What is Nostr?
maiakee
npub1hge…8hs2
2025-02-07 13:04:29

maiakee on Nostr: ...



ภพที่ไปเกิดตามลำดับของฌาน: อิงพุทธพจน์และคำอธิบายของพระอานนท์

ในพระพุทธศาสนา การบรรลุฌานไม่ได้หมายถึงการพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง หากยังมีอุปาทานในฌานอยู่ ผู้บรรลุฌานจะไปเกิดในภพต่างๆ ตามระดับของจิตที่ก่อขึ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ภพ ได้แก่ กามภพ (โลกของกามคุณ), รูปภพ (โลกของรูปฌาน), และ อรูปภพ (โลกของอรูปฌาน) ตามลำดับของความละเอียดของจิต

พระอานนท์ได้กล่าวไว้ใน “จูฬสุญญตสูตร” (พระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 41) ว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ฝึกจิตในสมาธิย่อมเข้าถึงภพที่เหมาะสมตามสภาวะแห่งจิตของตน หากยังมีอุปาทาน ก็จักมีภพสืบไป”

ต่อไปนี้เป็นลำดับของฌานและภพที่ผู้เข้าฌานจะไปเกิด

1. ปฐมฌาน → ไปเกิดในพรหมโลกชั้นแรกของรูปภพ

(พรหมปาริสัชชา และ พรหมปุโรหิตา)

ผู้ที่บรรลุปฐมฌาน หากยังมีอุปาทานในฌาน จะไปเกิดใน พรหมโลกชั้นต่ำของรูปภพ ได้แก่
• พรหมปาริสัชชา: เทพผู้เป็นบริวารของมหาพรหม
• พรหมปุโรหิตา: เทพผู้เป็นอำมาตย์ของมหาพรหม

“ภิกษุผู้บำเพ็ญปฐมฌาน ย่อมเข้าถึงพรหมโลกที่เป็นที่อยู่ของเหล่าพรหมผู้มีปัญญาปานกลาง” (พระไตรปิฎก มัชฌิมนิกาย)

ตัวอย่าง: เหมือนบุคคลที่ฝึกจิตจนสงบจากกามคุณ แต่ยังมีความยึดมั่นในสุขอันเกิดจากฌาน

2. ทุติยฌาน → ไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่สูงขึ้น

(มหาพรหมา - เทพผู้เป็นใหญ่ในพรหมโลก)

เมื่อจิตพ้นจากวิตกและวิจาร แต่ยังยึดติดปีติสุข จะไปเกิดใน มหาพรหมา ซึ่งเป็นพรหมผู้มีอายุยาวนานกว่าชั้นล่าง

“ภิกษุผู้บำเพ็ญทุติยฌาน ย่อมเข้าถึงมหาพรหม ผู้เป็นใหญ่ในรูปภพ” (พระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย)

ตัวอย่าง: เหมือนนักปราชญ์ที่หลุดพ้นจากความคิดวุ่นวาย แต่ยังพอใจในความสุขสงบของตน

3. ตติยฌาน → ไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่สูงกว่าเดิม

(ปริตตสุภะ, อัปปมาณสุภะ, สุภกิณหา - เทพผู้มีรัศมีงดงาม)

ผู้ที่ละปีติได้ แต่ยังมีความสุขจากฌาน จะไปเกิดในชั้นพรหมที่มีรัศมีงดงาม ได้แก่
• ปริตตสุภะ: พรหมที่มีรัศมีน้อย
• อัปปมาณสุภะ: พรหมที่มีรัศมีมาก
• สุภกิณหา: พรหมที่มีรัศมีเต็มเปี่ยม

“ภิกษุผู้บำเพ็ญตติยฌาน ย่อมเข้าถึงพรหมโลกที่เป็นที่อยู่ของผู้มีรัศมีอันบริสุทธิ์” (พระไตรปิฎก มัชฌิมนิกาย)

ตัวอย่าง: เปรียบเหมือนดวงดาวที่ส่องสว่าง แต่ยังคงอยู่ในจักรวาล

4. จตุตถฌาน → ไปเกิดในพรหมโลกที่สูงสุดของรูปภพ

(เวหัปผลา และ อสัญญีสัตตา - เทพผู้มีสมาธิแน่วแน่และไร้สัญญา)
• เวหัปผลาพรหม: พรหมที่ได้ผลแห่งสมาธิขั้นสูงสุด
• อสัญญีสัตตาพรหม: พรหมที่แทบไม่มีสัญญา (ไม่มีความรับรู้โดยสมบูรณ์)

“ภิกษุผู้บำเพ็ญจตุตถฌาน ย่อมเข้าถึงพรหมโลกอันเป็นที่อยู่ของผู้ที่หลุดพ้นจากสุขและทุกข์”

ตัวอย่าง: เหมือนดวงจันทร์ที่สงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว

5. อรูปฌาน → ไปเกิดในอรูปภพ

(โลกของอรูปพรหม - เทพผู้ไม่มีรูปกาย)

ผู้ที่ละรูปทั้งหมดจะไปเกิดใน อรูปภพ ซึ่งเป็นภพที่ไม่มีร่างกาย มีเพียงจิตละเอียด ได้แก่
• อากาสานัญจายตน → ไปเกิดใน “พรหมผู้มีอากาศเป็นอารมณ์”
• วิญญาณัญจายตน → ไปเกิดใน “พรหมผู้มีจิตเป็นอารมณ์”
• อากิญจัญญายตน → ไปเกิดใน “พรหมผู้ไร้สิ่งใดๆ”
• เนวสัญญานาสัญญายตน → ไปเกิดใน “พรหมผู้มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่”

“ผู้สำรวมจิตในอรูป ย่อมไปเกิดในอรูปภพ ตามธรรมที่เขาสมาทาน” (พระไตรปิฎก มัชฌิมนิกาย)

ตัวอย่าง: เหมือนสายลมที่ไร้รูป แต่ยังคงมีอยู่

6. ปรมาณูสูญญตา → นิพพาน (พ้นจากภพทั้งปวง)

เมื่อจิตละอุปาทานทั้งหมด ไม่ยึดติดแม้แต่ความเป็นพรหมหรืออรูปพรหม จิตจะไม่ไปเกิดอีก แต่ดับสนิทคือ นิพพาน

“ดูก่อนอานนท์ ผู้บรรลุสูญญตาสูงสุด ไม่กลับไปเกิดในภพใดอีก เพราะไม่มีเชื้อแห่งภพเหลืออยู่”

ตัวอย่าง: เปรียบเหมือนเปลวเทียนที่ดับลง ไม่มีที่ไป เพราะไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่

🪷สรุปได้ว่า ผู้ที่บรรลุปฐมฌานจะไปเกิดในพรหมโลกชั้นต้น ได้แก่ พรหมปาริสัชชาและพรหมปุโรหิตา ซึ่งเป็นบริวารของมหาพรหม หากบรรลุทุติยฌาน จะไปเกิดในมหาพรหม ซึ่งเป็นพรหมผู้เป็นใหญ่กว่าชั้นแรก

ผู้ที่บรรลุตติยฌานจะไปเกิดในพรหมโลกที่มีรัศมีงดงาม ได้แก่ ปริตตสุภะ อัปปมาณสุภะ และสุภกิณหา ซึ่งเป็นพรหมที่มีแสงสว่างเจิดจ้า หากเข้าถึงจตุตถฌาน จะไปเกิดในเวหัปผลาพรหม ซึ่งเป็นพรหมที่สงบที่สุด และในบางกรณีอาจเกิดเป็นอสัญญีสัตตาพรหม ซึ่งเป็นพรหมที่ไม่มีสัญญาหรือการรับรู้ใดๆ

สำหรับผู้ที่บรรลุอรูปฌาน จะไปเกิดในอรูปภพ ซึ่งเป็นภพที่ไม่มีรูปกาย เหลือเพียงจิตละเอียดตามระดับของอรูปฌานที่บรรลุ ได้แก่ อากาสานัญจายตน วิญญาณัญจายตน อากิญจัญญายตน และเนวสัญญานาสัญญายตน

อย่างไรก็ตาม หากสามารถละอุปาทานในอรูปฌานทั้งหมดจนถึงระดับปรมาณูสูญญตา จิตจะไม่ไปเกิดในภพใดอีก แต่จะดับสนิท เข้าถึงนิพพาน ซึ่งเป็นการพ้นจากสังสารวัฏอย่างสิ้นเชิง

ดังนั้น ผู้ปฏิบัติที่ยังมีอุปาทาน แม้จะเข้าฌานลึกเพียงใด ก็ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในภพที่เหมาะสมตามสภาวะแห่งจิตของตน จนกว่าจะดับเชื้อแห่งภพได้ทั้งหมด

🪷ทำไมเพียงแค่ปฐมฌานก็เพียงพอต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน

แม้ว่าฌานที่สูงขึ้นจะทำให้จิตละเอียดขึ้น แต่ ปฐมฌานก็เพียงพอแล้วต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน หากมีปัญญากำกับ เพราะการบรรลุธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับของสมาธิที่ลึกที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับ ปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์ของสังขารทั้งปวงและละอวิชชาได้

ใน “คิริมานนทสูตร” (พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 106-110) พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดบรรลุปฐมฌานแล้ว เจริญวิปัสสนาเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร ย่อมสามารถบรรลุอรหัตผลได้”

ต้องใช้อะไรถึงจะทำได้?
1. สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) – ต้องเข้าใจว่าแม้แต่ฌานก็ไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง เพราะยังเป็นสังขารที่ไม่เที่ยง
2. วิปัสสนาญาณ (ปัญญาเห็นไตรลักษณ์) – ต้องพิจารณาเห็นว่า สุขในฌานก็เป็นของไม่เที่ยง และไม่ควรยึดติด
3. สัมมาสมาธิ (สมาธิชอบ) – ปฐมฌานต้องเป็นไปเพื่อการพิจารณาไตรลักษณ์ ไม่ใช่เพื่อเสวยสุข
4. ละอุปาทานในฌาน – ไม่สำคัญว่าฌานลึกแค่ไหน แต่สำคัญว่าปล่อยวางได้หรือไม่

อิงตัวอย่างจากพระสาวก
• พระสารีบุตร บรรลุอรหัตผลด้วยปฐมฌานในขณะที่ฟังธรรมจากพระอัสสชิ เพราะปัญญาของท่านแทงตลอดไตรลักษณ์ทันที
• พระอานันทเถระ บรรลุอรหัตผลหลังจากพ้นจากปฐมฌาน แล้วพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ของขันธ์ห้า

ดังนั้น แค่ปฐมฌานก็บรรลุมรรคผลได้ หากใช้ปัญญากำกับและไม่ยึดติดในสุขของฌาน

#Siamstr #พุทธวจนะ #พุทธวจน #nostr #ธรรมะ
Author Public Key
npub1hge4uuggdfspu0wmffxqs9vj38m55238q3z2jzd907e8qnjmlsyql78hs2