maiakee on Nostr: ...

ภพที่ไปเกิดตามลำดับของฌาน: อิงพุทธพจน์และคำอธิบายของพระอานนท์
ในพระพุทธศาสนา การบรรลุฌานไม่ได้หมายถึงการพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง หากยังมีอุปาทานในฌานอยู่ ผู้บรรลุฌานจะไปเกิดในภพต่างๆ ตามระดับของจิตที่ก่อขึ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ภพ ได้แก่ กามภพ (โลกของกามคุณ), รูปภพ (โลกของรูปฌาน), และ อรูปภพ (โลกของอรูปฌาน) ตามลำดับของความละเอียดของจิต
พระอานนท์ได้กล่าวไว้ใน “จูฬสุญญตสูตร” (พระไตรปิฎก เล่ม 12 ข้อ 41) ว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ฝึกจิตในสมาธิย่อมเข้าถึงภพที่เหมาะสมตามสภาวะแห่งจิตของตน หากยังมีอุปาทาน ก็จักมีภพสืบไป”
ต่อไปนี้เป็นลำดับของฌานและภพที่ผู้เข้าฌานจะไปเกิด
1. ปฐมฌาน → ไปเกิดในพรหมโลกชั้นแรกของรูปภพ
(พรหมปาริสัชชา และ พรหมปุโรหิตา)
ผู้ที่บรรลุปฐมฌาน หากยังมีอุปาทานในฌาน จะไปเกิดใน พรหมโลกชั้นต่ำของรูปภพ ได้แก่
• พรหมปาริสัชชา: เทพผู้เป็นบริวารของมหาพรหม
• พรหมปุโรหิตา: เทพผู้เป็นอำมาตย์ของมหาพรหม
“ภิกษุผู้บำเพ็ญปฐมฌาน ย่อมเข้าถึงพรหมโลกที่เป็นที่อยู่ของเหล่าพรหมผู้มีปัญญาปานกลาง” (พระไตรปิฎก มัชฌิมนิกาย)
ตัวอย่าง: เหมือนบุคคลที่ฝึกจิตจนสงบจากกามคุณ แต่ยังมีความยึดมั่นในสุขอันเกิดจากฌาน
2. ทุติยฌาน → ไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่สูงขึ้น
(มหาพรหมา - เทพผู้เป็นใหญ่ในพรหมโลก)
เมื่อจิตพ้นจากวิตกและวิจาร แต่ยังยึดติดปีติสุข จะไปเกิดใน มหาพรหมา ซึ่งเป็นพรหมผู้มีอายุยาวนานกว่าชั้นล่าง
“ภิกษุผู้บำเพ็ญทุติยฌาน ย่อมเข้าถึงมหาพรหม ผู้เป็นใหญ่ในรูปภพ” (พระไตรปิฎก อังคุตตรนิกาย)
ตัวอย่าง: เหมือนนักปราชญ์ที่หลุดพ้นจากความคิดวุ่นวาย แต่ยังพอใจในความสุขสงบของตน
3. ตติยฌาน → ไปเกิดในพรหมโลกชั้นที่สูงกว่าเดิม
(ปริตตสุภะ, อัปปมาณสุภะ, สุภกิณหา - เทพผู้มีรัศมีงดงาม)
ผู้ที่ละปีติได้ แต่ยังมีความสุขจากฌาน จะไปเกิดในชั้นพรหมที่มีรัศมีงดงาม ได้แก่
• ปริตตสุภะ: พรหมที่มีรัศมีน้อย
• อัปปมาณสุภะ: พรหมที่มีรัศมีมาก
• สุภกิณหา: พรหมที่มีรัศมีเต็มเปี่ยม
“ภิกษุผู้บำเพ็ญตติยฌาน ย่อมเข้าถึงพรหมโลกที่เป็นที่อยู่ของผู้มีรัศมีอันบริสุทธิ์” (พระไตรปิฎก มัชฌิมนิกาย)
ตัวอย่าง: เปรียบเหมือนดวงดาวที่ส่องสว่าง แต่ยังคงอยู่ในจักรวาล
4. จตุตถฌาน → ไปเกิดในพรหมโลกที่สูงสุดของรูปภพ
(เวหัปผลา และ อสัญญีสัตตา - เทพผู้มีสมาธิแน่วแน่และไร้สัญญา)
• เวหัปผลาพรหม: พรหมที่ได้ผลแห่งสมาธิขั้นสูงสุด
• อสัญญีสัตตาพรหม: พรหมที่แทบไม่มีสัญญา (ไม่มีความรับรู้โดยสมบูรณ์)
“ภิกษุผู้บำเพ็ญจตุตถฌาน ย่อมเข้าถึงพรหมโลกอันเป็นที่อยู่ของผู้ที่หลุดพ้นจากสุขและทุกข์”
ตัวอย่าง: เหมือนดวงจันทร์ที่สงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว
5. อรูปฌาน → ไปเกิดในอรูปภพ
(โลกของอรูปพรหม - เทพผู้ไม่มีรูปกาย)
ผู้ที่ละรูปทั้งหมดจะไปเกิดใน อรูปภพ ซึ่งเป็นภพที่ไม่มีร่างกาย มีเพียงจิตละเอียด ได้แก่
• อากาสานัญจายตน → ไปเกิดใน “พรหมผู้มีอากาศเป็นอารมณ์”
• วิญญาณัญจายตน → ไปเกิดใน “พรหมผู้มีจิตเป็นอารมณ์”
• อากิญจัญญายตน → ไปเกิดใน “พรหมผู้ไร้สิ่งใดๆ”
• เนวสัญญานาสัญญายตน → ไปเกิดใน “พรหมผู้มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่”
“ผู้สำรวมจิตในอรูป ย่อมไปเกิดในอรูปภพ ตามธรรมที่เขาสมาทาน” (พระไตรปิฎก มัชฌิมนิกาย)
ตัวอย่าง: เหมือนสายลมที่ไร้รูป แต่ยังคงมีอยู่
6. ปรมาณูสูญญตา → นิพพาน (พ้นจากภพทั้งปวง)
เมื่อจิตละอุปาทานทั้งหมด ไม่ยึดติดแม้แต่ความเป็นพรหมหรืออรูปพรหม จิตจะไม่ไปเกิดอีก แต่ดับสนิทคือ นิพพาน
“ดูก่อนอานนท์ ผู้บรรลุสูญญตาสูงสุด ไม่กลับไปเกิดในภพใดอีก เพราะไม่มีเชื้อแห่งภพเหลืออยู่”
ตัวอย่าง: เปรียบเหมือนเปลวเทียนที่ดับลง ไม่มีที่ไป เพราะไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่
🪷สรุปได้ว่า ผู้ที่บรรลุปฐมฌานจะไปเกิดในพรหมโลกชั้นต้น ได้แก่ พรหมปาริสัชชาและพรหมปุโรหิตา ซึ่งเป็นบริวารของมหาพรหม หากบรรลุทุติยฌาน จะไปเกิดในมหาพรหม ซึ่งเป็นพรหมผู้เป็นใหญ่กว่าชั้นแรก
ผู้ที่บรรลุตติยฌานจะไปเกิดในพรหมโลกที่มีรัศมีงดงาม ได้แก่ ปริตตสุภะ อัปปมาณสุภะ และสุภกิณหา ซึ่งเป็นพรหมที่มีแสงสว่างเจิดจ้า หากเข้าถึงจตุตถฌาน จะไปเกิดในเวหัปผลาพรหม ซึ่งเป็นพรหมที่สงบที่สุด และในบางกรณีอาจเกิดเป็นอสัญญีสัตตาพรหม ซึ่งเป็นพรหมที่ไม่มีสัญญาหรือการรับรู้ใดๆ
สำหรับผู้ที่บรรลุอรูปฌาน จะไปเกิดในอรูปภพ ซึ่งเป็นภพที่ไม่มีรูปกาย เหลือเพียงจิตละเอียดตามระดับของอรูปฌานที่บรรลุ ได้แก่ อากาสานัญจายตน วิญญาณัญจายตน อากิญจัญญายตน และเนวสัญญานาสัญญายตน
อย่างไรก็ตาม หากสามารถละอุปาทานในอรูปฌานทั้งหมดจนถึงระดับปรมาณูสูญญตา จิตจะไม่ไปเกิดในภพใดอีก แต่จะดับสนิท เข้าถึงนิพพาน ซึ่งเป็นการพ้นจากสังสารวัฏอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้น ผู้ปฏิบัติที่ยังมีอุปาทาน แม้จะเข้าฌานลึกเพียงใด ก็ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในภพที่เหมาะสมตามสภาวะแห่งจิตของตน จนกว่าจะดับเชื้อแห่งภพได้ทั้งหมด
🪷ทำไมเพียงแค่ปฐมฌานก็เพียงพอต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน
แม้ว่าฌานที่สูงขึ้นจะทำให้จิตละเอียดขึ้น แต่ ปฐมฌานก็เพียงพอแล้วต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน หากมีปัญญากำกับ เพราะการบรรลุธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับระดับของสมาธิที่ลึกที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับ ปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์ของสังขารทั้งปวงและละอวิชชาได้
ใน “คิริมานนทสูตร” (พระไตรปิฎก เล่ม 10 ข้อ 106-110) พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดบรรลุปฐมฌานแล้ว เจริญวิปัสสนาเห็นความไม่เที่ยงของสังขาร ย่อมสามารถบรรลุอรหัตผลได้”
ต้องใช้อะไรถึงจะทำได้?
1. สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) – ต้องเข้าใจว่าแม้แต่ฌานก็ไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง เพราะยังเป็นสังขารที่ไม่เที่ยง
2. วิปัสสนาญาณ (ปัญญาเห็นไตรลักษณ์) – ต้องพิจารณาเห็นว่า สุขในฌานก็เป็นของไม่เที่ยง และไม่ควรยึดติด
3. สัมมาสมาธิ (สมาธิชอบ) – ปฐมฌานต้องเป็นไปเพื่อการพิจารณาไตรลักษณ์ ไม่ใช่เพื่อเสวยสุข
4. ละอุปาทานในฌาน – ไม่สำคัญว่าฌานลึกแค่ไหน แต่สำคัญว่าปล่อยวางได้หรือไม่
อิงตัวอย่างจากพระสาวก
• พระสารีบุตร บรรลุอรหัตผลด้วยปฐมฌานในขณะที่ฟังธรรมจากพระอัสสชิ เพราะปัญญาของท่านแทงตลอดไตรลักษณ์ทันที
• พระอานันทเถระ บรรลุอรหัตผลหลังจากพ้นจากปฐมฌาน แล้วพิจารณาเห็นไตรลักษณ์ของขันธ์ห้า
ดังนั้น แค่ปฐมฌานก็บรรลุมรรคผลได้ หากใช้ปัญญากำกับและไม่ยึดติดในสุขของฌาน
#Siamstr #พุทธวจนะ #พุทธวจน #nostr #ธรรมะ