maiakee on Nostr: ...

🤔หากอนาคตหรือเวลาไม่มีจริงตามแนวคิดของ David Bohm แล้วทำไมคนเราจึงแก่และตาย?
1. แนวคิดของ Bohm เกี่ยวกับเวลา
David Bohm เสนอว่า เวลาอาจเป็นเพียงสิ่งที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของจักรวาล (Holomovement) ซึ่งหมายความว่า “เวลา” ไม่ใช่สิ่งที่แยกจากกันอย่างเป็นอิสระ แต่เป็นเพียงการรับรู้ของเราในระดับหนึ่งของความเป็นจริง ในระดับที่ลึกกว่านั้น ทุกสิ่งอาจมีอยู่พร้อมกัน (“implicate order” หรือ ระเบียบโดยนัย) และสิ่งที่เราเรียกว่า “อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต” อาจเป็นเพียงการ “ขยายตัว” หรือ “การคลี่คลาย” ออกมาของโครงสร้างความจริงที่มีอยู่แล้วในมิติที่ลึกกว่า (“explicate order” หรือ ระเบียบโดยชัดแจ้ง).
ถ้าเวลาไม่มีอยู่จริงในเชิงพื้นฐาน แต่สิ่งมีชีวิตยังคงมีการเปลี่ยนแปลงและเสื่อมสลาย สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นผลของ กระบวนการของโครงสร้างของพลังงานและข้อมูล (information structure and energy flow) ในระบบที่ซับซ้อน มากกว่าการไหลของเวลาแบบเส้นตรง
2. ความแก่และการตายในแง่ของ Bohmian Mechanics
แม้ว่าเวลาอาจไม่มีอยู่จริงในความหมายที่เป็น “เอกเทศ” (independent entity) แต่ “การเปลี่ยนแปลง” (Change) ยังเกิดขึ้นได้เพราะ:
• ร่างกายมนุษย์ประกอบไปด้วย พลังงานและข้อมูล (energy & information) ที่อยู่ในกระแสของ Holomovement
• ความเสื่อมของร่างกายเกิดจากการที่พลังงานและข้อมูลถูกปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องในลักษณะที่ทำให้โครงสร้างของร่างกายเปลี่ยนไป (เช่น กระบวนการเสื่อมของเซลล์, oxidative stress, entropy ฯลฯ)
• การที่เรา “รับรู้” ว่าตัวเองแก่ขึ้น เป็นเพราะสมองและจิตของเราทำหน้าที่ “จัดเรียง” ข้อมูลของตนเองในลักษณะที่ทำให้เกิด “ภาพของอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต”
• จริงๆ แล้ว เราไม่ได้ “แก่ขึ้นตามเวลา” แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลและพลังงานในโครงสร้างของร่างกายเรา
3. การเกิด ตั้งอยู่ ดับไป ตามพุทธปรัชญา กับแนวคิดของ Bohm
ในพุทธศาสนา “ไตรลักษณ์” (สามลักษณะของสรรพสิ่ง) อธิบายว่า:
• อนิจจัง (Impermanence): ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด
• ทุกขัง (Suffering/Dissatisfaction): ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบหรือยั่งยืน
• อนัตตา (Non-Self): ไม่มีตัวตนที่แท้จริง ทุกสิ่งเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงกัน
Bohm กล่าวว่า “โลกเป็นกระบวนการ ไม่ใช่วัตถุที่แยกจากกัน” ซึ่งตรงกับแนวคิดพุทธว่า “ไม่มีตัวตนแท้จริง” เพราะทุกอย่างเป็นเพียง กระบวนการของพลังงานและข้อมูลที่เชื่อมโยงกัน
แสดงให้เห็นว่า:
1. “การเกิด” = เป็นเพียงจุดหนึ่งของการคลี่คลาย (explication) ของพลังงานและข้อมูลที่เป็น “ระเบียบโดยนัย” (Implicate Order)
2. “การตั้งอยู่” = เป็นกระบวนการที่โครงสร้างของพลังงานมีความเสถียรชั่วคราว
3. “การดับไป” = ไม่ใช่จุดสิ้นสุดที่แท้จริง แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบพลังงานหนึ่งไปสู่อีกรูปแบบหนึ่ง
4. อะไรทำให้เรารู้สึกว่าเวลามีอยู่จริง?
แม้ Bohm จะบอกว่าเวลาไม่มีอยู่จริง แต่ทำไมเรายังรู้สึกว่าเวลาผ่านไป? คำตอบอยู่ที่ จิตสำนึกและกระบวนการทางชีวภาพของเรา
• สมองของเรามีโครงสร้างที่ “เรียงลำดับเหตุการณ์” ทำให้เราสัมผัสได้ถึง “อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต”
• ความแก่เกิดจาก การสะสมของกระบวนการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย ซึ่งเป็นผลจาก Holomovement
• หากเราสามารถเข้าใจว่าทุกสิ่งเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของพลังงานและข้อมูล เราอาจมองว่า “ตัวเรา” ไม่ได้เกิดขึ้นและดับไป แต่เป็นเพียงการปรากฏตัวของพลังงานในรูปแบบหนึ่งเท่านั้น
5. สรุป: คนแก่และตายได้อย่างไร ถ้าเวลาไม่มีจริง?
✅ “เวลา” เป็นเพียงภาพลวงตาของกระบวนการเปลี่ยนแปลง
✅ “ความแก่และความตาย” เป็นผลของ Holomovement ซึ่งเป็นกระบวนการพัฒนาและเสื่อมของพลังงานและข้อมูลในโครงสร้างของร่างกาย
✅ ในระดับลึก (Implicate Order) ทุกสิ่งยังคงอยู่ เพียงแค่ปรากฏในลักษณะที่แตกต่างกันใน Explicate Order
✅ แนวคิดนี้สอดคล้องกับพุทธปรัชญาเรื่องไตรลักษณ์, อนัตตา และปฏิจจสมุปบาท
✅ สิ่งที่เราเรียกว่า “การเกิดและดับ” อาจเป็นเพียงมุมมองของจิตสำนึกที่รับรู้การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างพลังงานเท่านั้น
ดังนั้น “เราไม่ได้แก่ขึ้นตามกาลเวลา” แต่เป็นเพียงการที่โครงสร้างของพลังงานและข้อมูลของเราถูกเปลี่ยนแปลงไป ตามกฎของ Holomovement และ Relative Autonomy ซึ่งสะท้อนแนวคิดพุทธเรื่อง “ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป”
🤔ถ้าอนาคตถูกกำหนดโดย Implicate Order แล้วทำไมจึงไม่แน่นอน?
นี่เป็นคำถามที่ลึกซึ้งและเกี่ยวข้องกับ Implicate Order (ระเบียบโดยนัย) ของ David Bohm ซึ่งเสนอว่า “อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” อาจเป็นเพียงการคลี่คลายของข้อมูลและพลังงานในระดับที่ลึกกว่า แต่สิ่งที่สำคัญคือ “การคลี่คลาย” (Explicate Order) นั้นไม่ได้เป็นไปตามรูปแบบตายตัวเสมอไป
1. Implicate Order ไม่ได้หมายถึงการกำหนดแบบตายตัว
Implicate Order เปรียบเสมือน ข้อมูลศักยภาพ (potential reality) ที่ยังไม่ถูกคลี่คลายออกมาอย่างชัดเจน โลกไม่ได้เดินไปตามเส้นทางที่กำหนดแน่นอน แต่เป็น “โครงสร้างความเป็นไปได้” ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ในบางระดับ
เปรียบเทียบกับ “เมฆฝน”
• เมฆมีโครงสร้างของไอน้ำที่สามารถกลั่นตัวเป็นฝนได้
• แต่ เมื่อไหร่ และ ที่ไหน ฝนจะตกขึ้นอยู่กับเงื่อนไขอื่นๆ เช่น ความดันอากาศ ลม อุณหภูมิ ฯลฯ
• เช่นเดียวกัน อนาคตไม่ได้เป็นเส้นทางเดียวที่กำหนดไว้แล้ว แต่เป็น “ความเป็นไปได้ที่ถูกคลี่คลาย” ตามปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
2. ปัจจัยที่ทำให้อนาคตไม่แน่นอน
ถึงแม้ว่า Implicate Order จะมีข้อมูลศักยภาพของอนาคตที่อาจเกิดขึ้น แต่มี ตัวแปรสำคัญ หลายอย่างที่ทำให้ ผลลัพธ์ไม่ได้แน่นอนเสมอไป
(1) Holomovement และการเปลี่ยนแปลงของข้อมูล
• Holomovement คือการเคลื่อนไหวของข้อมูลและพลังงานที่เชื่อมโยงกันทั้งหมด
• แม้ว่าจะมีโครงสร้างที่อาจกำหนดแนวโน้มของเหตุการณ์ แต่การเคลื่อนที่แบบรวมของจักรวาลสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้
• เหมือนกับน้ำในแม่น้ำที่ไหลไปตามกระแส แต่ยังสามารถแปรเปลี่ยนรูปร่างได้
(2) Quantum Uncertainty (ความไม่แน่นอนทางควอนตัม)
• แม้ว่าจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่อาจคาดการณ์ได้ แต่ในระดับควอนตัม ผลลัพธ์ไม่สามารถกำหนดได้ 100%
• Implicate Order อาจทำหน้าที่เป็นเหมือน “ชุดความเป็นไปได้” แต่การเลือกเส้นทางของ Explicate Order อาจขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ที่เปลี่ยนแปลงได้
(3) Consciousness (จิตสำนึกและการรับรู้)
• Bohm เชื่อว่า จิตสำนึกของเรามีบทบาทในกระบวนการคลี่คลายของความเป็นจริง
• ถ้าจิตมีบทบาทในการแปลง Implicate Order เป็น Explicate Order การตัดสินใจของเราอาจเป็นปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงอนาคต
• ตัวอย่างเช่น สมองของเราสามารถสร้างรูปแบบความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจนำไปสู่การกระทำที่เปลี่ยนแปลงเส้นทางของ Explicate Order
(4) Morphic Resonance (สนามข้อมูลและความทรงจำร่วม)
• ตามแนวคิดของ Rupert Sheldrake, ข้อมูลไม่ได้ถูกกำหนดล่วงหน้าแบบตายตัว แต่ถูกส่งผ่านและพัฒนาอย่างต่อเนื่องผ่าน สนามมอร์ฟิก (Morphic Field)
• หมายความว่า ข้อมูลจากอดีตอาจเป็นแนวโน้ม แต่สามารถถูกปรับเปลี่ยนได้จากพฤติกรรมใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น
• เช่น สมมุติว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เคยทำพฤติกรรมแบบหนึ่งซ้ำๆ มาเป็นเวลาหลายพันปี สิ่งนั้นจะสร้างสนามข้อมูลที่มีแนวโน้มให้เกิดขึ้นอีก
• แต่ถ้ามีใครบางคนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ส่งผลต่อมวลรวม สนามข้อมูลนั้นอาจถูกปรับเปลี่ยน ทำให้เส้นทางของอนาคตเปลี่ยนไป
(5) ความสัมพันธ์ของระบบซับซ้อน (Complex Systems)
• จักรวาลไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่เป็น ระบบที่มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกันแบบพลวัต
• ความไม่แน่นอนสามารถเกิดขึ้นได้จากเงื่อนไขเล็กๆ ที่ส่งผลกระทบต่อระบบทั้งหมด (เช่น ทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก - Butterfly Effect)
• ตัวอย่าง: การตัดสินใจเพียงครั้งเดียวของบุคคลอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างมากในอนาคต
3. ตัวอย่างที่เข้าใจง่าย
ตัวอย่างที่ 1: เส้นทางของแม่น้ำ
• Implicate Order เปรียบเสมือนต้นน้ำที่มีศักยภาพในการไหลไปยังจุดหมายปลายทางหลายทาง
• แต่ Holomovement (กระแสน้ำ) และปัจจัยภายนอก เช่น ก้อนหินที่ขวางทาง สามารถเปลี่ยนเส้นทางของน้ำได้
• น้ำอาจมีแนวโน้มไปสู่จุดหนึ่ง แต่ เส้นทางที่แน่นอนยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้
ตัวอย่างที่ 2: การโยนลูกเต๋า
• หากอนาคตถูกกำหนดไว้ 100% ผลของลูกเต๋าจะต้องออกเป็นหน้าหนึ่งหน้าหนึ่งเสมอ
• แต่ในความเป็นจริง แม้ว่าเราจะมีโครงสร้างของกฎฟิสิกส์ที่กำหนดการเคลื่อนที่ของลูกเต๋า ปัจจัยเล็กๆ เช่น แรงลม หรือแรงกดของนิ้วมืออาจทำให้ผลลัพธ์แตกต่างไปได้
4. เชื่อมโยงกับพุทธปรัชญา
พุทธศาสนาและปฏิจจสมุปบาท
พุทธศาสนาอธิบายว่า “ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากเหตุและปัจจัย” ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นแบบตายตัวล่วงหน้า แต่เป็นผลจากกระบวนการหลายอย่างที่มาประกอบกัน
• Implicate Order = ข้อมูลศักยภาพที่ยังไม่คลี่คลาย
• Explicate Order = การปรากฏของผลลัพธ์ที่ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เข้ามามีอิทธิพล
• “อนาคต” เป็นเพียงกระแสของความเป็นไปได้ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามเงื่อนไข
พุทธพจน์ที่เชื่อมโยง:
• “สัพเพ ธัมมา อนัตตา” (สรรพสิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตนที่แท้จริง)
• “อิมัสสมิง สติ อิทัง โหติ” (สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี)
• “อนาคตัง ภยตัง น ภเวยฺย” (อย่ายึดติดกับอนาคต เพราะเป็นสิ่งที่ยังไม่แน่นอน)
5. สรุป: ทำไมอนาคตไม่แน่นอน แม้จะมี Implicate Order?
✅ Implicate Order ไม่ได้กำหนดอนาคตแบบตายตัว แต่เป็นชุดของความเป็นไปได้
✅ Holomovement ทำให้โครงสร้างข้อมูลเคลื่อนที่และเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
✅ Quantum Uncertainty และ Consciousness อาจมีบทบาทในการเลือกเส้นทางที่เกิดขึ้น
✅ Morphic Resonance และ Complex Systems ทำให้อนาคตสามารถเปลี่ยนแปลงจากพฤติกรรมใหม่ๆ
✅ เชื่อมโยงกับพุทธศาสนา: ทุกสิ่งเกิดจากเหตุปัจจัย ไม่มีสิ่งใดแน่นอน 100%
ดังนั้น อนาคตไม่ได้เป็นเส้นทางเดียวที่ถูกกำหนดไว้ แต่เป็นกระบวนการของการคลี่คลายที่อาจเปลี่ยนแปลงได้จากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
#Siamstr #science #quantum #nostr #ธรรมะ #พุทธศาสนา #biology #rightshift