npub1tp…v3tp3 on Nostr: มีความรู้มากมาย ...
มีความรู้มากมาย
แต่ปราศจาก"ความรู้ที่ดับทุกข์ได้" นั่นแหละคือ"อวิชชา"
.... "น่าประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ใครๆก็พยายามแสดงตนว่าเป็นผู้รู้จัก"อวิชชา" และให้ความหมายของอวิชชากันไปเองตามชอบใจ ดูประหนึ่งว่า เขาเป็นผู้เข้าใจหรือรู้จักอวิชชาอย่างแจ่มแจ้ง แต่แล้วก็เป็นที่น่าขบขัน ที่ความรู้นั้นใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว และยังแถมเข้ากันไม่ได้ กับความหมายของอวิชชาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้
.... อวิชชา ไม่ได้หมายถึงความไม่รู้อะไรเลยแต่เพียงอย่างเดียว กลับจะหมายถึงรู้อะไรมากมายไม่มีที่สิ้นสุดด้วยซ้ำไป แต่เป็นความรู้ผิดทั้งนั้น คือเห็นกลับตรงกันข้ามไปหมด เช่น เห็นมูลเหตุของความทุกข์ เป็นมูลเหตุของความสุขไป อย่างที่เรียกว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เขาไม่เห็นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง ว่าความทุกข์นั้นมันอะไรกันแน่ อะไรเป็นมูลเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ สภาพที่ปราศจากความทุกข์จริงๆนั้นเป็นอย่างไร และวิธีปฏิบัติอย่างไรคนเราจึงจะเข้าถึงสภาพที่ไม่มีความทุกข์
.... เราอาจจะกล่าวได้ว่า ความรู้ชนิดใดๆมากมายเท่าใดก็ตาม ถ้าปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง ต้องถือว่าเป็นอวิชชาทั้งนั้น ถ้าจะมีคำแปลที่ถูกต้องรัดกุมของคำว่า "อวิชชา" แล้ว จะต้องแปลว่า ธรรมชาติที่ปราศจากความรู้ชนิดที่จะดับทุกข์ได้ หรือ กล่าวว่า สภาวะที่ปราศจากความรู้ที่ดับทุกข์ได้ นั่นแหละคือ"อวิชชา" ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้โดยเฉพาะ คือ ตรัสเอาความไม่รู้อริยสัจทั้ง ๔ ว่าเป็นอวิชชา หมายความว่า แม้เขาจะมีความรู้มากมายเท่าไร อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าไม่รู้อริยสัจทั้ง ๔ แล้ว ก็ถูกจัดว่าเป็นอวิชชา
.... ฉะนั้น จึงทำให้เรามองเห็นได้ชัดเจนอีกว่า โลกกำลังอยู่ใต้กะลาครอบของอวิชชา หรือ ความรู้ที่ไม่ใช่วิชชาของพระพุทธเจ้า จึงไม่สามารถจะช่วยชาวโลกได้ ในที่สุดก็เข้าทำนองที่เรียกว่า "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" กล่าวคือ ความรู้ชนิดนั้นจะกลายเป็นเครื่องทำให้โลกาวินาศอยู่ภายใต้ความรู้นั่นเอง."
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ "ตัวกู - ของกู"
#siamstr
nostr:naddr1qq24g5my2gu8snjzddp8wktrxanygkn8d4gnsq3qtpfhxey838ewx37gygt94w2dps4tkju9dkgglmmkz7paquzmfwzsxpqqqp65wqpdcaq
แต่ปราศจาก"ความรู้ที่ดับทุกข์ได้" นั่นแหละคือ"อวิชชา"
.... "น่าประหลาดอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ ใครๆก็พยายามแสดงตนว่าเป็นผู้รู้จัก"อวิชชา" และให้ความหมายของอวิชชากันไปเองตามชอบใจ ดูประหนึ่งว่า เขาเป็นผู้เข้าใจหรือรู้จักอวิชชาอย่างแจ่มแจ้ง แต่แล้วก็เป็นที่น่าขบขัน ที่ความรู้นั้นใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แม้แต่นิดเดียว และยังแถมเข้ากันไม่ได้ กับความหมายของอวิชชาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้
.... อวิชชา ไม่ได้หมายถึงความไม่รู้อะไรเลยแต่เพียงอย่างเดียว กลับจะหมายถึงรู้อะไรมากมายไม่มีที่สิ้นสุดด้วยซ้ำไป แต่เป็นความรู้ผิดทั้งนั้น คือเห็นกลับตรงกันข้ามไปหมด เช่น เห็นมูลเหตุของความทุกข์ เป็นมูลเหตุของความสุขไป อย่างที่เรียกว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เขาไม่เห็นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง ว่าความทุกข์นั้นมันอะไรกันแน่ อะไรเป็นมูลเหตุที่แท้จริงของความทุกข์ สภาพที่ปราศจากความทุกข์จริงๆนั้นเป็นอย่างไร และวิธีปฏิบัติอย่างไรคนเราจึงจะเข้าถึงสภาพที่ไม่มีความทุกข์
.... เราอาจจะกล่าวได้ว่า ความรู้ชนิดใดๆมากมายเท่าใดก็ตาม ถ้าปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง ต้องถือว่าเป็นอวิชชาทั้งนั้น ถ้าจะมีคำแปลที่ถูกต้องรัดกุมของคำว่า "อวิชชา" แล้ว จะต้องแปลว่า ธรรมชาติที่ปราศจากความรู้ชนิดที่จะดับทุกข์ได้ หรือ กล่าวว่า สภาวะที่ปราศจากความรู้ที่ดับทุกข์ได้ นั่นแหละคือ"อวิชชา" ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้โดยเฉพาะ คือ ตรัสเอาความไม่รู้อริยสัจทั้ง ๔ ว่าเป็นอวิชชา หมายความว่า แม้เขาจะมีความรู้มากมายเท่าไร อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าไม่รู้อริยสัจทั้ง ๔ แล้ว ก็ถูกจัดว่าเป็นอวิชชา
.... ฉะนั้น จึงทำให้เรามองเห็นได้ชัดเจนอีกว่า โลกกำลังอยู่ใต้กะลาครอบของอวิชชา หรือ ความรู้ที่ไม่ใช่วิชชาของพระพุทธเจ้า จึงไม่สามารถจะช่วยชาวโลกได้ ในที่สุดก็เข้าทำนองที่เรียกว่า "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" กล่าวคือ ความรู้ชนิดนั้นจะกลายเป็นเครื่องทำให้โลกาวินาศอยู่ภายใต้ความรู้นั่นเอง."
พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือ "ตัวกู - ของกู"
#siamstr
nostr:naddr1qq24g5my2gu8snjzddp8wktrxanygkn8d4gnsq3qtpfhxey838ewx37gygt94w2dps4tkju9dkgglmmkz7paquzmfwzsxpqqqp65wqpdcaq