ritto on Nostr: EPL & The Last 10 Matches : ...
EPL & The Last 10 Matches : หรือนี่จะเป็นปีของปืน
เมื่อเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกจนพรีเมียร์ลีกตอนนี้เหลือให้เตะกันอีกแค่ 10 นัดเท่านั้น การลุ้นแชมป์ตอนนี้ก็ดุเดือดเหลือเกิน อันดับ 1–3 หรือสามทีมลุ้นแชมป์นั้นมีแต้มห่างกันแค่ 1 คะแนน เรียกได้ว่าแทบจะลุ้นกันนัดต่อนัดและอันดับสามารถขยับเปลี่ยนกันได้ทุกสัปดาห์เลยทีเดียว โดยอับดับที่ 1 นั้นนำมาโดยทีม “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล (Arsenal) ที่เปิดบ้านเฉือนเบรท์ฟอร์ดไป 2-1 ทำให้แต้มตอนนี้อยู่ที่ 64 คะแนน และด้วยอานิสงส์ของทีมอันดับ 2 และ 3 ที่มาเจอกันเองอย่าง “หงส์แดง” ลิวเวอร์พูล (Liverpool) กับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ซิตี้ (Manchester City) จบลงด้วยผลเสมอกัน 1-1 ทำให้อันดับทั้งสองทีมร่วงลงมาเป็นที่ 2-3 ตามลำดับ โดยหงส์แดงตอนนี้มีอยู่ 64 คะแนนเท่ากับทีมปืนใหญ่ แต่มีลูกได้เสียที่น้อยกว่าอยู่ 7 ลูก และเรือใบสีฟ้ามี 63 คะแนนตามลำดับ ซึ่งอาจพูดได้ว่านอกจากแต้มจะมีผลต่อการลุ้มแชมป์แล้วลูกได้เสียก็อาจมีผลด้วยเช่นกัน
—
ส่วนในอันดับที่ 4 ตำแหน่งสุดท้ายที่จะได้ไปแข่ง UCL หรือ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก (Uefa Champions League) ที่ปีหน้าปรับระบบการแข่งใหม่เป็นเหมือนกับมินิลีกตอนนี้ยึดอยู่โดยทีม “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า (Aston Villa) ที่ช่วงต้น ๆ เหมือนจะลุ้นแชมป์กับเขาด้วยแต่หลัง ๆ ก็เริ่มแผ่วให้เห็นแล้ว พลาดท่าโดนอันดับที่ 5 “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (Tottenham Hotspur) บุกไปอัดคาบ้านถึง 0-4 แบบผิดฟอร์มไปหน่อย ทำให้แต้มอันดับ 4-5 ไล่กันมาที่ 55 และ 53 คะแนน แถมไก่เดือยทองยังเตะน้อยกว่าหนึ่งนัด มีโอกาสแซงไปยึดอันดับที่ 4 อยู่สูงพอสมควร
—
คราวนี้เราจะมาเจาะดูสถานการณ์ของทีมลุ้นแชมป์แต่ละทีมกันหน่อย
—
มาเริ่มกันที่ทีมปืนใหญ่จ่าฝูงปัจจุบัน ที่ตั้งแต่หลังปีใหม่มาแข่งในลีกยังไม่แพ้ใครแถมกระซวกคู่แข่งไปได้ถึง 31 ลูกใน 8 นัด หรือเฉลี่ยนัดละเกือบ 4 ลูกเลยทีเดียว และเสียเพียงแค่ 4 ประตู แต่ยกเว้นในบอลถ้วย เอฟเอ คัพ (FA Cup) ที่ตกรอบไปตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยน้ำมือของหงส์แดง และในยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก หรือ UCL (Uefa Champions League) ที่ในเลกแรกออกไปพ่ายต่อปอร์โต้ (Porto) 1-0 แบบที่ฟอร์มที่สวนทางกับในลีกแบบไม่ถูกใจแฟน ๆ นัก แต่ก็ยังมีให้โอกาสให้แก้มือในบ้านตัวเอง
ฟอร์มของนักเตะในลีกก็กำลังเข้าฝัก โดยเฉพาะแนวรุกอย่าง ไค ฮาร์แวตซ์ (Kai Harvertz) หลัง ๆ เริ่มเรียกฟอร์มยิงประตูให้ทีมสี่นัดติด เหมือนกลับมาเกิดใหม่ในสมัยเล่นอยู่กับทีม “ห้างขายยา” ไบเยอร์ เลเวอร์คูเซ่น (Bayer Leverkusen) และแม้กระทั่งกองกลางตัวรับอย่าง เดแคลน ไรซ์ (Declan Rice) ที่หลัง ๆ คอยยิงประตูให้อยู่เนือง ๆ และคอยปัดกวาดและคุมจังหวะเกมอยู่หน้ากองหลัง ส่วนแนวรับก็ยังเหนียวแน่น นำโดยอยู่เซนเตอร์อย่าง วิลเลี่ยม ซาลิบา (William Saliba) และ กาเบรียล เมกัลเญส (Gabriel Magalhães) ที่จับคู่กันได้อย่างเหนียวแน่น แถมแบ็กทั้งสองข้างอย่าง เบ็น ไวท์ (Ben White) และ ยาคุบ คิวิออร์ (Jakub Kiwior) ก็ยังจ่ายให้แนวรุกทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนตัวที่เจ็บไปตอนนี้มีแค่อดีตแบ็กขวา-ซ้ายตัวจริงอย่าง ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ (Takehiro Tomiyasu) ที่ยังเจ็บยาวต่อไป และโอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ (Oleksandr Zinchenko) ที่นัดล่าสุดลงมาเป็นตัวสำรองได้แล้ว แต่นัดล่าสุดก็เสียแนวรุกคนสำคัญอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ (Gabriel Martinelli) และ บูกาโย่ ซาก้า (Bukayo Saka) ที่ฟอร์มดีทั้งยิงทั้งจ่ายกันมาตั้งแต่เปิดฤดูกาล ซึ่งต้องดูการอัปเดตกันอีกทีว่าจะเจ็บกันหนักแค่ไหน
โปรแกมการแข่งข้างหน้านั้นมีเกมสำคัญอยู่ที่เกมเยือนทีมเรือใบสีฟ้าคู่แข่งลุ้นแชมป์ในวันที่ 30 มีนาคม ซึ่งแฟนหงส์แดงน่าจะลุ้นให้เสมอ ๆ ตัดแต้มกันเองไปซะ ยังมีดาร์บี้แมตช์กับทีมร่วมเมืองลอนดอนอย่างสเปอร์สและ “สิงห์บลู” เชลซี (Chelsea) ที่ฟอร์มเริ่มกระเตื้องที่ไม่ยอมให้ทีมปืนใหญ่ได้แชมป์ง่าย ๆ แน่นอน และนัดรองสุดท้ายที่ต้องเจอกับ “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) ที่ฟอร์มฤดูกาลนี้เหมือนจะไม่ดี และเล่นได้ไม่ถูกใจแฟน ๆ จนบ่กันขรม แต่อันดับของทีมก็ยังพอถูไถ บางนัดก็ฟอร์มไม่ดีแต่ดันชนะได้อีก และถ้ายิ่งได้ดาวยิงวัยรุ่นเดอะแบกอย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ (Rasmus Hojlund) กลับมาก็ประมาทไม่ได้เหมือนกัน และทำไปทำมาทีมผีแดงนี่แหละอาจจะเป็นตัวแปรการตัดสินแชมป์กันได้เลย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทีมปืนใหญ่ตอนนี้มีสถิติเฮดทูเฮดที่ดีที่สุดในการเจอกับทีมบิ๊กซิกส์ด้วยกันในฤดูกาลนี้ ถ้าผ่านนัดเจอเกมหนักกับสี่ทีมที่กล่าวถึงข้างบนไปได้ ขุมกำลังก็ค่อนข้างจะพร้อมแถมฟอร์มก็กำลังดี รวมถึงยังไม่มีบอลถ้วยในประเทศมาให้กังวล และถ้าเกิดตกรอบ UCL ก็สามารถทำให้โฟกัสการลุ้มแชมป์ได้อย่างเต็มตัวอีกด้วย (ซึ่งแฟนปืนก็น่าจะให้ความสำคัญกับแชมป์ลีกมากกว่า) เรียกได้ว่ามีโอกาสที่ดีพอสมควร
—
มาต่อกันด้วยอันดับที่สองอย่างหงส์แดงที่ฤดูกาลนี้จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่โค๊ชมากฝีมือชาวเยอรมันอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ (Jürgen Klopp) จะคุมบังเหียน เพราะฉะนั้นรับประกันเลยว่านักเตะเล่นกันลืมตายส่งท้ายให้นายใหญ่คนสำคัญที่เคยพาทีมได้แชมป์รายการสำคัญ ๆ อย่างแน่นอน แถมตอนนี้ก็ได้แชมป์บอลถ้วยรายการเล็กอย่าง อีเอฟแอล คัพ (EFL Cup) มาครองไปแล้วด้วยหนึ่งรายการ แถมบอลถ้วยใหญ่อย่างเอฟเอคัพและยูโรป้า ลีก (Uefa Europa League) ก็ยังอยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์ ซึ่งมีโอกาสมากที่จะได้แชมป์มาประดับบารมีอย่างน้อยอีกหนึ่งรายการเลยทีเดียว
หงส์แดงฤดูกาลนี้นั้นมีจุดเด่นอยู่ที่การแก้เกมของ จอร์เก้น คล็อปป์ ส่วนใหญ่จะเปิดด้วยการให้คู่แข่งยิงนำไปก่อนแล้วแก้เกมแซงกลับมาชนะได้ด้วยอารมณ์แบบมึงยิงกูใช่มั้ยมึงตาย และเกมทีสูสี ๆ ก็ยิงนาทีท้าย ๆ แซงชนะไปอย่างหน้าตาเฉยแทบจะตลอด แม้ในบางช่วงจะขาดดาวยิงตัวสำคัญของทีมอย่าง โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ (Mohamed Salah) ที่นอกจากจะติดไปแอฟริกาคัพออฟเนชั่นส์ (AFCON) ช่วงต้นครึ่งหลังของฤดูกาลและกลับมาเจ็บไปอีกก็สามารถเอาตัวรอดได้ แต่ตอนนี้เริ่มกลับมาลงสนามและยิงประตูให้กับทีมได้แล้ว และยังมีนักเตะญี่ปุ่นที่ช่วงแรกโดนค่อนขอดว่าซื้อมาเป็นแค่อะไหล่ แต่ตอนนี้สาถนาปนาตนเองเป็นขวัญใจแฟน ๆ และกำลังสำคัญของทีมที่แทบจะขาดไม่ได้ไปเรียบร้อยแล้วอย่าง วาตารุ เอ็นโดะ (Wataru Endo) ที่คอยปัดกวาดให้แนวรับเล่นง่ายขึ้นและยังมียิงประตูสำคัญให้ทีมในบางครั้งอีกด้วย
แต่ปัญหาใหญ่ของทีมในตอนนี้คือนักเตะทั้งตัวจริงตัวสำรองเจ็บกันบานตระไท ร่ายยังไงก็ไม่หมด ทำให้ต้องดันนักเตะวัยรุ่นขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ แต่ก็ทำผลงานให้ทีมได้ดีอย่าง คอเนอร์ แบรดลีย์ (Conor Bradley) ที่มาแทนแบ็กจอมบุก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (Trent Alexander-Arnold) ที่ทั้งยิงประตูและแอสซิตส์แทนได้แบบที่แทบจะไร้รอยต่อ และ จาเรลล์ ควอนซาห์ เซนเตอร์วัยรุ่นที่ขึ้นมาจับคู่กับกัปตันทีม เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (Virgil van Dijk) ได้อย่างยอดเยี่ยมจน โจ โกเมซ (Joe Gomez) ต้องโยกไปเล่นแบ็กซ้ายหลังจากที่ตัวจริงและตัวสำรองอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ คอสตาส ซิมิคาส (Andrew Robertson & Kostas Tsimikas) เจ็บไปพร้อมกันแล้วดันเล่นดีใช้ได้ ส่วนน้องหนูน ดาร์วิน นูนเญซ (Darwin Nunez) ดาวยิงชาวอุรุกวัยค่าตัวแพงที่ฤดูกาลที่แล้วโดนล้อยับว่าชอบพลาดโอกาสง่าย ๆ แต่พอมาฤดูกาลนี้ก็กลายเป็นกำลังสำคัญยิงประตูและจ่ายให้ทีมได้อย่างต่อเนื่อง โดยยิงไป 10 และจ่ายไปถึง 7 ลูกนับเฉพาะในลีก ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ซึ่งก็มากกว่าสถิติของฤดูกาลก่อนไปแล้ว
ส่วนโปรแกมนั้นเรียกได้ว่าอาจจะหนักสุดในทีมกลุ่มลุ้นแชมป์ด้วยกันเอง เพราะมีทั้งไปเยือนในดาร์บี้แมตช์ทีมร่วมเมืองกับ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน (Everton) ซึ่งมีความตั้งใจจะเบรกแน่นอนและต้องทำแต้มหนีการตกชั้นอีก แม้จะโดนลดโทษตัดแต้มไปแต่ก็ยังมีความสุมเสี่ยงอยู่ การไปเยือนทีมทีมคู่รักคู่แค้นตัวแปรทีมลุ้มแชมป์อย่างผีแดงอีก ซึ่งเพื่อศักศรีทีมผีแดงก็ไม่น่ายอมให้คู่รักคู่แค้นมาชิงแต้มจากในบ้านไปได้ง่าย ๆ และมีโปรแกมเจออีกทีมเคี้ยวยากที่กำลังพยายามทำแต้มไป UCL พร้อม ๆ กันอย่างแอสตัน วิลล่า และสเปอร์สอีก แถมบอลถ้วยก็ยังมีลุ้นให่ห่วงอีก แถมต้องลุ้นให้นักเตะที่มีอยู่ตอนนี้ไม่เจ็บไปนอนโรงหมอเพิ่มอีก ด้วยสถานการณ์ทั้งหมดที่กล่าวไปทำให้หนทางข้างหน้าดูเหมือนจะเสียเปรียบอีกสองทีมลุ้นแชมป์ค่อนข้างพอสมควร
—
สุดท้ายที่ทีมเรือใบสีฟ้าที่ฤดูกาลนี้ฟอร์มค่อยไม่ดีเหมือนกับตอนได้ดับเบิ้ลแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แถมผลงานการเจอกับบิ๊กซิกซ์ด้วยกันเอง ก็เอาชนะได้แค่ผีแดงที่ฟอร์มแย่กว่า เมื่อตอนต้นฤดูกาลก็ขาดกองกลางตัวสำคัญที่เจ็บไปยาวอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ (Kevin De Bruyne) ที่ตอนนี้กลับมาได้แต่ก็เหมือนยังไม่เต็มสูบนัก ดาวยิงตัวเก่งอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ (Erling Haaland) ก็มีเจ็บไปช่วงปีใหม่และพอกลับมาฟอร์มก็ไม่เฉียบขาดเหมือนเดิม แล้วแนวรับบางทีก็เสียประตูกันง่ายขึ้น ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (Pep Guardiola) เกาหัวแกรก ๆ อยู่บ่อย ๆ ส่วนนักเตะเจ็บตอนนี้ก็มีแค่ แจ็ค กรีลิช (Jack Grealish) แต่ก็ไม่น่าจะกระทบอะไรมากเพราะฤดูกาลนี้ฟอร์มค่อนข้างรูด ผิดกับฤดูกาลที่แล้วลิบลับ แถมตัวใหม่อย่าง เฌเรมี่ โดกู (Jeremy Doku) ที่จะเอามาลากเลี้อยริมเส้นก็ยังทำผลงานไม่คงเส้นคงวาเท่าไหร่ ตอนนี้คงมีแค่ โรดรี้ (Rodri) ที่โคตรจะอันเดอร์เรตในวงการฟุตบอลตอนนี้คนเท่านั้นที่ยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว
ส่วนโปรแกมนั้นก็ถือว่าอาจจะพอ ๆ กับหงส์แดงที่ยังมีลุ้นในบอลถ้วยอยู่อีกสองรายการมาให้กังวล และในลีกก็มีเกมที่เรียกได้ว่าตัดสินชะตากลาย ๆ กับทีมปืนใหญ่ และก็เจอสองทีมลุ้นไป UCL ที่พร้อมจะมาตัดแต้มเป็นปัจจัยเหมือนกันอีก แต่ว่าโปรแกมนั้นมีเจอกับทีมระดับล่างที่มากกว่าทำให้เรือใบสีฟ้ามีแต้มต่อในมือ และรวมถึงขุมกำลังที่พร้อมกว่า เลยมีความได้เปรียบกว่าหงส์แดงอยู่บ้างในการลุ้นแชมป์
—
เมื่อดูภาพรวมแล้วปืนใหญ่ค่อนข้างมีแต้มต่อในการคว้าแชมป์พอสมควร ถ้ายังสามารถรักษาฟอร์มแบบนี้เอาไว้ และไม่มีนักเตะตัวสำคัญเจ็บเพิ่มไปอีก นี่ก็น่าจะเป็นปีของปืนใหญ่ของ มิเคล “สุดหล่อว์” อาร์เตต้า (Mikel Arteta) ที่มีโอกาสในการคว้าแชมป์มากที่สุด หลังจากที่รอคอยมาถึง 20 ปี
—
#siamstr #footballstr #epl #arsenal #liverpool #mancity #ฟุตบอล #พรีเมียร์ลีก #อาร์เซน่อล #ปืนใหญ่ #ลิเวอร์พูล #หงส์แดง #แมนเชสเตอร์ซิตี้ #เรือใบสีฟ้า
เมื่อเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหกจนพรีเมียร์ลีกตอนนี้เหลือให้เตะกันอีกแค่ 10 นัดเท่านั้น การลุ้นแชมป์ตอนนี้ก็ดุเดือดเหลือเกิน อันดับ 1–3 หรือสามทีมลุ้นแชมป์นั้นมีแต้มห่างกันแค่ 1 คะแนน เรียกได้ว่าแทบจะลุ้นกันนัดต่อนัดและอันดับสามารถขยับเปลี่ยนกันได้ทุกสัปดาห์เลยทีเดียว โดยอับดับที่ 1 นั้นนำมาโดยทีม “ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล (Arsenal) ที่เปิดบ้านเฉือนเบรท์ฟอร์ดไป 2-1 ทำให้แต้มตอนนี้อยู่ที่ 64 คะแนน และด้วยอานิสงส์ของทีมอันดับ 2 และ 3 ที่มาเจอกันเองอย่าง “หงส์แดง” ลิวเวอร์พูล (Liverpool) กับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ซิตี้ (Manchester City) จบลงด้วยผลเสมอกัน 1-1 ทำให้อันดับทั้งสองทีมร่วงลงมาเป็นที่ 2-3 ตามลำดับ โดยหงส์แดงตอนนี้มีอยู่ 64 คะแนนเท่ากับทีมปืนใหญ่ แต่มีลูกได้เสียที่น้อยกว่าอยู่ 7 ลูก และเรือใบสีฟ้ามี 63 คะแนนตามลำดับ ซึ่งอาจพูดได้ว่านอกจากแต้มจะมีผลต่อการลุ้มแชมป์แล้วลูกได้เสียก็อาจมีผลด้วยเช่นกัน
—
ส่วนในอันดับที่ 4 ตำแหน่งสุดท้ายที่จะได้ไปแข่ง UCL หรือ ยูฟ่าแชมป์เปี้ยนส์ลีก (Uefa Champions League) ที่ปีหน้าปรับระบบการแข่งใหม่เป็นเหมือนกับมินิลีกตอนนี้ยึดอยู่โดยทีม “สิงห์ผงาด” แอสตัน วิลล่า (Aston Villa) ที่ช่วงต้น ๆ เหมือนจะลุ้นแชมป์กับเขาด้วยแต่หลัง ๆ ก็เริ่มแผ่วให้เห็นแล้ว พลาดท่าโดนอันดับที่ 5 “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (Tottenham Hotspur) บุกไปอัดคาบ้านถึง 0-4 แบบผิดฟอร์มไปหน่อย ทำให้แต้มอันดับ 4-5 ไล่กันมาที่ 55 และ 53 คะแนน แถมไก่เดือยทองยังเตะน้อยกว่าหนึ่งนัด มีโอกาสแซงไปยึดอันดับที่ 4 อยู่สูงพอสมควร
—
คราวนี้เราจะมาเจาะดูสถานการณ์ของทีมลุ้นแชมป์แต่ละทีมกันหน่อย
—
มาเริ่มกันที่ทีมปืนใหญ่จ่าฝูงปัจจุบัน ที่ตั้งแต่หลังปีใหม่มาแข่งในลีกยังไม่แพ้ใครแถมกระซวกคู่แข่งไปได้ถึง 31 ลูกใน 8 นัด หรือเฉลี่ยนัดละเกือบ 4 ลูกเลยทีเดียว และเสียเพียงแค่ 4 ประตู แต่ยกเว้นในบอลถ้วย เอฟเอ คัพ (FA Cup) ที่ตกรอบไปตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยน้ำมือของหงส์แดง และในยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก หรือ UCL (Uefa Champions League) ที่ในเลกแรกออกไปพ่ายต่อปอร์โต้ (Porto) 1-0 แบบที่ฟอร์มที่สวนทางกับในลีกแบบไม่ถูกใจแฟน ๆ นัก แต่ก็ยังมีให้โอกาสให้แก้มือในบ้านตัวเอง
ฟอร์มของนักเตะในลีกก็กำลังเข้าฝัก โดยเฉพาะแนวรุกอย่าง ไค ฮาร์แวตซ์ (Kai Harvertz) หลัง ๆ เริ่มเรียกฟอร์มยิงประตูให้ทีมสี่นัดติด เหมือนกลับมาเกิดใหม่ในสมัยเล่นอยู่กับทีม “ห้างขายยา” ไบเยอร์ เลเวอร์คูเซ่น (Bayer Leverkusen) และแม้กระทั่งกองกลางตัวรับอย่าง เดแคลน ไรซ์ (Declan Rice) ที่หลัง ๆ คอยยิงประตูให้อยู่เนือง ๆ และคอยปัดกวาดและคุมจังหวะเกมอยู่หน้ากองหลัง ส่วนแนวรับก็ยังเหนียวแน่น นำโดยอยู่เซนเตอร์อย่าง วิลเลี่ยม ซาลิบา (William Saliba) และ กาเบรียล เมกัลเญส (Gabriel Magalhães) ที่จับคู่กันได้อย่างเหนียวแน่น แถมแบ็กทั้งสองข้างอย่าง เบ็น ไวท์ (Ben White) และ ยาคุบ คิวิออร์ (Jakub Kiwior) ก็ยังจ่ายให้แนวรุกทำประตูได้อย่างต่อเนื่อง
ส่วนตัวที่เจ็บไปตอนนี้มีแค่อดีตแบ็กขวา-ซ้ายตัวจริงอย่าง ทาเคฮิโระ โทมิยาสุ (Takehiro Tomiyasu) ที่ยังเจ็บยาวต่อไป และโอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ (Oleksandr Zinchenko) ที่นัดล่าสุดลงมาเป็นตัวสำรองได้แล้ว แต่นัดล่าสุดก็เสียแนวรุกคนสำคัญอย่าง กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ (Gabriel Martinelli) และ บูกาโย่ ซาก้า (Bukayo Saka) ที่ฟอร์มดีทั้งยิงทั้งจ่ายกันมาตั้งแต่เปิดฤดูกาล ซึ่งต้องดูการอัปเดตกันอีกทีว่าจะเจ็บกันหนักแค่ไหน
โปรแกมการแข่งข้างหน้านั้นมีเกมสำคัญอยู่ที่เกมเยือนทีมเรือใบสีฟ้าคู่แข่งลุ้นแชมป์ในวันที่ 30 มีนาคม ซึ่งแฟนหงส์แดงน่าจะลุ้นให้เสมอ ๆ ตัดแต้มกันเองไปซะ ยังมีดาร์บี้แมตช์กับทีมร่วมเมืองลอนดอนอย่างสเปอร์สและ “สิงห์บลู” เชลซี (Chelsea) ที่ฟอร์มเริ่มกระเตื้องที่ไม่ยอมให้ทีมปืนใหญ่ได้แชมป์ง่าย ๆ แน่นอน และนัดรองสุดท้ายที่ต้องเจอกับ “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (Manchester United) ที่ฟอร์มฤดูกาลนี้เหมือนจะไม่ดี และเล่นได้ไม่ถูกใจแฟน ๆ จนบ่กันขรม แต่อันดับของทีมก็ยังพอถูไถ บางนัดก็ฟอร์มไม่ดีแต่ดันชนะได้อีก และถ้ายิ่งได้ดาวยิงวัยรุ่นเดอะแบกอย่าง ราสมุส ฮอยลุนด์ (Rasmus Hojlund) กลับมาก็ประมาทไม่ได้เหมือนกัน และทำไปทำมาทีมผีแดงนี่แหละอาจจะเป็นตัวแปรการตัดสินแชมป์กันได้เลย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทีมปืนใหญ่ตอนนี้มีสถิติเฮดทูเฮดที่ดีที่สุดในการเจอกับทีมบิ๊กซิกส์ด้วยกันในฤดูกาลนี้ ถ้าผ่านนัดเจอเกมหนักกับสี่ทีมที่กล่าวถึงข้างบนไปได้ ขุมกำลังก็ค่อนข้างจะพร้อมแถมฟอร์มก็กำลังดี รวมถึงยังไม่มีบอลถ้วยในประเทศมาให้กังวล และถ้าเกิดตกรอบ UCL ก็สามารถทำให้โฟกัสการลุ้มแชมป์ได้อย่างเต็มตัวอีกด้วย (ซึ่งแฟนปืนก็น่าจะให้ความสำคัญกับแชมป์ลีกมากกว่า) เรียกได้ว่ามีโอกาสที่ดีพอสมควร
—
มาต่อกันด้วยอันดับที่สองอย่างหงส์แดงที่ฤดูกาลนี้จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายที่โค๊ชมากฝีมือชาวเยอรมันอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ (Jürgen Klopp) จะคุมบังเหียน เพราะฉะนั้นรับประกันเลยว่านักเตะเล่นกันลืมตายส่งท้ายให้นายใหญ่คนสำคัญที่เคยพาทีมได้แชมป์รายการสำคัญ ๆ อย่างแน่นอน แถมตอนนี้ก็ได้แชมป์บอลถ้วยรายการเล็กอย่าง อีเอฟแอล คัพ (EFL Cup) มาครองไปแล้วด้วยหนึ่งรายการ แถมบอลถ้วยใหญ่อย่างเอฟเอคัพและยูโรป้า ลีก (Uefa Europa League) ก็ยังอยู่ในเส้นทางการลุ้นแชมป์ ซึ่งมีโอกาสมากที่จะได้แชมป์มาประดับบารมีอย่างน้อยอีกหนึ่งรายการเลยทีเดียว
หงส์แดงฤดูกาลนี้นั้นมีจุดเด่นอยู่ที่การแก้เกมของ จอร์เก้น คล็อปป์ ส่วนใหญ่จะเปิดด้วยการให้คู่แข่งยิงนำไปก่อนแล้วแก้เกมแซงกลับมาชนะได้ด้วยอารมณ์แบบมึงยิงกูใช่มั้ยมึงตาย และเกมทีสูสี ๆ ก็ยิงนาทีท้าย ๆ แซงชนะไปอย่างหน้าตาเฉยแทบจะตลอด แม้ในบางช่วงจะขาดดาวยิงตัวสำคัญของทีมอย่าง โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ (Mohamed Salah) ที่นอกจากจะติดไปแอฟริกาคัพออฟเนชั่นส์ (AFCON) ช่วงต้นครึ่งหลังของฤดูกาลและกลับมาเจ็บไปอีกก็สามารถเอาตัวรอดได้ แต่ตอนนี้เริ่มกลับมาลงสนามและยิงประตูให้กับทีมได้แล้ว และยังมีนักเตะญี่ปุ่นที่ช่วงแรกโดนค่อนขอดว่าซื้อมาเป็นแค่อะไหล่ แต่ตอนนี้สาถนาปนาตนเองเป็นขวัญใจแฟน ๆ และกำลังสำคัญของทีมที่แทบจะขาดไม่ได้ไปเรียบร้อยแล้วอย่าง วาตารุ เอ็นโดะ (Wataru Endo) ที่คอยปัดกวาดให้แนวรับเล่นง่ายขึ้นและยังมียิงประตูสำคัญให้ทีมในบางครั้งอีกด้วย
แต่ปัญหาใหญ่ของทีมในตอนนี้คือนักเตะทั้งตัวจริงตัวสำรองเจ็บกันบานตระไท ร่ายยังไงก็ไม่หมด ทำให้ต้องดันนักเตะวัยรุ่นขึ้นมาเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ แต่ก็ทำผลงานให้ทีมได้ดีอย่าง คอเนอร์ แบรดลีย์ (Conor Bradley) ที่มาแทนแบ็กจอมบุก เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (Trent Alexander-Arnold) ที่ทั้งยิงประตูและแอสซิตส์แทนได้แบบที่แทบจะไร้รอยต่อ และ จาเรลล์ ควอนซาห์ เซนเตอร์วัยรุ่นที่ขึ้นมาจับคู่กับกัปตันทีม เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (Virgil van Dijk) ได้อย่างยอดเยี่ยมจน โจ โกเมซ (Joe Gomez) ต้องโยกไปเล่นแบ็กซ้ายหลังจากที่ตัวจริงและตัวสำรองอย่าง แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน และ คอสตาส ซิมิคาส (Andrew Robertson & Kostas Tsimikas) เจ็บไปพร้อมกันแล้วดันเล่นดีใช้ได้ ส่วนน้องหนูน ดาร์วิน นูนเญซ (Darwin Nunez) ดาวยิงชาวอุรุกวัยค่าตัวแพงที่ฤดูกาลที่แล้วโดนล้อยับว่าชอบพลาดโอกาสง่าย ๆ แต่พอมาฤดูกาลนี้ก็กลายเป็นกำลังสำคัญยิงประตูและจ่ายให้ทีมได้อย่างต่อเนื่อง โดยยิงไป 10 และจ่ายไปถึง 7 ลูกนับเฉพาะในลีก ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ซึ่งก็มากกว่าสถิติของฤดูกาลก่อนไปแล้ว
ส่วนโปรแกมนั้นเรียกได้ว่าอาจจะหนักสุดในทีมกลุ่มลุ้นแชมป์ด้วยกันเอง เพราะมีทั้งไปเยือนในดาร์บี้แมตช์ทีมร่วมเมืองกับ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เอฟเวอร์ตัน (Everton) ซึ่งมีความตั้งใจจะเบรกแน่นอนและต้องทำแต้มหนีการตกชั้นอีก แม้จะโดนลดโทษตัดแต้มไปแต่ก็ยังมีความสุมเสี่ยงอยู่ การไปเยือนทีมทีมคู่รักคู่แค้นตัวแปรทีมลุ้มแชมป์อย่างผีแดงอีก ซึ่งเพื่อศักศรีทีมผีแดงก็ไม่น่ายอมให้คู่รักคู่แค้นมาชิงแต้มจากในบ้านไปได้ง่าย ๆ และมีโปรแกมเจออีกทีมเคี้ยวยากที่กำลังพยายามทำแต้มไป UCL พร้อม ๆ กันอย่างแอสตัน วิลล่า และสเปอร์สอีก แถมบอลถ้วยก็ยังมีลุ้นให่ห่วงอีก แถมต้องลุ้นให้นักเตะที่มีอยู่ตอนนี้ไม่เจ็บไปนอนโรงหมอเพิ่มอีก ด้วยสถานการณ์ทั้งหมดที่กล่าวไปทำให้หนทางข้างหน้าดูเหมือนจะเสียเปรียบอีกสองทีมลุ้นแชมป์ค่อนข้างพอสมควร
—
สุดท้ายที่ทีมเรือใบสีฟ้าที่ฤดูกาลนี้ฟอร์มค่อยไม่ดีเหมือนกับตอนได้ดับเบิ้ลแชมป์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แถมผลงานการเจอกับบิ๊กซิกซ์ด้วยกันเอง ก็เอาชนะได้แค่ผีแดงที่ฟอร์มแย่กว่า เมื่อตอนต้นฤดูกาลก็ขาดกองกลางตัวสำคัญที่เจ็บไปยาวอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ (Kevin De Bruyne) ที่ตอนนี้กลับมาได้แต่ก็เหมือนยังไม่เต็มสูบนัก ดาวยิงตัวเก่งอย่าง เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ (Erling Haaland) ก็มีเจ็บไปช่วงปีใหม่และพอกลับมาฟอร์มก็ไม่เฉียบขาดเหมือนเดิม แล้วแนวรับบางทีก็เสียประตูกันง่ายขึ้น ทำให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า (Pep Guardiola) เกาหัวแกรก ๆ อยู่บ่อย ๆ ส่วนนักเตะเจ็บตอนนี้ก็มีแค่ แจ็ค กรีลิช (Jack Grealish) แต่ก็ไม่น่าจะกระทบอะไรมากเพราะฤดูกาลนี้ฟอร์มค่อนข้างรูด ผิดกับฤดูกาลที่แล้วลิบลับ แถมตัวใหม่อย่าง เฌเรมี่ โดกู (Jeremy Doku) ที่จะเอามาลากเลี้อยริมเส้นก็ยังทำผลงานไม่คงเส้นคงวาเท่าไหร่ ตอนนี้คงมีแค่ โรดรี้ (Rodri) ที่โคตรจะอันเดอร์เรตในวงการฟุตบอลตอนนี้คนเท่านั้นที่ยังทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว
ส่วนโปรแกมนั้นก็ถือว่าอาจจะพอ ๆ กับหงส์แดงที่ยังมีลุ้นในบอลถ้วยอยู่อีกสองรายการมาให้กังวล และในลีกก็มีเกมที่เรียกได้ว่าตัดสินชะตากลาย ๆ กับทีมปืนใหญ่ และก็เจอสองทีมลุ้นไป UCL ที่พร้อมจะมาตัดแต้มเป็นปัจจัยเหมือนกันอีก แต่ว่าโปรแกมนั้นมีเจอกับทีมระดับล่างที่มากกว่าทำให้เรือใบสีฟ้ามีแต้มต่อในมือ และรวมถึงขุมกำลังที่พร้อมกว่า เลยมีความได้เปรียบกว่าหงส์แดงอยู่บ้างในการลุ้นแชมป์
—
เมื่อดูภาพรวมแล้วปืนใหญ่ค่อนข้างมีแต้มต่อในการคว้าแชมป์พอสมควร ถ้ายังสามารถรักษาฟอร์มแบบนี้เอาไว้ และไม่มีนักเตะตัวสำคัญเจ็บเพิ่มไปอีก นี่ก็น่าจะเป็นปีของปืนใหญ่ของ มิเคล “สุดหล่อว์” อาร์เตต้า (Mikel Arteta) ที่มีโอกาสในการคว้าแชมป์มากที่สุด หลังจากที่รอคอยมาถึง 20 ปี
—
#siamstr #footballstr #epl #arsenal #liverpool #mancity #ฟุตบอล #พรีเมียร์ลีก #อาร์เซน่อล #ปืนใหญ่ #ลิเวอร์พูล #หงส์แดง #แมนเชสเตอร์ซิตี้ #เรือใบสีฟ้า