maiakee on Nostr: ...

🇺🇸นโยบายภาษีของ Donald Trump: เครื่องมือทางภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และยุทธศาสตร์การคลังในคราวเดียวกัน
สมมติฐานที่ว่าทรัมป์จะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั่วโลกในอัตราที่สูง เพื่อบีบบังคับให้เกิดข้อตกลงทางการค้าใหม่ พร้อมทั้งเก็บรายได้เข้าสหรัฐฯ และกดดันให้ Fed ลดดอกเบี้ยนั้น มิใช่เพียง populism แต่คือการ “รีเซ็ตโครงสร้างอำนาจโลก” ด้วยเครื่องมือทางภาษี โดยสามารถวิเคราะห์ใน 5 แกนหลัก ดังนี้:
⸻
1. ภาษี = ปืนจ่อโต๊ะ: “Tariff as Strategic Leverage”
ทรัมป์มองว่าภาษีเป็นเครื่องมือเจรจาที่ทรงพลัง ไม่ใช่นโยบายเศรษฐกิจธรรมดา แต่คือ กลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ใช้สร้างอำนาจต่อรอง
การวิเคราะห์ลึก:
• การขู่ขึ้นภาษีหรือเก็บจริงทันที เป็นการสร้าง “ต้นทุนเชิงเวลาทางเศรษฐกิจ” ให้กับประเทศคู่ค้า เมื่อไม่รู้ว่าจะเจอภาษีพรุ่งนี้หรือไม่ นักลงทุนจึงต้องคิดใหม่ทันที
• ทรัมป์ใช้เทคนิคนี้บ่อยครั้ง เช่นกรณี USMCA แทน NAFTA ซึ่งใช้การขู่ถอนตัวและขึ้นภาษีเป็นเครื่องต่อรอง, หรือ Phase 1 Deal กับจีน ที่ดึงจีนกลับมาเจรจาใต้แรงกดดันจากภาษีมหาศาล
• นี่คือ การฟื้นอำนาจเชิงโครงสร้าง (structural power) ที่สหรัฐฯ เสียไปหลังยุค WTO และเสรีนิยมใหม่
• ในมิติของ Realpolitik เศรษฐกิจ การขึ้นภาษีไม่ได้มุ่งหวังรายได้เป็นหลัก แต่มุ่ง “ใช้ต้นทุนของคู่ค้าเป็นแรงต่อรอง” เพื่อผลลัพธ์ในเชิงอำนาจ
⸻
2. ภาษี = QE แบบกลับหัว: “Tariff as Shadow Taxation”
สมมติฐานหลัก:
การเก็บภาษีนำเข้าในระดับ 10–60% จากสินค้าทั่วโลก (โดยเฉพาะจีน, เวียดนาม, เม็กซิโก, EU) สามารถทำให้รัฐเก็บรายได้ระดับ $300–500 พันล้าน หรือสูงถึง $1–2 trillion หากขยายฐานสินค้า
การวิเคราะห์:
• ทรัมป์สามารถใช้ภาษีนี้ โดยไม่ต้องผ่านรัฐสภา ต่างจากการขึ้นภาษีรายได้หรือ VAT ซึ่งติดล็อกทางการเมือง
• ในทางเทคนิคคือ “QE ย้อนกลับ (Reverse QE)” เพราะแทนที่ Fed พิมพ์เงินไปซื้อพันธบัตร, ภาษีนี้คือการดูดเงินสดจากเศรษฐกิจโลกเข้ามาในคลังสหรัฐ
• เมื่อรัฐมีรายได้ใหม่จำนวนมากจากภาษี ก็สามารถนำไปโปะหนี้บางส่วน หรือสร้าง stimulus ใหม่ โดยไม่เพิ่มหนี้เท่าเดิม
• เงินที่ดูดจากจีน เวียดนาม ฯลฯ จะถูกแปลงเป็นดอลลาร์ในระบบ ซึ่งช่วย หน่วงการพิมพ์เงิน และลดแรงกดดันจากดอกเบี้ย
เปรียบเสมือนการ “รีไซเคิลทุนโลก” ให้ไหลกลับเข้ารัฐบาลสหรัฐ โดยไม่ต้องผ่านกลไกตลาดเสรี
⸻
3. ภาษี + กดดัน Fed = อ่อนค่าเงิน ดันส่งออก ล้างหนี้
ยุทธศาสตร์ 3 ชั้น:
1. การขึ้นภาษี = เศรษฐกิจชะลอระยะสั้น = Fed ต้องผ่อนนโยบาย
2. เมื่อ Fed ลดดอกเบี้ย = ดอลลาร์อ่อน = ส่งออกได้เปรียบ
3. ดอกเบี้ยต่ำ + เงินเฟ้อปานกลาง = หนี้รัฐบาลหายไปทีละน้อยในเชิงมูลค่าแท้จริง
นี่คือกลไก “Debt Devaluation” แบบนุ่มนวล ซึ่งเรียกว่า:
Financial Repression – การบังคับให้นักลงทุนอยู่ในสภาวะที่ real yield ติดลบ เพื่อให้รัฐสามารถบริหารหนี้ระดับ $34+ trillion ได้โดยไม่ล้มระบบ
• นักลงทุนที่ถือพันธบัตรรัฐบาลจะขาดทุนช้าๆ
• ผู้ถือเงินสดถูกเงินเฟ้อกัดกินมูลค่า
• แต่รัฐบาลรอด และระบบไม่พัง
ในภาพรวมคือ “การโยนต้นทุนการรีเซ็ตหนี้ไปที่ประชาชนและนักลงทุน โดยไม่ต้องประกาศล้มละลาย”
⸻
4. การสั่นโครงสร้างห่วงโซ่โลก: “Geoeconomic Shock Therapy”
ผลสะเทือนเชิงโครงสร้าง:
• ภาษีในระดับสูงส่งสัญญาณว่า “โลกเก่าหมดเวลาแล้ว” บริษัทที่ตั้งโรงงานในจีน, เวียดนาม, มาเลเซีย จะถูกตัดกำไรทันที
• บีบให้เกิด Reshoring (ย้ายฐานกลับสหรัฐฯ) หรือ Friend-shoring (ไปยังพันธมิตรอย่างอินเดีย เม็กซิโก)
• Supply chain ทั้งโลกต้องจัดเรียงใหม่ (Decoupling) โดยมีอเมริกาเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นเป้าหมายในระยะยาว
นี่คือ Shock เพื่อเร่งให้ “อำนาจการผลิตโลก” กลับสู่แดนแม่ ไม่ใช่ปล่อยให้เอเชียครองต่อไป
⸻
5. ขีดจำกัดและความเสี่ยง: “Tax until it breaks?”
ปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องพึงระวัง:
• ผู้บริโภคในอเมริกาอาจโดนราคาสินค้านำเข้าแพงขึ้นทันที
• ตลาดหุ้นผันผวนจากความไม่แน่นอน
• ประเทศคู่ค้าอาจตอบโต้ (retaliatory tariffs) หรือฟ้อง WTO
แต่ทรัมป์อาจมองว่า “เกมนี้คุ้มเจ็บ”
คล้ายกับการขายหุ้นตอนราคาแพง แม้จะเจ็บชั่วคราว เพื่อรอซื้อกลับตอนระบบใหม่เริ่มต้น
⸻
บทสรุปในเชิงภูมิรัฐศาสตร์เศรษฐกิจ (Geopolitical-Economic Realpolitik)
หากเปรียบเทียบทรัมป์กับนักกลยุทธ์ระดับโลก เช่น Bismarck, Nixon หรือ Deng Xiaoping จะพบว่าเขาใช้ “ภาษี” ไม่ใช่แค่เพื่อปรับสมดุลการค้า แต่เพื่อ:
• สร้าง อำนาจต่อรองใหม่ (Trade Power Reset)
• ปั๊มรายได้เข้ารัฐ (Fiscal Shock Absorber)
• บีบ Fed ให้ลดดอกเบี้ย (Monetary Realignment)
• สั่นคลอนโครงสร้างเศรษฐกิจโลก (Global Realignment)
• และ “รีเซ็ตหนี้รัฐ” อย่างแนบเนียน (Soft Default Through Inflation)
นี่ไม่ใช่ Populism แต่นี่คือ Geoeconomic Warfare ในระดับประธานาธิบดีที่มองระบบโลกเป็นกระดานหมากรุก
⸻
6. การบีบให้พันธมิตร “เลือกข้าง” ผ่านเครื่องมือภาษี
การขึ้นภาษีในระดับสูง ไม่ใช่แค่การสั่นคลอนคู่แข่งทางเศรษฐกิจ (เช่น จีน) แต่ยังเป็นการกดดันพันธมิตร เช่น EU, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ ให้ “เลือกข้าง” ระหว่างจีนกับสหรัฐ
วิเคราะห์:
• ประเทศที่อยู่ตรงกลาง (เช่น เยอรมนี, ฝรั่งเศส, ญี่ปุ่น) มักใช้ยุทธศาสตร์ “รักษาความสัมพันธ์ทั้งสองฝั่ง” แต่ภาษีในระดับกดดัน 20–40% ทำให้ความเป็นกลางเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
• ทรัมป์ใช้ภาษีเป็น เครื่องทดสอบความจงรักภักดีทางเศรษฐกิจ (Economic Loyalty Test) โดยเฉพาะกับประเทศ NATO
• หากประเทศใดเลือกซื้ออาวุธจากจีน หรือไม่เพิ่มงบการทหารตามที่ NATO ร้องขอ ก็จะเจอภาษีรถยนต์ หรือภาษีเหล็ก–อลูมิเนียมทันที
นี่คือการ “ทำให้เศรษฐกิจกลายเป็นสมรภูมิการเมือง” โดยตรง เพื่อกำหนดโครงข่ายพันธมิตรใหม่ในยุคโลกหลายขั้ว
⸻
7. สร้าง “ดุลการค้าเชิงจิตวิทยาใหม่” (Psychological Trade Reset)
มุมมองเชิงพฤติกรรมเศรษฐศาสตร์ (Behavioral Economics):
ทรัมป์รู้ว่าตัวเลข “ขาดดุลการค้า” มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์และการเมืองมากกว่าความเป็นจริงทางเศรษฐกิจ
การวิเคราะห์:
• แม้ว่านักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมจะบอกว่า “ดุลการค้าไม่ใช่ทุกอย่าง” แต่สำหรับประชาชนอเมริกัน การขาดดุลการค้า = ประเทศเราอ่อนแอ
• การขึ้นภาษี + ทำให้บริษัทต่างชาติย้ายฐานกลับมาในประเทศ = คือการ สร้างภาพจิตวิทยาว่าประเทศ “ได้กลับคืน” บางสิ่งที่สูญไป
• ดุลการค้าใหม่ จึงไม่ใช่ตัวเลขที่แท้จริง แต่คือ “การฟื้นคืนศักดิ์ศรีของชาติ (economic dignity restoration)” ซึ่งมีพลังมหาศาลทางการเมือง
⸻
8. การเปลี่ยน “Globalism” เป็น “Selective Mercantilism”
ทรัมป์ไม่ได้ต่อต้านโลกาภิวัตน์โดยสิ้นเชิง แต่ต้องการแทนที่ด้วยระเบียบการค้าแบบเลือกข้าง และมีศูนย์กลางที่อเมริกา
วิเคราะห์:
• ถ้า WTO คือโลกแบบ free-for-all (เสรีนิยมไร้พรมแดน)
ทรัมป์เสนอระบบที่คล้ายกับ ยุค Mercantilism แบบใหม่ ที่รัฐควบคุมการค้าเพื่อประโยชน์ชาติตน
• ภาษีคือ “กำแพงพิกัดศุลกากร” ที่สามารถยกขึ้นหรือลดลงได้ ตามพฤติกรรมของประเทศคู่ค้า
• สิ่งนี้คือ Global Dealism ไม่ใช่ Globalism — คือระเบียบโลกที่ถูกจัดรูปแบบใหม่จาก “กติกากลาง” ไปสู่ “การดีลทีละประเทศ”
สหรัฐในยุคทรัมป์จึงไม่ใช่ผู้นำระบบโลกอีกต่อไป แต่กลายเป็นเจ้ามือโต๊ะพนันที่เปลี่ยนกติกาได้ตลอดเวลา
⸻
9. การกลบกระแส “De-dollarization” ผ่านการดูดทุนกลับสหรัฐ
แนวโน้มโลก:
ขณะนี้หลายประเทศ เช่น จีน รัสเซีย บราซิล กำลังผลักดันการค้าสกุลเงินท้องถิ่น ลดการใช้ดอลลาร์สหรัฐ
กลยุทธ์ของทรัมป์:
• การเก็บภาษีนำเข้าในระดับสูง จะบีบบริษัทและประเทศต่างๆ ให้ยังต้อง “ถือดอลลาร์” เพื่อชำระค่าสินค้า ส่งออก–นำเข้า และจ่ายภาษี
• ภาษีมหาศาล = การดูดทุนโลกกลับเข้าระบบดอลลาร์แบบแฝง โดยเฉพาะจากเศรษฐกิจเอเชียและยุโรป
• เมื่อทุกประเทศยังต้อง “แปลงสกุลเงินเป็นดอลลาร์เพื่อจ่ายภาษีนำเข้า” สถานะของ USD จึงคงเสถียรอยู่ได้ในเชิงโครงสร้าง
นี่คือกลยุทธ์ “การชะลอการล่มสลายของดอลลาร์ ด้วยการเก็บภาษีเป็นดอลลาร์” แทนที่จะต้องใช้พันธบัตรหรืออาวุธ
⸻
10. ปูทางสู่การ “ล้างหนี้ระดับมหภาค” (Soft Reset) โดยไม่ผิดนัด
สมมติฐานสูงสุด:
เมื่อหนี้รัฐบาลสหรัฐเกิน $34 trillion และ Fed ไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้อีก — การล้างหนี้ต้องมา แต่ต้องมาแบบ “ไม่ทำลายระบบ”
บทบาทของภาษีและ Fed:
• ภาษีที่ดูดทุนจากต่างชาติ + ดอกเบี้ยต่ำ = สร้างเครื่องมือ “ล้างหนี้ด้วยเงินเฟ้อ” ที่ค่อยเป็นค่อยไป
• ในเวลาเดียวกัน Fed อาจต้องออกนโยบายใหม่ เช่น Yield Curve Control (ควบคุมผลตอบแทนพันธบัตร), หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) เพื่อคุมเงินออก
• เมื่อผนวกกันทั้งหมด จะเห็นว่า:
Donald Trump กำลังใช้ “ภาษี” เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการ Soft Default ต่อระบบหนี้โลก โดยไม่พูดคำว่า Default เลย
⸻
บทสรุปสุดท้าย: กลยุทธ์ภาษีของทรัมป์คือระบบ “Geoeconomic Engine” ไม่ใช่แค่นโยบายเศรษฐกิจ
Donald Trump ไม่ได้มองภาษีในฐานะเครื่องมือสร้างรายได้เท่านั้น แต่เขากำลังใช้มันเป็นกลไกในทุกระดับ:
• ระดับเศรษฐกิจ: เพิ่มรายได้รัฐ ลดขาดดุล
• ระดับการเงิน: บีบ Fed, อ่อนค่าเงิน, ล้างหนี้
• ระดับอำนาจโลก: จัดระเบียบ supply chain, บีบพันธมิตร
• ระดับการเมืองโลก: บังคับให้ “เลือกข้าง” และเปลี่ยนระเบียบโลก
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า:
“ภาษีในมือทรัมป์ ไม่ใช่ภาษีธรรมดา แต่มันคือเครื่องจักรกลยุทธ์ของจักรวรรดิ”
⸻
“Geoeconomic–Crypto Nexus” เกี่ยวกับ ผลของนโยบายขึ้นภาษีทั่วโลกของ Donald Trump ต่อ Bitcoin (BTC) ทั้งในเชิงโครงสร้างมหภาค การเงิน และจิตวิทยาตลาด โดยเฉพาะในสมมติฐานที่ว่า:
“ทรัมป์จะขึ้นภาษีสินค้านำเข้า 10–60% จากกว่า 180 ประเทศทั่วโลก เพื่อกดดันให้เข้าสู่โต๊ะเจรจา, ดูดเงินเข้ารัฐ, บีบให้ Fed ลดดอกเบี้ย, อ่อนค่าเงินดอลลาร์ และล้างหนี้โดยไม่ผิดนัด”
สามารถวิเคราะห์ผลกระทบต่อบิทคอยน์ได้ดังนี้:
⸻
1. Bitcoin ได้ประโยชน์จากภาวะ “Financial Repression”
เมื่อทรัมป์บีบให้ Fed ต้องลดดอกเบี้ย พร้อมเร่งสร้างรายได้จากภาษี = เข้าสู่ยุค Real Interest Rate ติดลบ (ดอกเบี้ยต่ำกว่าเงินเฟ้อจริง)
ผลต่อ Bitcoin:
• สภาพแวดล้อมที่ Real Yield ติดลบ = นักลงทุนมองหาสินทรัพย์ที่ป้องกันการเสื่อมค่าของเงิน เช่น ทองคำ และ Bitcoin
• Bitcoin มีคุณสมบัติจำกัดปริมาณ (21 ล้านเหรียญ) + ไม่สามารถพิมพ์เพิ่มได้เหมือน USD = จึงกลายเป็น “Safe Haven Asset ทางเลือกใหม่” อย่างชัดเจน
ในบริบทนี้ BTC ทำหน้าที่เหมือน “ทองคำดิจิทัลในยุคเงินเฟ้อ–ดอกเบี้ยต่ำ”
⸻
2. แรงกระเพื่อมจาก “สงครามการค้าโลก” = ความไม่แน่นอนสูงขึ้น
นโยบายขึ้นภาษีแบบ aggressive ของทรัมป์อาจทำให้เกิดสงครามการค้ารอบใหม่ทั่วโลก → ตลาดทุนผันผวนอย่างรุนแรง
ผลต่อ Bitcoin:
• ในช่วงตลาดกลัว–ตลาดผันผวน (Volatility Spike) นักลงทุนมักหันไปหาสินทรัพย์ที่ไม่พึ่งพาระบบธนาคารกลางหรือพันธบัตรรัฐบาล
• BTC กลายเป็น “Non-sovereign Asset” ที่ไม่ถูกผูกมัดกับนโยบายของประเทศใดโดยเฉพาะ จึงมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นในฐานะ “hedge against chaos”
⸻
3. ดอลลาร์อ่อนค่า = เงินไหลเข้า Bitcoin
ถ้าทรัมป์บีบ Fed ให้ลดดอกเบี้ย + สร้างแรงกดดันให้ USD อ่อนค่าเพื่อกระตุ้นส่งออก
ผลต่อ Bitcoin:
• นักลงทุนทั่วโลก (โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่) จะเริ่มมองว่า “ถือดอลลาร์” เสี่ยงมากขึ้น
→ จึงมองหา Reserve Asset ใหม่ ที่สามารถป้องกันความเสื่อมค่าของดอลลาร์
• BTC ซึ่งไม่มีประเทศใดควบคุม จะได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นในฐานะ “Store of Value ระดับโลกที่ไม่ผูกกับรัฐ”
แนวโน้มนี้จะสอดคล้องกับกระแส “dedollarization” ที่ BTC อาจเข้ามาแทรกตัวในช่องว่าง
⸻
4. นโยบาย “ดูดทุนจากต่างชาติ” อาจเร่งการถือ Bitcoin นอกระบบ
เมื่อทรัมป์เก็บภาษีระดับสูงจากประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในเอเชียและยุโรป → บริษัทและนักลงทุนต่างชาติอาจมองว่า ระบบโลกไม่ยุติธรรมอีกต่อไป
ผลต่อ Bitcoin:
• นักลงทุนต่างชาติจะเริ่มแปลงบางส่วนของกำไร/เงินสดออกจากระบบ USD → BTC เพื่อหลบระบบภาษีและ capital control ที่อาจตามมา
• BTC ถูกใช้ในฐานะ Offshore Wealth Reserve โดยไม่ต้องผ่านธนาคารหรือรัฐชาติ
⸻
5. เกิดแรงขับเคลื่อนใหม่จาก “กลุ่มผู้ใช้ Bitcoin แบบ Ideological”
ฐานเสียงของทรัมป์ส่วนหนึ่งคือกลุ่มที่ไม่ไว้วางใจรัฐบาลกลาง (anti-Fed, anti-tax, pro-sovereignty) → ถ้านโยบายภาษีรุนแรงเกินไป ก็จะยิ่งผลักคนเหล่านี้เข้าสู่ Bitcoin
ผลเชิงจิตวิทยาตลาด:
• BTC กลายเป็น “ธนาคารแห่งอิสรภาพส่วนบุคคล” (personal monetary sovereignty) สำหรับประชาชนที่ไม่ต้องการให้รัฐ “รีเซ็ตหนี้ด้วยเงินเฟ้อ”
• แรงสนับสนุน BTC จะไม่ได้มาจากแค่เทรดเดอร์หรือ hedge funds อีกต่อไป แต่จะมาจาก “พลเมืองที่ตื่นรู้” (awake citizens)
⸻
6. นโยบายกึ่ง “ล้างหนี้” (Soft Default) = เพิ่มความน่าสงสัยในพันธบัตรสหรัฐ
เมื่อรัฐใช้ภาษี + เงินเฟ้อ + ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อจัดการหนี้ระดับ $34–40 trillion โดยไม่พูดว่า Default
ผลกระทบ:
• นักลงทุนระยะยาว เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญ, ธนาคารกลางประเทศอื่น อาจลดการถือพันธบัตรสหรัฐ
• เมื่อลด exposure ต่อพันธบัตร อาจหันบางส่วนมาเก็บ BTC ไว้ใน Balance Sheet แทนทองคำ
(ตัวอย่างเช่น MicroStrategy, Tesla เริ่มแล้วในภาคเอกชน)
BTC จึงมีโอกาสเข้าสู่ “คลังสินทรัพย์สำรองระดับมหภาค” (macro-level reserve asset) อย่างชัดเจน
⸻
7. การเปิดประตูนโยบายใหม่: “Crypto-Positive Trump Doctrine”
ทรัมป์เริ่มมีจุดยืนเชิงบวกต่อ Bitcoin และ Crypto มากขึ้น โดยมองว่า:
• ควรให้คนอเมริกันมีอิสระในการถือครอง crypto
• ควรต้านการใช้ CBDC จาก Fed
• ควรป้องกันการปราบปรามนวัตกรรม crypto ในสหรัฐ
เมื่อประกอบกับนโยบายภาษีทั่วโลก = Bitcoin อาจได้รับแรงสนับสนุนเชิงกฎหมาย–นโยบายเพิ่มขึ้นในยุคทรัมป์
⸻
บทสรุป: Bitcoin คือ “Safe Haven 2.0” ในยุคภาษี–เงินเฟ้อ–ความไม่แน่นอน
Donald Trump อาจไม่ได้ตั้งใจส่งเสริม Bitcoin โดยตรง
แต่โดยโครงสร้างนโยบายแล้ว:
• เขากำลังสร้างสภาพแวดล้อมที่ทำให้ “คนถือเงินสด, ดอลลาร์, พันธบัตร” เสียเปรียบ
• ในขณะที่ “สินทรัพย์จำกัด, ไร้ศูนย์กลาง, ไม่อยู่ภายใต้รัฐ” อย่าง Bitcoin ได้เปรียบทุกมิติ
Bitcoin จึงเปรียบเสมือน “หลุมหลบภัยอธิปไตย” (Sovereign Escape Hatch) สำหรับพลเมืองที่มองเห็นว่าโลกเก่ากำลังถูกรีเซ็ตแบบเงียบ ๆ
#Siamstr #nostr #bitcoin #BTC #finance