตัวเองดี ว่าอัลกอริทึมกำลังทำอะไรกับพวกเขาอยู่ในตอนนี้
พวกเขาอึดอัดและคงกำลังมองหาอะไรที่ดีกว่า พวกเขาก็ประสบปัญหาเดียวกันกับปัญหาที่เราเคยตระหนักได้กันมาก่อนทั้งนั้นแหละ
มันอาจไม่จำเป็นต้องไปเข้าขยี้แผลของพวกเขา
มันอาจไม่จำเป็นต้องเอาของดีไปอวดอ้าง
มันอาจไม่จำเป็นต้องเข้าไปเย้ยหยันราวกับว่าเราตัดสินใจได้ชาญฉลาดกว่าเป็นไหนๆ
เราจะทำสำเร็จถ้าพวกเขาสัมผัสมันได้จากก้นบึ้งของหัวใจ ว่าข้อความที่เรากำลังสื่อสารกับพวกเขานั้น
> เรากำลังอยากจะช่วยพวกเขาจริงๆ ออกมาจากใจ
บอกกับพวกเขาสิว่า.. เราทำอะไรกันบ้างบน Nostr
บอกเล่าความประทับใจออกมาเป็นฉากๆ
บอกว่าเรารู้สึกดีกันยังไงที่ได้มาลองใช้ชีวิตอยู่บน Nostr
บอกพวกเขาว่าปัญหาอะไรที่จากลาเราไปบ้างหลังการ Adopt ใช้ Nostr
อาณุภาพของ "เรื่องเล่า" มันรุนแรงกว่าที่คุณคิด
บอกไปสิว่าทำไมเราอยากช่วยพวกเขาให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ดีกว่า
มนุษย์ไม่ได้ชอบให้ใครเกินเข้ามายัดเยียดสอน แต่เราจะรู้สึกดีกว่าและประทับใจมันเสมอ เมื่อมีใครสักคนเดินเข้ามาช่วยเหลือหรือมอบสิ่งดีๆ ให้กับเรา "อย่างเป็นมิตร"
ถ้าคุณทำให้พวกเขาสัมผัส Benefit เหล่านั้นด้วยใจไม่ได้
Solution ของคุณก็ไร้ความหมาย
และ Pain point เหล่านั้นก็คงจะยังคงอยู่กับพวกเขาตลอดไป..
#Siamstr
ชวนยังไงให้คนอยากลอง Nostr?
ไหนๆ ก็ดันตื่นเช้าๆ มาทำงานในวันที่ไม่ควรมาแล้ว นั่งเขียนโน๊ตเล่นๆ มันเลยก็แล้วกัน..
ผมเปิดเข้าไปดู FB อยากรู้ว่าในกลุ่มไซแอมมีสเขาคุยอะไรกันบ้าง ผมเห็นการพูดถึง Nostr (ป้ายยา) ในลักษณะที่เป็นการ "ป้ายยา" จริงๆ จังๆ อยู่เยอะพอสมควร
ผมจะแนะนำอย่างนี้นะว่า..
แบบนั้นมันจะได้ผลช้าครับ..
Nostr มันดีอย่างนั้น มันเจ๋งอย่างนี้ ทำไอ้โน่นได้ ทำไอ้นี่ลื่น มันสนุก มันเฮฮาปาจิงโกะ ฯลฯ
เชื่อผมไหมครับว่า.. การป้ายยาในลักษณะนั้น มันทำให้คน "คลิก" กับสาส์นที่เราต้องการจะสื่อได้ยากมาก
ผมเรียนรู้จากการ Pitching มาอย่างโชกโชยมาว่า.. มันมี "Key word" สำคัญๆ อยู่แค่ 3 คำเท่านั้นในการ Convince
### Pain point 😵💫
เรามักจะไม่ซื้อยาแก้ปวดกันหรอก ถ้าเราไม่ปวดอะไรเลย
เรามักจะไม่กิน ถ้าเรายังไม่หิว
เช่นกัน..
ไม่ว่าของที่เราจะนำเสนอ มันจะเลิศเลอเพอร์เฟคขนาดไหนก็ตาม ตราบใดที่เขาไม่ได้กำลังประสบปัญหาอะไรบางอย่างที่ "สิ่งนั้น" จะช่วยแก้ไขหรือทำให้เขาหลุดพ้นจากปัญหานั้นได้
มันก็ยากที่จะมีเหตุผลหรือมีน้ำหนักเพียงพอให้เขาต้องรีบสนใจมันในทันที..
"เจ๋งเหรอ..? แล้วยังไงต่อ?
ฉันยังไม่มีความจำเป็นต้องอยากได้มันในตอนนี้.."
สมชาย คิดในใจหลังจากพึ่งมีคนมานำเสนอ "เครื่องทำน้ำอุ่น" ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าวจนตับจะแตก..
สมชายเดินไปยังหน้าปากซอย ทำหน้าโคตรเบื่อแมลงสาบ (เซลล์ขายเครื่องทำน้ำอุ่น) เขาไปหยุดที่ร้านขายเครื่องดื่มของคุณป้าข้างทาง
"ขอน้ำเย็นๆ สักขวดสิป้า"
"40 บาทจ้ะพ่อหนุ่ม"
"บ้าเหรอป้า 40 บาท เลยเหรอ!?"
แต่สุดท้าย.. สมชายก็ซื้อน้ำนั่นอยู่ดี ก็ที่บ้านตู้เย็นดันมาเสีย ร้อนก็ร้อน น้ำเย็นๆ สักแก้วคือสิ่งที่เค้าต้องการจนแทบจะขาดใจ
### Solution 🛠️
จากกรณีตัวอย่างง่ายๆ ดังกล่าว..
"Solution" ที่สมชายกำลังมองหา แบบถ้ากูเจอจะคว้าทันทีก็คือ "น้ำเย็นๆ"
เมื่อความต้องการกับสินค้ามันแมชชิ่งกัน ราคาจึงไม่ใช่สาระสำคัญอีกต่อไป
ไม่ว่าเรากำลังต้องการจะนำเสนออะไรก็ตาม เราจะกลายร่างเป็น "แมลงสาบ" ไปในทันที ถ้าเราไม่เข้าใจ "ความต้องการ" (ดีมานด์) หรือปัญหา (Pain point) ของเป้าหมาย
มันยาก.. ที่เขาจะมองเห็นคุณค่าใดๆ ของ "สิ่งมีค่า" ที่เรากำลังพร่ำพรรณาว่ามันเลิศหรูอย่างนั้นอย่างนี้
แม้นว่าเขาจะตระหนักได้อย่างสุดซึ้ง ว่าสิ่งที่เรากำลัง "ป้าย" อยู่นั้นจะหรูหราหมาเห่าแค่ไหน แต่เขาก็คงต้องดึงสติตัวเองให้ตื่นรู้จนได้ ว่ากูยังไม่มีความจำเป็นต้องคว้ามันให้ได้ในตอนนี้
ในกรณีแบบนี้..
มันมีโอกาสสูงมากที่เขาจะเลือก "ปฏิเสธ" หรือบอกปัดผ่านมันไปก่อน
### Benefit 🚀
แทนที่พี่จะเดินเหงื่อโชกท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆ ตามมาด้วยขี้เกลือขึ้นเสื้อเต็มหลัง
"เสื้อกล้าม" ตัวนี้ที่แสนโล่งโปร่งสบาย ระบายเหงื่อกันแบบวินาทีต่อวินาที หมดปัญหาขี้เกลือขึ้นเต็มหลังกันอย่างปลิดทิ้ง
คุณพ่อบ้านไม่ต้องมานั่งซักผ้าให้เมียเองกันอีกต่อไป.. เมื่อคุณมีเมียน้อยจอมขยัน ที่จะหอบเสื้อผ้าจากบ้านหลังใหญ่ไปจัดการให้คุณจนขาวสะอาดโดยไม่มีวันเรียกร้องอะไรเลย
ฯลฯ
เทือกนี้คือ "Benefit" หรือ ประโยชน์ ที่จะเกิดขึ้นกับเขา คือสิ่งที่เขาจะได้รับเมื่อตัดสินใจคว้าโซลูชั่นที่เรากำลังจะนำเสนอ
..แต่เพียงคำพูดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคุณตัดสินใจรับมันไปในวันนี้ มันไม่เพียงพอจะทำให้คนตัดสินใจกันได้ง่ายๆ
เราจึงต้องจำลองหรือวาดภาพสถานการณ์, ยูสเคส, สิทธิประโยชน์, ผลลัพธ์ ฯลญ เหล่านั้นให้เกิดขึ้นในมโนภาพของเขาให้ได้
ว่าเมื่อใดที่ Solution ของเราเข้าไป Fix pain point เหล่านั้น อะไรจะเกิดขึ้นได้บ้าง?
ชีวิตของเขาจะดีขึ้นได้ยังไง มันไปเพิ่มความสะดวกอะไร มันมอบอะไรให้เขา ในแง่ไหน อย่างไร?
ถ้า "Benefit" ที่เรากำลังพยายามป้ายอยู่ ไม่เคยใช่สิ่งที่เขาจะตามหา มันก็จะยังไม่ "คลิก" เช่นเดียวกัน
เพราะมันอาจยังไม่ตรงกับความต้องการหรือปัญหาที่เขาเหล่านั้นกำลังต้องเผชิญ
---
ผมอธิบายวนอยู่ 3 คำหลักๆ นี้เพราะมันคอนเน็คซึ่งกันและกันอย่างฝังรากลึก ตราบใดที่เรายังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของมัน เราก็มักจะป้ายลมกันอยู่เรื่อยๆ
แต่ในทางปฏิบัติมันไม่มีใครเขาทำกันหรอกครับ ที่จู่ๆ จะเดินเข้าไปบอกกันโต้งๆ ว่า Pain point ของคนอื่นมันคืออะไร
เพราะมันคงไม่ต่างอะไรกับการเดินเข้าไปตอกย้ำหรือขยี้เกลือใส่แผลของเขา แบบนั้นมันยิ่งจะน่ารำคาญ
มึงกล้าดียังไงเหรอถึงมาบอกว่ากูสิวเห่อ !?
การ "ป้ายยา" ก็จำเป็นต้องมีศิลปะเช่นเดียวกัน
ใน 3 คำนี้เราจะเริ่มจาก Benefit ย้อนไปหา Pain point หรือจะพูดถึงตัว Solution ก่อนก็ได้ แต่สิ่งสำคัญคือคุณต้องเชื่อมโยงมันเข้ากันให้ได้ก่อน
อ้าว..!?
แล้วถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้กำลังประสบปัญหาใดๆ อยู่เลยล่ะ เราจะทำยังไง?
ความธรรมดา ความจำเจ ลูปเดิมๆ อะไรที่เหมือนเดิมไม่เคยดีขึ้น บางทีมันก็กลายเป็นปัญหาที่ซ่อนตัวอยู่ได้เหมือนกัน
บางครั้งคนเราไม่เคยรู้สึกหรอกว่าชีวิตอันแสนเรียบง่ายที่สุดแสนจะธรรมดานั้น ก็กำลังจะกลายเป็นปัญหา เพราะมันไม่เคยมีอะไรที่ดีขึ้นมาได้เลย
Benefit ที่จะเข้าไปเสริม ไปผลักดัน ไปมอบประสบการณ์ที่ดีกว่าให้กับเขา ก็เป็นอะไรที่เขาอาจจะให้ความสนใจได้เช่นเดียวกัน (แม้มันจะมีพลังน้อยกว่าการ fix pain point อยู่บ้างก็ตาม)
ผมคงไม่เก่งพอจะบอกพวกเราได้ว่า เราควรจะป้ายยากันด้วยแพทเทิร์นไหน
แต่ผมก็เชื่อเหลือเกินว่า การนำเอาความเข้าใจจากความสัมพันธ์ของ 3 คำนี้ไปปรับใช้งานได้อย่างแนบเนียน จะช่วยให้การนำเสนอของพวกเรานั้นมีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น
ยิ่งทำบ่อย คุณยิ่งเข้าใจ ยิ่งทำมาก คุณยิ่งจับทางมันได้ และสุดท้ายคุณจะยิ่งเชี่ยวชาญ
ทุกคนบนสังคมโซเชียลมีเดียต่างก็รู้ตัวเองดี ว่าอัลกอริทึมกำลังทำอะไรกับพวกเขาอยู่ในตอนนี้
พวกเขาอึดอัดและคงกำลังมองหาอะไรที่ดีกว่า พวกเขาก็ประสบปัญหาเดียวกันกับปัญหาที่เราเคยตระหนักได้กันมาก่อนทั้งนั้นแหละ
มันอาจไม่จำเป็นต้องไปเข้าขยี้แผลของพวกเขา
มันอาจไม่จำเป็นต้องเอาของดีไปอวดอ้าง
มันอาจไม่จำเป็นต้องเข้าไปเย้ยหยันราวกับว่าเราตัดสินใจได้ชาญฉลาดกว่าเป็นไหนๆ
เราจะทำสำเร็จถ้าพวกเขาสัมผัสมันได้จากก้นบึ้งของหัวใจ ว่าข้อความที่เรากำลังสื่อสารกับพวกเขานั้น
> เรากำลังอยากจะช่วยพวกเขาจริงๆ ออกมาจากใจ
บอกกับพวกเขาสิว่า.. เราทำอะไรกันบ้างบน Nostr
บอกเล่าความประทับใจออกมาเป็นฉากๆ
บอกว่าเรารู้สึกดีกันยังไงที่ได้มาลองใช้ชีวิตอยู่บน Nostr
บอกพวกเขาว่าปัญหาอะไรที่จากลาเราไปบ้างหลังการ Adopt ใช้ Nostr
อาณุภาพของ "เรื่องเล่า" มันรุนแรงกว่าที่คุณคิด
บอกไปสิว่าทำไมเราอยากช่วยพวกเขาให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ดีกว่า
มนุษย์ไม่ได้ชอบให้ใครเกินเข้ามายัดเยียดสอน แต่เราจะรู้สึกดีกว่าและประทับใจมันเสมอ เมื่อมีใครสักคนเดินเข้ามาช่วยเหลือหรือมอบสิ่งดีๆ ให้กับเรา "อย่างเป็นมิตร"
ถ้าคุณทำให้พวกเขาสัมผัส Benefit เหล่านั้นด้วยใจไม่ได้
Solution ของคุณก็ไร้ความหมาย
และ Pain point เหล่านั้นก็คงจะยังคงอยู่กับพวกเขาตลอดไป..
#Siamstr